“ลุงฟ่านค่อย ๆ ครับ...อย่าเพิ่งลุกขึ้นนอนลงก่อนครับ” เสียงเจ้าผู้ช่วยเด็กของถงถงเอ่ยขึ้นทำให้เธออมยิ้ม และต้องบอกว่าทึ่งในความสามารถเจ้าหนูน้อยผู้นี้จริง ๆ
“นอนลงสักครู่ค่ะ ประเดี๋ยวฉันจะจัดยาให้กินเจ็ดวันติดต่อกันอย่าให้ขาดนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณลุงจะไม่หาย”
เธอเพิ่มระดับความข่มขู่ด้วยเรื่องไม่หายลงไปอีกนิดทำให้คนไข้ต้องระมัดระวังในการกินยามากขึ้น และยาที่เธอจัดให้ ไม่ใช่ยาต้มแต่เป็นยาเม็ดที่เธอหลอมขึ้นเพื่อให้กินง่าย จากนั้นเธอมองไปยังลูกชายของลุงฟ่านที่ยังไม่เชื่อว่าเธอจะสามารถรักษาคุณพ่อของเขาได้จริง ๆ พร้อมกับส่ายหน้า
ก็บอกแล้วอย่าเพิ่งดูถูกความสามารถสตรีเชียว เพราะว่ามันจะทำให้ไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง
เธอจัดยาเสร็จก็ส่งให้คนไข้เธอไม่ได้รับค่ายา แต่เห็นว่าเจ้าคุนหมิงรับไปแล้วจากคุณลุงฟ่านผู้นั้น ทำให้เธอเอาแต่ส่ายหน้ามองเจ้าเด็กแสบผู้นี้ด้วยความมันเขี้ยวจริง ๆ
“พี่ถงอย่าทำหน้าอย่างนั้น สิบหยวนก็เงินทั้งนั้น แม้ว่าจะได้อีกตอนรักษาหายถึงร้อยหยวนก็เถอะ หากเขาไม่กลับมาจ่ายเงินให้เราทำอย่างไรล่ะ”
เสี่ยวหมิงบุ้ยปากไปอีกทางทั้งไม่อยากให้พี่ถงถงหมิ่นเงินสิบหยวนนี่ ใช้ได้ตั้งสองสามเดือนเชียวหากประหยัด
“อย่างนั้นเอาเงินสิบหยวนนี้เก็บไว้เองเถอะ แล้วก็ขึ้นรถรางไปเตรียมรับหยางเหล่ยมาทำงานที่ร้านด้วย ส่วนงานในร้านอยากให้เขาทำอะไรก็จัดการเองก็แล้วกัน พี่สาวจะปิดร้านหลอมยาอีกหน่อย”
“พี่ถงคำไหนคำนั้นนะ สิบหยวนนี่ของหมิงนะ...ห้ามให้เจ้าเด็กขูดรีดนั้นมาปล้นหมิงด้วย”
“เสี่ยวหมิงไม่ลองซื้อขนมปังฝรั่งเศสหน้าโรงเรียน อาเหล่ยกินหรือ” เธอถามพลางแนะนำให้เขาลองกินของอร่อยดูบ้าง มัวแต่เก็บเงินไม่รู้จักใช้
“ไม่เอาหรอกกินข้าวได้ตั้งหลายวัน”
“แล้วไม่อยากทับถมเจ้าลูกคุณหนูเหล่านั้นหรือไง หากเสี่ยวหมิงซื้อขนมปังสองชิ้นกับนมสตรอว์เบอร์รีหนึ่งแก้ว แน่นอนว่าต้องมีแต่คนมอง แล้วก็แต่งตัวหล่อ ๆ ด้วยเล่า”
เสี่ยวหมิงคิดหนักทันที หากซื้อขนมสองชิ้นกับนม สตรอว์เบอร์รีหนึ่งแก้ว เขาต้องเสียเงินหนึ่งหยวนห้าเหมา แต่ว่าเขาก็มีเงินตอนนี้สี่สิบหยวนแล้วนะ หากไม่รวมกับค่าใช้จ่ายรายเดือนที่พี่ถงให้ไว้ยี่สิบหยวน ตอนนี้เหลือสิบห้าหยวนแล้ว เขาแบ่งเงินเก็บแยกชัดเจนไม่มารวมกัน ดังนั้นหากใช้เงินตัวเองสักนิดหน่อยแลกกับการได้เห็นเหล่าคุณหนูเหล่านั้นมองด้วยความอิจฉา เขาจะเท่แค่ไหนกันนะ
แค่คิดก็สนุกแล้วสิ อิอิ!
