เมื่อโม่ชิงเฉิงเห็นข้อความที่เด็กชายเขียน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที บนกระดาษเยื่อไผ่มีอักษรเขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่อ่านง่ายว่า “หากรู้จริง พึงบอกว่ารู้ หากไม่รู้ พึงบอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือวิถีของปัญญาชน”
ถึงแม้ว่าลายมือของเด็กน้อยจะไม่สวยงามมากนัก แต่การที่เขาสามารถเขียนคำสอนที่ยากของขงจื๊อได้เช่นนี้ ทำให้โม่ชิงเฉิงประหลาดใจมาก จนต้องถามว่า “ใครสอนให้เจ้าเขียนประโยคนี้หรือ”
เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะอายๆ “ข้าเห็นจากหนังสือของอาจารย์ ก็เลยลองเขียนตามขอรับ”
“เจ้าเข้าใจความหมายของคำสอนนี้หรือไม่” โม่ชิงเฉิงถามต่อทันที
“ข้ารู้ว่าเป็นคำสอนของท่านขงจื๊อ สำหรับความหมายนั้น ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ข้าคิดเอาเองว่า..” เขาหยุดคิดสักพัก และเงยหน้าตอบอย่างมั่นใจว่า “เราไม่ควรโกหก ถ้าเราไม่รู้เรื่องนั้นจริง เพราะมันอาจจะส่งผลเสียหายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะการเป็นหมอขอรับ!”
โม่ชิงเฉิงหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงมองอย่างไม่เข้าใจว่า เขาตีความผิดหรืออย่างไร แต่แล้วบัณฑิตโม่ก็ถามต่อด้วยแววตาประหลาดว่า “แล้วถ้าเป็นบัณฑิตล่ะ จะยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งที่เจ้ากำลังเรียนมาได้หรือไม่!”
เฟิงหลี่เฉียงทำหน้ายุ่ง เขายังเป็นเด็กอายุ 6 ขวบ และไม่รู้ด้วยว่า บัณฑิตควรเป็นอย่างไร แต่เขาก็พยายามตอบด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ ว่า “เรียนใต้เท้าขอรับ ข้าไม่รู้ว่าบัณฑิตควรจะเป็นอย่างไร ข้ารู้จักบัณฑิตอยู่ท่านเดียว และเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่หมู่บ้านของข้า”
แล้วเขาก็พูดต่อหลังจากหยุดคิดไปนาน “ข้าเคยเห็นว่า เวลาอาจารย์ถามพวกเรา ถ้าตอบได้ ท่านก็จะชมเชย แต่ถ้าเราตอบไม่ได้ ท่านก็จะถามต่อ จนกว่าพวกเราจะตอบออกมา แต่ข้าก็ไม่ทราบหรอกว่า สิ่งที่พวกเราตอบไปนั้นถูกหรือผิด เพราะคนที่รู้คำตอบ คืออาจารย์ท่านเดียวขอรับ”
โม่ชิงเฉิงหรี่ตาลงและถามต่อด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าหมายความว่า อาจารย์ ก็อาจจะรู้หรือไม่รู้คำตอบที่แท้จริงก็ได้ ใช่หรือไม่”
เด็กชายหน้าแดง เขารู้ว่าวิธีคิดของเขานั้นอาจจะไม่เคารพต่อครูบาอาจารย์ แต่เขาก็ยังพูดตามตรงว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ ในตอนนั้น ข้าคิดว่าสิ่งที่อาจารย์อธิบาย ก็ดูน่าเชื่อถือ”
โม่ชิงเฉิงหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ “เจ้านี่มันสำคัญนักนะ! ฮ่าๆๆ”
โม่ชิงเฉิงมองดูเด็กชายด้วยความพิศวง เขารู้ดีว่า คนที่เป็นครูบางคน ไม่ชอบเด็กที่รู้จักตั้งคำถาม แต่เด็กคนนี้กลับรู้จักสงสัยในคำสอนตั้งแต่ยังอายุเท่านี้ ถึงแม้ว่าจะตอบคำถามที่โม่ชิงเฉิงถามไม่ได้ชัดเจน แต่เขาพยายามอธิบาย โดยยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริง และยังมีวิธีการพูดแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
บัณฑิตหนุ่มจึงพยักหน้าช้าๆ และถามคำถามที่เด็กชายเองก็อยากรู้เช่นกันว่า “เจ้ารู้ไหมว่า เหตุใดท่านหมอต้วนถึงให้เจ้านำยาบำรุงมามอบให้ข้า”
“ข้าไม่ทราบขอรับ” เด็กชายตอบตามจริง
“ท่านหมอต้วนอยากให้ข้าเห็นเจ้า ด้วยตัวของข้าเอง”
เมื่อเห็นเด็กชายไม่เข้าใจ เขาก็ไม่อธิบายเพิ่มเติม แต่กลับถามเด็กชายว่า “เจ้าอยากจะเรียนหนังสือกับข้าไหม”
เฟิงหลี่เฉียงตาโต เขาถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านยินดีจะสอนข้าหรือขอรับ!”
