กู้ถงถงกินข้าวผัดไข่โรยด้วยต้นหอมและเหยาะพริกไทยป่นลงไป จากกลิ่นกระทะทำให้หอมติดปลายจมูกยิ่งใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวกินยิ่งอร่อย มีกับข้าวอื่น ๆ บนโต๊ะอีกทำให้เธอรู้สึกดีกับข้าวมื้อแรกในยุค 80 นี่จริง ๆ แถมยังมีเจ้าเด็กอ้วนคอยเป็นเพื่อนคู่คิด
เมื่อเธอกินข้าวคำสุดท้ายเข้าปากขณะที่เจ้าหมิงอ้วนเหลือบมองก่อนเอ่ยขึ้น
“พี่ถงถงเอาอีกหรือเปล่า ถ้าไม่กินหมิงจะเหมาคนเดียวแล้วนะ”
เธอมองข้าวในชามใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็อมยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “กินเถอะเดี๋ยวพี่จะไปหลอมยาในห้องหลอมยานะ ถ้ามีคนไข้มาหาก็เคาะเรียก”
“พี่ถงถงไปเถอะ ทางนี้หมิงจัดการเอง เรื่องดูแลบ้านหมิงทำได้ พี่ถงถงทำยาที่ดี ๆ ออกมาก็พอ เราจะได้รวยกันสักที”
เสียงเจ้าเด็กอ้วนพูดเข้าทำให้เธอนึกพอใจ เจ้าเด็กคนนี้สารพัดประโยชน์จริง ๆ ด้วย ดีจริง ๆ ดีกว่าน้องชายเฮงซวยคนนั้นของเธอเสียอีก
ให้ตายสิ ชักจะหลงเจ้าหมิงเสียแล้วสิ
กู้ถงถงยกกระจกที่เคยอยู่ในห้องไปยังห้องหลอมยาจากนั้นปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย ก่อนจะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดชั้นดีที่เธอคิดสูตรยาเอาไว้จากนั้นก็ทำการหลอมมันออกมา แต่จากอาการที่เล่ายังมีพวกโรคที่มีพิษสะสมที่ตับอีกด้วย ดังนั้นเธอก็ไม่ลืมที่จะเอายาที่เคยหลอมไว้ออกมาด้วย
เธอจัดใส่ขวดโหลแก้วเอาไว้พร้อมเขียนฉลากกำกับให้รู้ว่ายาอะไรใช้กับโรคอะไรบ้าง จากนั้นลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะขนาดใหญ่ในห้องหลอมยา แล้วก็ยืนมองว่ายังขาดยาอะไรที่จำเป็นอีกหรือเปล่า
“คนมักเป็นไข้หวัดกันบ่อย ต้องมียาแก้ไข้หวัด แก้ท้องเสีย” เธอไล่ไปทีละอย่างแล้วก็เรียงตัวยาเกือบสามสิบชนิดไว้ในขวดโหล จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ร่างของกู้ถงถงที่เพ่งมองขวดยาอยู่หันไปตามเสียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเคาะประตูห้องนี้ได้
“มากันแล้วเหรอ” ถงถงถามด้วยน้ำเสียงใส ประกายในดวงตาเจิดจ้า พร้อมกับความคิดที่อยากได้คนมาทดลองยาของตนเองสักที
ที่จริงยานี้ผ่านการทดสอบมาจนหมดแล้ว เหลือแค่ใบอนุญาตจากองค์กรเภสัชในโลกของเธอเท่านั้น ย่อมเป็นยาที่มีคุณภาพดี และไม่เกิดผลกระทบกับร่างกาย
“พี่ถงคนไข้มาแล้วครับ”
“อื้อ...ดี เอาถาดมาใส่ขวดยาเหล่านั้นไปวางที่ตู้ยาด้านหลังที่เป็นกระจกหน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะไปตรวจผู้ป่วยสักหน่อย”
“ได้เลยครับ หมิงจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านตัวน้อยที่จัดการงานบ้านแล้วก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดพนักงานร้านยาตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว ถงถงเดาว่าเป็นเจ้าของร่างที่ตัดเย็บให้ แต่มันดูน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ ทั้งยังดูสะอาดสะอ้านราวกับเป็นผู้ช่วยหมอคนหนึ่ง
เธอเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับมองไปยังคนไข้ที่มีคนพยุงเข้ามาโดยขณะนี้ยังยืนอยู่ เธอจึงทักทาย
“สวัสดีค่ะ ร้านยาตระกูลหวังยินดีต้อนรับค่ะ” นี่เป็นคำทักทายลูกค้าคนแรกของเธอ แม้ว่าเธอจะเรียนจบในสายการแพทย์มา แต่ก็ไม่ได้จบแพทย์โดยตรง แต่อาการภายนอกนั้นบ่งบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไร เพราะนอกจากจะต้องจำชื่อตัวยาแล้ว ยังต้องจำชื่อโรคอีกด้วย เธอเรียนจนแตกฉาน และยังเข้าไปร่วมงานกับคุณหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ เป็นประจำ
ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าอาการเหล่านี้เธอจะไม่เคยเห็น
“ครับ...เป็นผู้หญิงหรอกหรือครับ” ชายผู้มาใหม่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่สายตาที่มองเหยียด กับลูกตาที่กลอกไปมาพร้อมเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อ ๆ ทำให้เจ้าของร้านอย่างถงถงมุมปากยกขึ้นนิด ๆ อย่างรู้ทันความคิด
เหยียดความสามารถสตรีอีกคนแล้วสินะ!