หน้าโรงเรียนตอนนี้กำลังเป็นเวลาเลิกเรียน เหล่าลูกชายลูกสาวคนมีตระกูลไปยืนต่อแถวกันซื้อขนมปังฝรั่งเศสที่มีหลายไส้ตรงนั้น กลิ่นเนยที่ใช้อบขนมปังหอมฟุ้งเสียจนท้องหยางเหล่ยร้องจ๊อก ๆ แต่ทว่าหากเขาใช้เงินนี้หมดเท่ากับอาทิตย์นี้เขาต้องอดตอนอยู่ที่โรงเรียน นั่นยิ่งทำให้ตัวเองขายหน้าเพิ่มขึ้นไปอีก
หากตัดใจไม่ซื้อแต่ว่าเก็บเงินไว้กินข้าว เขาจะยอมอับอายดีไหม เขาคิดไม่ตกจริง ๆ มองเห็นเหล่าสหายเดินถือขนมปังแล้วมันยั่วน้ำลายเหลือเกิน
แต่ว่าขณะที่กำลังชั่งใจอยู่นั้น ได้ยินเสียงพูดดังขึ้นจากแถวที่ร้านขนม พร้อมกับร่างเล็กกระดุกกระดิก วิ่งออกมาจากร้านนั้น ในมือถือนมสตรอว์เบอร์รีกับขนมปังฝรั่งเศสอีกสองชิ้นใหญ่ ๆ ทำให้เขามองภาพนั้นด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง จนต้องขยี้ตาซ้ำ
“นั่นมันเจ้าอ้วนหมิงปากเสียนี่นา” ในใจของหยางเหล่ยเต้นตึกตักตึกตัก เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินหลบไปอีกทาง แต่ทว่ากลับช้ากว่าเจ้าอ้วนหมิงที่ใส่หมวกสีแดงสดแล้วยังตะโกนเสียงดังอีก
“อาเหล่ย...รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันรถราง~”
หยางเหล่ยสิ้นหวังทันที เขาไม่อยากให้สหายรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะขึ้นรถรางวันนี้ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย
ให้ตายเถอะ เงินหนึ่งหยวนในมือทำเขาต้องขายหน้าต่อสหายทั้งโรงเรียน เท่านั้นไม่พอเจ้านั่นยังซื้อของอร่อย ๆ ทำให้คนทั้งโรงเรียนมองตามอย่างรู้สึกสนใจ
อีกอย่างขนมชิ้นนั้นเป็นชิ้นใหญ่และราคาแพงที่สุด แถมยังซื้อถึงสองชิ้นอีกด้วย เจ้าเด็กอ้วนร่ำรวยอะไรนักนะ
“ยังอีก...หมิงบอกให้รีบยังไม่เดินมาอีกนะ หรือเสียงดังไม่พอจะให้ตะโกนอีกไหม”
ครั้งแรกเรียกหยางเหล่ยพอทนแต่หากมีครั้งสองพอเลย เขารีบเดินไปหาเจ้าอ้วนแล้วเดินไปที่รถรางโดยไม่พูดอะไร แต่ตลอดทางสหายก็ทักทายเขา
“หยางเหล่ย นายให้น้องชายมารับเหรอ...โอ้โหน้องชายนายเจ๋งจริง ๆ ซื้อขนมที่แพงที่สุดด้วยเหรอเนี่ย” นั่นเป็นสหายลูกชายนายทหารใหญ่ ซึ่งแม่เล็กให้เขาตีสนิทเอาไว้ แต่ทว่าเจ้านี่นิสัยไม่ค่อยดี
หยางเหล่ยขยับยิ้มมุมปากทั้งที่หางตาเริ่มร้อนวูบ…เขาหันหน้าหนีสายตาสงสัยจากสหายที่ไม่ควรได้รู้เรื่องอะไรแบบนี้
ส่วนเจ้าอ้วนแม้ว่าจะตัวเล็กแต่เดินก้าวฉับ ๆ เร็วกว่าเขาที่ขายาวกว่าไหน ๆ จนกระทั่งไปถึงรถรางเขาต้องหยุดยืนรอเพราะไม่เคยขึ้น แล้วยังต้องรอให้เจ้าหมิงยื่นตั๋วให้อีกด้วย
“เอาไปเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว”
เขารับมาอย่างไม่พอใจ ทั้งเจ้าอ้วนยังเลือกนั่งข้าง ๆ เขาแล้วดูดนมสตรอว์เบอร์รีต่อหน้าต่อตาเขาด้วย เขาพยายามไม่มองแล้ว แต่เจ้าอ้วนนั่งเตะขาไปมาอย่างอารมณ์ดีเสียด้วย
เฮ้อ!
เมื่อไหร่ชีวิตเขาจะหลุดพ้นจากเจ้าอ้วนหมิงเสียที ขนาดถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมกับพี่สาว ก็ยังไม่วายต้องมาพบกันอีก แล้วที่สำคัญวันนี้เขาต้องไปทำงานที่ร้านของพี่สาว
เกิดมาเขายังไม่เคยทำงานอะไรสักอย่าง แล้วเขาจะทำได้ไหมล่ะ เฮ้อ!
ลั้น ลัน ลา ล้า ลัน ลา!