“ใช่” โม่ชิงเฉิงพยักหน้า แต่ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าไม่รับปากว่าจะสอนไปนานแค่ไหน ทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจของข้าเป็นหลัก”
ครั้งนี้ เด็กชายเข้าใจดีว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่พอใจในตัวเขา ก็อาจจะยุติการสอนได้ เมื่อรู้ว่าเป็นเช่นนี้ หัวใจของเด็กชายก็เต้นแรงขึ้น เขาจะพิสูจน์ให้ได้ว่า เขาเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน และท่านบัณฑิตโม่จะต้องอยากสอนเขาต่อไปแน่ เด็กชายจึงรีบลุกขึ้นยืนและก้มลงคำนับอีกฝ่ายอย่างเคารพ “ขอบพระคุณใต้เท้ามากขอรับ”
แต่แล้วเขาก็นึกได้ จึงรีบถามอย่างเกรงใจว่า “ข้ายังต้องเรียนการแพทย์กับท่านอาจารย์ต้วนอยู่ขอรับ ข้าขอบังอาจถามท่านว่า ช่วงเวลาไหน จึงจะสะดวกกับการเรียนขอรับ”
โม่ชิงเฉิงจึงถามเขาว่า เขาเรียนอะไรกับต้วนเจี่ยซินบ้าง และเรียนช่วงไหนเวลาใด เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว เขาจึงบอกกับเด็กชายว่า “ให้เจ้ามาที่นี่ในวันจันทร์หน้า ช่วงยามเฉิน[1]” จากนั้น โม่ชิงเฉิงก็บอกให้เด็กชายกลับไปได้แล้ว เพราะเขาจะเขียนหนังสือต่อ
เด็กชายเดินกลับบ้านและคิดด้วยความดีใจว่า เมื่อได้รับโอกาสแล้ว เขาจะฉวยโอกาสนี้เอาไว้และจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ถึงในภายหลัง โม่ชิงเฉิงจะไม่อยากสอนเขาอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มีโอกาสเรียนรู้จากบัณฑิตที่มีความรู้ล้ำลึกคนนี้
หากถามว่าเด็กน้อยรู้ได้อย่างไร ว่าโม่ชิงเฉิงเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถสูง เขาก็ตอบไม่ได้ชัดเจน เขารู้แค่ว่า หากอาจารย์ต้วนเจี่ยซินของเขาเคยเป็นถึงอดีตหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง ก็ย่อมแสดงว่าคนรอบตัวเขาก็ย่อมมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นเช่นกัน และการที่ท่านอาจารย์ให้เขามาพบบัณฑิตโม่ด้วยตนเอง แสดงว่าเขาต้องมีความฉลาดล้ำลึก จนอาจารย์ต้วนยังยอมรับ
เมื่อเฟิงหลี่เฉียงเล่าเรื่องนี้ให้ต้วนเจี่ยซินฟัง ในขณะที่พวกเขากำลังเรียนวิธีการกดจุดและฝังเข็มอยู่นั้น
หมอต้วนหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ “เจ้าควรจะดีใจนะ ปกติแล้ว โม่ชิงเฉิงไม่สนทนากับใครง่ายๆ แต่เขากลับเรียกให้เจ้าไปพบ และยังเสนอตัวสอนหนังสือให้ ถึงแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้ากับโชคชะตาแล้วละนะ เฟิงหลี่เฉียง!”