คนที่พามาเป็นชายอายุยี่สิบนิด ๆ มองเธออย่างไม่ไว้ใจ แต่เธอก็เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบแปดที่อยู่ร้านขายยาของคุณตาและแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ ตัวยาทั้งร้านเจ้าของร่างจำได้ขึ้นใจ และบวกกับความทรงจำของเธอย่อมไม่ใช่แค่ความรู้ของเด็กสาวอายุสิบแปดนั้นยิ่งประมาทไม่ได้
แต่ชายอายุห้าสิบกว่าปีปากเบี้ยวพูดไม่ได้ถลึงตาใส่ชายผู้นั้นพร้อมกับพยายามยิ้มและโค้งให้เธอ เดาว่าเขาคงจะไปรักษามาหลายที่ ลองมาหลาย ๆ ทางแต่ไม่ได้ผล จนเธออาจจะเป็นหนทางรอดสุดท้ายก็เป็นได้
“ยังไงลองให้ฉันตรวจเบื้องต้นก่อนดีไหมคะ...”
“จะขูดรีดเงินจากพวกเราหรือเปล่า...บอกเอาไว้ก่อนเลยนะ หากรักษาแล้วไม่ดีขึ้นฉันจะแจ้งความจับฐานหลอกลวง”
ให้ตายเถอะ เจอเคสแรกก็ยากแล้วสิ แต่ว่าถงถงหรือจะกลัว เธอเพียงมองไปยังชายปากดีผู้นี้แล้วยกยิ้มอวดดีไปหนึ่งสาย ก่อนจะท้าทายด้วยความมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้นเรามาพนันกันไหมล่ะคะ...ว่าถ้าหากฉันรักษาคุณพ่อคุณหาย คุณต้องทำตามที่ฉันขอร้องทุกอย่างรวมทั้งจ่ายค่ารักษาอย่างสมน้ำสมเนื้อ”
“หึ...นับว่าเธอแน่มาก อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน หากเธอรักษาคุณพ่อของฉันหายล่ะก็...ฉันจะให้เงินหนึ่งร้อยหยวน พร้อมกับข้อเรียกร้องอะไรก็ได้ แต่หากไม่ล่ะก็ฉันจะขึ้นศาลฟ้องเธอ!”
“ก็ดี!” เธอสบตาพร้อมตอบอย่างมั่นใจ
ชายวัยห้าสิบเห็นดังนั้นก็ส่งสายตามองเธออย่างมีความหวัง เขาไม่อยากแก่ตายด้วยสภาพน่าเกลียดเช่นนี้ ไม่แม้แต่ลูกชายที่รำคาญ ยังมีหลานชายที่รังเกียจท่าทางของเขาทำให้เจ็บปวดใจนัก
หากที่นี่คือความหวังสุดท้ายเขาจะลองดูสักครั้ง
ถ้อยคำของพี่ถงอยู่ในสายตาของเจ้าเด็กน้อยคุนหมิงหมดแล้ว พร้อมกับรู้สึกขนลุกตอนที่พี่ถงยื่นคำต่อรอง กับรายได้มหาศาลที่กว่าจะได้ขนาดนี้ทำงานกันทั้งเดือนยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
คุนหมิงไม่ติดใจเรื่องการรักษาด้วยสูตรยาตระกูลหวัง เพราะเป็นยาชั้นดี เขาป่วยแค่วันเดียวก็หายเป็นปลิดทิ้ง หรือว่าแท้ที่จริงพี่ถงมีสูตรยาลับในตำนานที่พลิกชีวิตได้กันนะ แต่นั่นมันแค่เรื่องเล่าสืบ ๆ กันมานะ หรือจะเป็นเรื่องจริง
แบบนี้ร้านยาตระกูลหวังมีความหวังจริง ๆ แล้วสิ
‘หมิงก็จะเป็นผู้ช่วยร้านยาอายุน้อยที่หล่อเหลาที่สุดแล้วสินะ...ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ หมิงเชื่อ’
เจ้าเด็กน้อยพริ้มตาหลับพยักหน้าให้ตัวเองหงึกหงักโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร
ถงถงให้คนไข้นอนบนเตียงตรวจจากนั้นเปิดเปลือกตามองดูพบว่าตาเหลือง ลิ้นเป็นฝ้าขาว เมื่อให้คนไข้ขยับแขนก็ขยับได้ดังนั้นไม่ใช่หลอดเลือดในสมองตีบที่ยุคนี้ยังไม่มียารักษาแน่นอน แต่เกิดจากตับร้อนชื้นจนสะสมพิษมากเกินไป แล้วทำให้เลือดข้นและไหลเวียนไม่ดีกระทบกับประสาทส่วนที่เคลื่อนไหว
ดังนั้นหากฝังเข็มช่วยในจุดหยางหมิง ไท่หยาง และเส้าหยางกับกินยาขับพิษเจ็ดวันรับรองว่าจะกลับมาเป็นปกติ
เธอเคยเรียนฝังเข็มมาบ้างตอนวิชาเลือกแพทย์แผนจีน ดังนั้นเธอจึงทำเป็น
“โรคของคุณไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เพียงแต่การรักษาต้องฝังเข็มและกินยาติดต่อกันเจ็ดวันก็หายดี คุณอยากลองไหมคะ” ถงถงเลือกจะถามคนไข้แทนที่จะถามลูกชายที่เลือกจะดูถูกสตรี
ชายผู้นั้นพยักหน้าทันที เขาอยากรักษา เขาอยากหาย เขาอยากเป็นคนที่มีประโยชน์
“ถ้าอย่างนั้นช่วยลงชื่อรับการรักษาตรงนี้ด้วยนะคะ” แน่นอนว่าเธอต้องรอบคอบ เธอเขียนรายละเอียดการรักษาโรค ทั้งวิธีรักษาเอาไว้ แล้วให้คนไข้ประทับลายนิ้วมือ โดยที่ลูกชายแทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำ
หากเป็นเธอละก็ คนแรกที่จะกระเด็นออกจากบ้านหลังจากหายดี ต้องเป็นไอ้ลูกชายตัวดีคนนี้!
ถงถงเดินออกมาเจอเสี่ยวหมิงกำลังยกน้ำมาให้ญาติของชายผู้นั้นดื่ม แล้วจึงเรียกให้เป็นผู้ช่วย
“มาช่วยพี่สาวในห้องหน่อย”
“ครับพี่ถง” เสี่ยวหมิงวิ่งเอาถาดไปเก็บและล้างมือทันที จากนั้นเข้าไปช่วยพี่ถงโดยเร็ว เมื่อเสี่ยวหมิงเห็นพี่ถงถงจับเข็มเงินเป็นครั้งแรกเขาตาลุกวาว เพราะไม่เคยรู้ว่าพี่ถงฝังเข็มได้
“ส่งเข็มให้พี่ก็พอ”
เสียงนั้นเรียบและหนักแน่นอย่างมีสมาธิแน่วแน่เป็นอย่างมากทำให้เสี่ยวหมิงแทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ
ภายในห้องมืดลงเล็กน้อย แสงจากหน้าต่างบานเล็กส่องลงบนเข็มเงินสะท้อนแวววาว เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่เงียบกริบ…
เสี่ยวหมิงจับเข็มเงินอย่างระมัดระวังส่งให้พี่สาวจากนั้นเข็มถูกปักไปในจุดที่ต้องการฝังอย่างแม่นยำ จนครบทุกจุด รอเวลาชั่วครู่ก่อนจะถอนออกมา พร้อมกับชายวัยห้าสิบที่มีนามว่า ลุงฟ่านฉาย ที่ตอนแรกพูดไม่ได้เริ่มพูดรู้เรื่องขึ้นอีกนิด แต่ว่าก็ยังไม่ชัดเจนเสียทีเดียว
“นะ...นี่...ฉัน...ฉันดีขึ้น...ฉันดีขึ้นกว่าเมื่อกี้”
เสียงนั้นทำให้ลูกชายที่นั่งอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางเบื่อ ๆ วิ่งเข้าไปในห้องรักษาที่มีม่านสีฟ้ากั้นเอาไว้แล้วก็มองดูพ่อ ที่ปากเบี้ยวน้อยลงกว่าเมื่อครู่ถึงกับตกตะลึง
“นะ...นี่...นี่...อะไรกัน!”