เสี่ยวหมิงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาค่อย ๆ ละเมียดละไมกินนมสตรอว์เบอร์รีอย่างช้า ๆ ใช้เวลายี่สิบนาทีรถรางก็ถึงหน้าปากซอยที่ตั้งร้านขายยาตระกูลหวังแล้ว เสียงจอแจของผู้คนกำลังเลือกซื้อของกลับบ้านไปทำอาหาร กับเสียงกระดิ่งจักรยานดังบอกให้หลบทาง
ยุคนี้บ้านไหนมีจักรยานถือว่าเป็นคนค่อนข้างมีฐานะพอสมควร ราคาจักรยานอยู่ที่ 120-150 หยวนและเป็นยานพาหนะหลักของผู้คนอีกด้วย
ส่วนพวกรถยนต์ จะเป็นพวกระดับมหาเศรษฐีเท่านั้นถึงจะมีเงินซื้อ ตระกูลกู้ก็จัดอยู่หนึ่งในนั้นด้วย
ถงถงออกจากห้องหลอมยาด้วยความเมื่อยล้า เธอพบว่าในห้องหลอมยาของเธอมีสมุนไพรหายากมากมาย และมียาที่เรียกว่าอยากพลิกชีวิตอยู่ในตำราของห้องนั้นด้วย เธอลองผิดลองถูกจนกระทั่งหลอมยาไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วเมื่อยขบมากจึงออกมาพักผ่อน เมื่อมองไปยังหน้าร้าน เห็นร่างเจ้าเสี่ยวหมิงถือขนมปังชิ้นใหญ่มาสองชิ้น กับนมสตรอว์เบอร์รีแก้วใหญ่เดินกลับมาด้วยใบหน้าเบิกบาน บอกให้รู้ว่าคงจะอร่อยมากสินะ
แต่เมื่อหันกลับไปมองอาเหล่ย ในมือของเขาว่างเปล่าทำให้หางคิ้วเธอเลิกขึ้น ก่อนจะยิ้มนิด ๆ
เธอรู้ได้ทันทีว่า เจ้าคนนี้ที่จริงก็มีหัวคิดอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องขัดเกลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ก็ชินกับการที่แม่เลี้ยงตามใจมาหลายปี ย่อมต้องเกเรเป็นเรื่องธรรมดา
เอาเถอะแค่เห็นว่าไม่ได้เกินเยียวยา เธอก็นับว่ามาถูกทางแล้วล่ะ
แต่ใบหน้าที่คว่ำเหมือนกระบวยตักน้ำนี่สิทำให้เธออดอมยิ้มไม่ได้
“กลับมาแล้วก็ไปเปลี่ยนชุด ชุดอยู่นั่นส่วนเสื้อผ้าก็ซักเสียด้วย ซักเองเป็นไหม”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งนั่นทำให้คนเพิ่งกลับจากโรงเรียนแล้วกำลังหิวหัวเสีย
“ฉันจะเคยทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงเล่า ทุกทีคนรับใช้ทำให้ไม่ใช่หรือไง”
ถงถงยกมุมปากขึ้น ตอนอยู่ที่บ้านนั้นหากพี่สาวคนดีคนนี้ไม่คอยดูแลเสื้อผ้าให้ มีหรือจะได้มีเสื้อผ้าที่สะอาด ๆ แต่เจ้าของร่างเป็นคนดีเกินไปยังไงล่ะ แล้วนั่นสีเสื้อหมอง ๆ แบบนั้นได้ดูแลเสื้อผ้าดีหรือเปล่าเถอะ
แม้จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างที่เจ้าของร่างอยู่กับไม่อยู่ชัดเจน แต่เธอเลือกจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความจริงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเองก็แล้วกัน
“หากจะทำงานที่นี่ นายก็ต้องค้างที่นี่ นอนกับเสี่ยวหมิงแล้วก็ช่วยเขาทำงาน ส่วนของใช้ส่วนตัวก็ต้องทำเอง เสื้อผ้าเสี่ยวหมิงทุกตัวล้วนซักเองทั้งยังสะอาดเหมือนใหม่ ส่วนอาเหล่ยหากเธอไม่มีตาฉันก็ไม่รู้จะสั่งสอนเธอว่ายังไงแล้ว”
หยางเหล่ยกำหมัดกัดฟันแน่น นี่เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขาหรือนังปีศาจกันแน่...
แต่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาพี่สาวใจร้ายคนนี้ อีกหน่อยเถอะรอให้คุณพ่อหายดีเขาจะขอเงินรายเดือนจากคุณพ่อให้ได้
เขาเดินกระแทกเท้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็เริ่มจัดการเสื้อผ้าของตนเองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ โดยที่มีเจ้าอ้วนยืนกินขนมแล้วก็ยืนบ่นเขาไปด้วย
“ทำดี ๆ สิ ผงซักฟองเททีละน้อยแบบนี้อย่างนั้น ๆ”
กู้ถงถงยืนมองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตั้งตาคอยว่ายายแม่เลี้ยงจะมาอาละวาดที่ร้านของเธอเมื่อไหร่ แต่จากสภาพหยางเหล่ยหายไปสักสองสามวันก็คงไม่ตามหาหรอก หรือที่แท้แม่เฮงซวยคนนั้นก็รอให้หยางเหล่ยออกมาเองด้วยกระมัง