เด็กชายมีสีหน้าเคร่งขรึม เขารับปากและขอบคุณอาจารย์อย่างจริงจัง และสัญญาว่า เขาจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องเสียชื่อเด็ดขาด และยิ่งมารู้ในภายหลังว่า โม่ชิงเฉิงเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งและเคยรับราชการมาก่อน แต่ไม่พอใจระบบการทำงาน จึงเลือกมาอยู่ที่นี่เพื่อเขียนหนังสือเพื่อให้ความรู้และวิจารณ์สังคมแทน เด็กชายจึงยิ่งนับถือในอุดมการณ์ของอาจารย์โม่มากยิ่งขึ้น
แต่ก่อนจะถึงวันเรียนหนังสือ เขายังพอจะมีเวลาอีก 4-5 วัน เฟิงหลี่เฉียงจึงกลับไปเยี่ยมแม่และน้องที่บ้าน ต้วนเจี่ยซินมอบยาและอาหารบำรุงสุขภาพให้แม่กับลูก ในขณะที่พ่อบ้านและป้าเฟยมอบเสื้อกันหนาวและรองเท้าที่พวกเขาเย็บเอง เพื่อให้เด็กชายนำไปฝากคนที่บ้านด้วย
ก่อนที่จะขึ้นรถลากออกไปนั้น ต้วนเจี่ยซินมอบถุงเงินให้เขา เด็กชายรีบปฏิเสธทันที “ที่ท่านเมตตารับข้ามาอยู่ที่นี่ ช่วยถ่ายทอดความรู้ให้ และยังมีของฝากกลับไปให้แม่กับน้อง ก็มากมายเกินพอแล้วขอรับ!”
แต่ชายชรากลับพูดว่า “เจ้ายังเด็ก ยังหาเงินไม่ได้ แต่แม่กับน้องของเจ้ายังต้องการเงินไว้ใช้จ่าย ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ ก็ตั้งใจเรียนและประสบความสำเร็จเพื่อตอบแทนข้าสิ!”
เฟิงหลี่เฉียงตะลึงกับคำพูดของอาจารย์ จริงสินะ ในอนาคตข้างหน้า เขายังมีโอกาสตอบแทนอาจารย์ได้อีก เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรับถุงเงินและก้มลงคำนับอาจารย์เพื่อขอบคุณอย่างจริงจัง จากนั้นก็นั่งเกวียนโดยมีคนขับรถ คือ ลู่ปู่ อายุ 27-28 ปี เป็นคนขับให้ พวกเขาใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวัน ก็มาถึงหมู่บ้านในตอนบ่าย
เมื่อมาถึงบ้าน เขาเชิญลู่ปู่เข้าไปกินน้ำชาและอาหารในบ้านก่อนกลับ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ เพราะจะต้องเข้าไปในอำเภอเพื่อซื้อของกินของใช้ เมื่อช่วยเด็กชายขนของเข้าบ้านแล้ว เขาก็ขี่เกวียนออกไป
เฟิงหลี่เฉียงใช้เวลาอยู่กับแม่และน้องเป็นเวลา 3 วัน ในระหว่างนี้ อันเฟยจูหายจากอาการป่วยแล้ว ร่างกายของเธอแข็งแรงขึ้น สามารถทำงานได้เอง และยังมีความสุขมากขึ้น เมื่อเห็นลูกชายคนโตได้รับความรักความเอ็นดูจากอาจารย์ ยิ่งได้รู้ว่าเขาจะได้ไปเรียนกับบัณฑิตอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนใหญ่คนโต เธอก็น้ำตาคลอ
“แม่หวังให้ลูกสอบเข้ารับราชการให้ได้ ตอนแรกที่เจ้าจะไปเรียนหมอ แม่ก็เสียดาย แต่ก็คิดว่าเป็นหมอก็เลี้ยงตัวเองได้ และถ้าเจ้าสอบเข้าเป็นแพทย์หลวงได้ก็น่าจะดี แต่เมื่อรู้ท่านบัณฑิตโม่จะสอนวิชาให้ แม่ก็ยิ่งดีใจ เผื่อว่าในอนาคตเจ้าอาจจะได้ไปสอบเข้ารับราชการด้วย”
เด็กชายซึ่งกำลังนั่งเล่นกับน้องสาวของเขา ก็ตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ต่อให้ไม่สามารถเรียนต่อกับท่านโม่ชิงเฉิงได้ ข้าก็จะหาเงินไปเรียนที่โรงเรียนให้ได้”
เมื่อเห็นลูกชายมีความมุ่งมั่นและมีความหวังในชีวิต อันเฟยจูก็ยิ่งมีใจที่จะหาเงินมากขึ้น เฟิงหลี่เฉียงแนะนำเธอว่า “ท่านแม่ลองปลูกสมุนไพรขายไหมขอรับ ตอนนี้ข้าพอจะรู้วิธีแล้ว ก่อนกลับจะจดลงในสมุดเอาไว้ให้ท่าน ว่าสมุนไพรแบบไหนต้องปลูกอย่างไร”
อันเฟยจูเห็นด้วย ตอนนี้เธอแค่ปลูกผักทั่วไปและเลี้ยงไก่เป็ดเพื่อยังชีพเท่านั้น แต่ไม่สามารถขายได้มากนัก เพราะบ้านนอกแบบนี้ใครๆก็ทำเช่นเดียวกัน เด็กชายจึงบอกอีกว่า “รอให้หน้าหนาวผ่านไปก่อน แล้ว ข้าจะขอแบ่งเมล็ดพันธุ์สมุนไพรจากอาจารย์มาให้ท่านด้วย”
เมื่อช่วยกันคิดได้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต พวกเขาสามแม่ลูกก็ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข เธอสังเกตเห็นว่าเฟิงหลี่เฉียงเติบโตขึ้นมาก ไม่เพียงแต่ความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ร่างกายก็เริ่มสูงและแข็งแรงกว่าเดิม เพราะได้กินอาหารที่ดี จนเมื่อเวลาผ่านไปได้สามวัน ลู่ปู่ก็ขี่เกวียนมารับ เด็กชายบอกกับที่บ้านว่า เขาจะกลับมาอีกครั้งในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้
ในระหว่างที่ออกจากหมู่บ้าน ลู่ปู่บอกว่า “ข้าจะแวะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้อของก่อนนะ”
เฟิงหลี่เฉียงได้ยินก็ดีใจเช่นกัน เพราะเขาแทบจะไม่เคยได้ไปไหน ตั้งแต่แม่ล้มป่วยลง ชีวิตของเขาก็อยู่แต่ในหมู่บ้าน เพราะต้องดูแลแม่กับน้องสาวและปลูกผักเลี้ยงไก่
ลู่ปู่ขี่เกวียนเข้าไปยังอำเภอ ภายในตัวอำเภอมีถนนสายหลักที่ปูด้วยหินและดิน บ้านเรือนสองฝั่งเป็นปูนและไม้สลับกันไป สำหรับย่านการค้าที่พวกเขามุ่งหน้าไปนั้น อยู่ใจกลางเมือง ที่มีอาคารเรียงติดกันริมถนนเป็นแถวยาว บางร้านมีการตั้งแผงขายของยื่นออกมาหน้าร้าน และบางร้านก็ให้เช่าพื้นที่ด้านหน้าเพื่อขายของและอาหาร
ลู่ปู่จอดเกวียนที่ร้านขายสมุนไพรแห่งหนึ่ง เพื่อนำยาของหมอต้วนมาขายตามที่เจ้าของร้านสั่งซื้อเอาไว้ เจ้าของร้านทักทายเขาอย่างคุ้นเคย ในขณะที่ลู่ปู่ก็ซื้อตัวยาบางอย่างกลับไปด้วย เมื่อซื้อขายสมุนไพรเสร็จแล้ว เขาก็บอกกับเจ้าของร้านว่า “หมอลู่ ท่านพอจะมีเข็มขนาดพอเหมาะกับเด็กคนนี้ไหมขอรับ”
หมอลู่ก้มลงมองเด็กน้อยที่สูงยังไม่ถึงชั้นขายยา และหัวเราะออกมา “นี่ใครรึ อายุแค่นี้รู้จักการใช้เข็มแล้วหรือ”
ลู่ปู่ยิ้ม เขายกเก้าอี้มาให้เด็กชายปีนขึ้นไปยืนเพื่อเลือกดูเข็ม และบอกว่า “นี่คือเสี่ยวเฉียง เป็นลูกศิษย์ของหมอต้วน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าของร้านก็ตะลึง “เด็กคนนี้จะต้องเก่งมาก ถึงทำให้ท่านหมอต้วนรับเขาเป็นลูกศิษย์ได้!” เพราะทุกคนที่อยู่ในวงการรู้ดีว่า ต้วนเจี่ยซินไม่ยอมรับใครเป็นลูกศิษย์มานับสิบปีแล้ว
เฟิงหลี่เฉียงรีบปฏิเสธด้วยความอาย “ไม่หรอกขอรับ อาจารย์สงสารข้า ก็เลยเมตตาช่วยเหลือ”
เจ้าของร้านหัวเราะด้วยความเอ็นดู เขานำเข็มมาให้เด็กชายลองใช้ และเลือกซื้อมาได้ 2 ชุด จากนั้นลู่ปู่ก็จ่ายเงิน พวกเขาไปที่ร้านขายผ้าในเมืองต่อ เพื่อซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้เฟิงหลี่เฉียง ต้วนเจี่ยซินรู้ว่าเด็กชายไม่มีเสื้อผ้าใส่มากนัก ถึงเสื้อผ้าที่ซื้อให้ครั้งนี้ จะไม่ใช่เสื้อผ้าหรูหราแบบคุณชายจากตระกูลสูงใส่ แต่ก็เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี ซึ่งทำให้เฟิงหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจกับความเมตตาของอาจารย์มากขึ้น
เมื่อซื้อของเสร็จ ก็ได้เวลาเกือบบ่ายแล้ว พวกเขาจึงพากันไปกินกินบะหมี่ที่ร้านข้างทาง ในระหว่างที่นั่งกินอยู่นั้น ชายคนหนึ่งเดินผ่านโต๊ะของพวกเขามา และทำถุงเงินหล่นลงพื้นใกล้กับที่ทั้งสองคนนั่งอยู่
เฟิงหลี่เฉียงจึงก้มลงเก็บถุงเงินขึ้นมา และตะโกนเรียกชายคนนั้น “ท่านอา ท่านทำถุงเงินหล่น!”
ชายคนดังกล่าวได้ยินก็หยุดเดิน เอื้อมมือคลำข้างเอว เมื่อมองไปเห็นถุงเงินในมือของเด็กชาย เขาก็รีบเดินกลับมา เมื่อรับถุงเงินมา เขาก็รีบเปิดดูเงินข้างใน แล้วเขาก็ทำหน้าตกใจ พูดด้วยเสียงดังว่า “เงินของข้าหายไปไหน!”
เฟิงหลี่เฉียงตกใจ ชายคนดังกล่าวก็มองเขาด้วยความโกรธ และพูดเสียงดังลั่นถนนว่า “ไอ้หนู! เจ้าขโมยเงินในถุงของข้าไปหรือ! รีบเอามาคืนซะดีๆ ไม่เช่นนั้น ข้าจะจับเจ้าไปส่งอำเภอ!” คนอื่นๆ ในร้านหยุดกิน และหันมามองด้วยความสนใจ
“ข้าไม่ได้เอาไปนะ! ท่านทำถุงเงินหล่น ข้าก็ช่วยเก็บให้ แล้วข้าก็ไม่ได้เปิดถุงเงินของท่านด้วย ท่านมากล่าวหาข้าได้อย่างไร!” เด็กชายตอบด้วยความโมโห เขาอุตส่าห์เก็บถุงเงินคืนให้ดีๆ แต่กลับถูกกล่าวหาเสียนี่!
[1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น.
ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่
สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่างที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่งในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจ
“ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัยซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไรเมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีใน
ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อเฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟ
ถึงเฟิงหลี่เฉียงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบ แต่เขาก็ยังมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่ชอบพอนิสัยใจคอกัน และวันนี้ พวกเขาก็มีนัดเพื่อฉลองผลสอบ เพราะทั้ง 4 คนสามารถผ่านการสอบในระดับประเทศนี้ และกำลังรอเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนหน้า อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการกรมการคลัง เป็นคนจองภัตตาคารชื่อดังประจำเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อดื่มกินกันให้เต็มที่หลังจากที่เหนื่อยยากมานานเฟิงหลี่เฉียงแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ขอบแขนเสื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขับผิวให้สว่างมากขึ้น เขาเดินจากบ้านไปยังภัตตาคารอี้เทียนเหลา เพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อไปถึง เขาแจ้งชื่อคนจอง พนักงานพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่เรียงรายติดกัน ห้องที่พวกเขาจองไว้อยู่ค่อนไปตรงกลาง ในนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา และเทียนมู่อวี้นั่งรอเขาอยู่แล้ว บนโต๊ะมีอาหาร 3-4 อย่างวางเอาไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เขาสั่งอาหารตามชอบได้เลยอินเฉิน อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด ยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดขึ้นว่า “มาพวกเรา! มาดื่มฉลองให้ตัวเองที่สอบผ่านเป็น
ชายชุดดำซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง ค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีลง เขาพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านเป็นหมอหรือ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มนิดๆ “ข้าเป็นบัณฑิตชื่อ เฟิงหลี่เฉียง แต่ก็รู้การแพทย์ด้วย”อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปส่งข้ายังสถานที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่”เด็กหนุ่มถามเขาตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าต้องขอสอบถามก่อนว่าเป็นที่ใด”ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปด้วยชายชุดดำก็ตอบตามตรงว่า “องครักษ์เสื้อแพร จินอวี่เว่ย”เขารู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อรีบกลับไปรายงานข่าวสำคัญที่ไปสืบมา และชายชุดดำรู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคิดไม่ซื่อกับเขา การตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับราชองครักษ์อย่างพวกเขาเด็กหนุ่มจึงรับปาก เขาคิดอยู่แล้วว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นทหาร เขาจึงบอกลู่ปู่ให้เตรียมรถไว้ และช่วยกันประคองชายชุดดำไปขึ้นรถลาก และมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกของเ