กู้ถงถงเดินกลับเข้าไปในร้านสมุนไพรพร้อมกับหยิบสมุดบัญชียาสมุนไพรออกมาตรวจสอบ แต่หูก็ยังคงฟังเจ้าเด็กสองคนที่วัยห่างกันไม่มากแต่ฝีปากคมยิ่งกว่ากรรไกร
“เจ้าตัวขูดรีด...อาทิตย์ที่แล้วเอาเงินไปตั้งห้าหยวนแล้วอาทิตย์นี้ก็มาเอาอีก เจ้ากินเงินเป็นอาหารหรือไงฮะ...ทำไมไม่รู้จักประหยัดเสียบ้าง รู้ไหมกว่าจะรักษาคนป่วยแล้วได้เงินมาสักเหมายากเย็นแค่ไหน”
อาหมิงเท้าเอวยื่นหน้าไปต่อว่าเจ้าเด็กไม่รู้จักโต อายุตั้ง 8 ขวบแล้วยังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร แถมยังเป็นภาระอีก
ตอนอยู่บ้านตระกูลกู้เขายังต้องเกรงใจพ่อที่ลำเอียงของพี่ถงถง แล้วยังมีแม่เลี้ยงใจร้ายอีกคน แต่ตอนนี้ที่นี่ที่ไหน...ที่นี่ร้านยาสมุนไพรตระกูลหวังยังไงล่ะ ฮะฮ้า...อาหมิงไม่ต้องกลัวผู้ใด
“เจ้าเด็กเก็บมาเลี้ยง...นี่กล้าว่าฉันอย่างนี้เลยเรอะ ฉันคือคุณชายกู้ เหตุใดต้องประหยัด”
“เหอะ...ถ้าไม่ประหยัดก็เชิญไปหาเงินเองไป...เกะกะหน้าร้าน” อาหมิงผายมือเชิญให้เจ้าเด็กตัวป่วนผู้นี้ออกจากร้านไปโดยเร็ว เดี๋ยวจะเกะกะผู้ป่วยที่จะมาซื้อยา แม้เป็นคนในตลาดที่มีเงินไม่มากนัก แต่ก็เงินทั้งนั้น จะพลาดแม้แต่เหมาเดียวไม่ได้เด็ดขาด
“นี่...ถงถง...เอาเงินมาหนึ่งหยวนก็ได้ ถ้าฉันไม่มีถึงหนึ่งหยวนฉันก็เข้าโรงเรียนไม่ได้นะ” หยางเหล่ยตะโกนเข้าไปในร้านที่ถงถงนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่คนที่ตอบกลับไม่ใช่ถงถง แต่เป็นเจ้าเด็กอ้วนกลมที่กวนประสาทเขา
“เหอะ...แกจะพกเงินทำไมตั้งหนึ่งหยวน พกวันละหนึ่งเหมาก็พอ บะหมี่กับข้าวจานละหนึ่งเหมาเท่านั้น หากคนอย่างแกพกเงินวันละหนึ่งหยวน หนึ่งเดือนก็สามสิบหยวน เท่ากับเงินเดือนพนักงานราชการด้วยซ้ำ กรรมกรแบกข้าวสารในตลาดยังมีค่าจ้างวันละเจ็ดเหมา หนึ่งเดือนก็ประมาณยี่สิบหยวน เจ้าแค่นักเรียนจะใช้อะไรมากมายฮะ”
อาหมิงยิ่งพูดก็ยิ่งใช้เสียงและยิ่งใช้เสียงก็ยิ่งรู้สึกว่าตะโกนให้ดังจะเหนือกว่า แต่กว่าจะพูดจบเขาก็คอแห้งเสียแล้ว
“รอก่อนหมิงไปกินน้ำก่อนเดี๋ยวจะมาด่าใหม่” อาหมิงวิ่งเข้าไปกินน้ำแล้วรีบวิ่งออกมากลัวว่าหยางเหล่ยจะกลับไปก่อนที่ตนเองยังพูดไม่จบ
ถงถงมองภาพเจ้าเด็กอ้วนสั่งสอนน้องชายตัวเองแล้วนึกชื่นชม เอาไว้จะให้ค่าจ้างเพิ่มก็แล้วกัน ปกติร่างเก่าให้ค่าจ้างเจ้าหมิงอ้วนนี้เดือนละสิบหยวนเท่านั้นเพราะเป็นเด็ก และรายได้ของร้านยาสมุนไพรมีแต่จะซบเซาลง
แต่จากฝีปากน่าจะเพิ่มอีกสักสิบหยวนถึงจะดี แบบนี้แหละเครื่องด่าแทนที่เธอชอบ
“นี่ถงถง...ฉันพูดจริง ๆ นะ...ฉันต้องการเงิน”
เสียงถกเถียงที่ร้อนแรงด้านนอกเริ่มเบาลง พร้อมกับร่างของน้องชายที่มายืนที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอทำให้เธอมองไปที่ร่างของน้องชาย ก่อนจะถามถึงเหตุผล
“นายอธิบายมาสิ...ว่าต้องการเอาเงินไปซื้ออะไร”
“ก็ฉันต้องกินข้าวที่โรงเรียน แล้วก็ยังต้องกินขนมปังฝรั่งเศสร้านเปิดใหม่ที่หน้าโรงเรียน ขนมปังกับน้ำรวมกันก็หนึ่งหยวนพอดี...ถ้าเธอให้ฉัน จะไม่มาขอร้องเธออีก”
ถงถงยกยิ้มขึ้นมุมปาก ที่แท้ก็ขนมปังฝรั่งเศสจากร้านเปิดใหม่นี่สิเนอะ...เหล่าพวกคุณหนูคุณชายต้องไปลองลิ้มชิมรส
“บ้า...บ้ามาก...บ้าที่สุด ขนมปากทาด้วยทองหรือไง ตั้งหนึ่งหยวน รู้ไหมหนึ่งหยวนซื้อข้าวสารได้เกือบสิบกิโล หุงข้าวกินได้เป็นเดือน นี่คุณชายอย่างพวกเจ้าไม่เห็นค่าของเงินเลยหรือไง”
อืม...ถงถงไม่ต้องเหนื่อยอธิบายเลย เจ้าอ้วนหมิงของเธอจัดการพูดแทนใจหมดแล้ว แต่เธอก็เข้าใจว่าการเรียนโรงเรียนที่มีหน้ามีตาย่อมต้องมีภาษีสังคม มิน่าเล่าน้องชายปากเสียถึงได้เอาแต่รีดไถพี่สาวจนสิ้นเนื้อประดาตัว
“อยากกินก็ได้ แต่เธอต้องทำงาน”
“แต่ฉันต้องไปเรียนนะ”
“กลับจากเรียนก็ต้องมาทำงาน โรงเรียนเลิกบ่ายสามโมงเย็นใช่ไหม เดี๋ยวเจ้าหมิงจะไปรับนายเอง”
ฮะ...ให้เจ้าอ้วนไปยืนรอรับเขาที่หน้าโรงเรียน มีหวังเขาได้อับอายแน่ ๆ
อาหมิงรอวันนี้มานานแล้ว เสี่ยวหมิงส่งสายตาเจ้าเล่ห์หรี่แคบลงจ้องไปทางหยางเหล่ย
คราวนี้แหละเขาจะได้สั่งสอนเจ้าหยางเหล่ยได้ถนัดปาก
“แต่ตอนเย็นรถต้องไปส่งแม่เล็กไปงานเลี้ยงนะ”
“รถรางก็มีไม่ใช่เหรอ ซื้อตั๋วรถรางขึ้นมา ส่วนค่าตั๋วเดี๋ยวเสี่ยวหมิงจะเป็นคนถือเอาไว้ ส่วนนี่หนึ่งหยวน แต่เป็นหนึ่งหยวนที่เธอจะได้ทั้งอาทิตย์นี้เท่านั้นนะ หากจะซื้อขนมกินวันเดียวฉันก็ไม่ว่าอะไรเธอหรอกนะ หากเธอสามารถอดข้าวกลางวันอีกสี่วันไหว”
ธนบัตรใบละหนึ่งหยวนสีเขียวอ่อนรูปผู้นำประเทศในตอนนี้ถูกยื่นให้กับหยางเหล่ยทันที
เขารับมาแต่กลับรู้สึกหนักอึ้งในอก เพราะนอกจากรับเงินแล้วยังต้องแบกเงื่อนไขที่ตัวเองต้องรับให้ได้อีกด้วย ไม่ใช่แค่รีดไถพี่สาวไปวัน ๆ เหมือนเมื่อก่อน ส่วนเจ้าเด็กด้านข้างยืนเอามือปิดปากหัวเราะเยาะเขา แต่สุดท้ายแม้ว่าศักดิ์ศรีจะค้ำคอ แต่หยางเหล่ยคิดว่าเงินก็สำคัญเช่นกัน เขาจะกัดฟันยอมรับเงื่อนไขนี้สักครั้ง
“อ้อ...ฉันลืมบอก...ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ฉันหวังว่าเธอจะไม่ตุกติก เพราะเจ้านั่นคือเครื่องด่าที่นายจะต้องอับอายคนทั้งโรงเรียน” กู้ถงถงชี้ไปที่เจ้าคุนหมิงที่ยืนยักคิ้วกวนโมโหใส่น้องชายของเธอ และบอกให้รู้ว่าหากเขาไม่ทำตามเงื่อนไขจะพบกับอะไรบ้าง
หยางเหล่ยมองเจ้าเด็กอ้วนด้วยท่าทางอึดอัดเต็มทน พร้อมกับกดข่มอารมณ์เอาไว้ในใจหวังว่าสักวันจะได้เอาคืนเจ้าเด็กที่มาแย่งความรักจากแม่ของเขาไปไม่พอ พี่สาวยังเอนเอียงไปอีกคน
เขาขึ้นรถของคนขับรถบ้านสกุลกู้ไปยังโรงเรียน จากนั้นก็คิดว่าจะมีวิธีที่ทำยังไงที่เขาจะไม่ต้องมาทำงานที่ร้านยาของถงถง แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกสักทีจนกระทั่งถึงโรงเรียนแล้วก็ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เมื่อร้านกลับมาสงบอีกครั้ง กู้ถงถงตรวจสอบบัญชียากับรายได้ทั้งหมดแล้วพบว่ามันยังขาดทุนอยู่มากทีเดียว และยาพวกนี้เป็นมรดกตกทอดมา หากยาร่อยหรอแล้วยังไม่สามารถทำให้ร้านกลับมารุ่งเรืองได้ คงต้องปิดร้านเป็นแน่
แต่ทว่าเธอต้องทำให้ร้านยาของเธอมีชื่อเสียงเสียก่อน
หลังจากหยางเหล่ยจากไป ในครัวก็มีเสียงเคาะตะหลิวเคาะกระทะ กลิ่นหอมของข้าวสุกใหม่ และกับข้าวที่เจ้าเด็กฉลาดวัยห้าขวบจัดการเป็นพ่อบ้านให้เธออย่างดีกำลังทำหน้าที่อย่างเก่งกาจทีเดียว
เธอเดินตามกลิ่นอาหารเข้าไปในครัว เห็นเจ้าหนูน้อยเอาเก้าอี้ยืนต่อตัวเองให้ผัดข้าวในกระทะได้คล่องแคล่ว ยังมีผัดไข่กับมะเขือเทศ มะเขือยาวสีม่วงคลุกแป้งทอดกรอบแล้วราดด้วยน้ำซอสสีน้ำตาลไหม้ท่าทางน่ากินไม่น้อย
‘เจ้าเด็กนี่เป็นใครมาจากไหนกัน’
คุนหมิงทำให้เธอแปลกใจมาก ๆ เลยทีเดียว เมื่อข้าวผัดในกระทะสุก เสี่ยวหมิงก็ยกกระทะวางแล้วตักใส่ชามใหญ่ ๆ ก่อนจะเอาถ้วยมาแบ่งแล้วจัดโต๊ะ เขาเห็นด้วยว่าพี่ถงถงมองเขาอยู่จึงหันมาฉีกยิ้มให้
“กินข้าวเร็วเข้าพี่ถงถง วันนี้หมิงหาลูกค้าให้พี่ถงได้แล้ว เดี๋ยวสาย ๆ น่าจะเข้ามา”
หือ...หาลูกค้า เจ้าเด็กตัวเล็กแค่นี้น่ะหรือหาลูกค้าให้เธอ ชักจะเก่งเกินไปแล้ว
“ลูกค้าที่ไหน”
“ตรงร้านสหกรณ์มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าไม่มีทางรักษา รอตายอย่างช้า ๆ ตอนนี้ชายคนนั้นสิ้นหวังมาก ๆ ถึงกับไม่อยากมีชีวิตอยู่”
เจ้าเด็กนี่รู้จักหาลูกค้าให้เธอ เก่งกาจไม่เบาเลย จริง ๆ แต่ว่าอาการแบบนี้ไม่ใช่แค่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองหรอกหรือ แต่หากเธอตรวจดูดี ๆ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ถ้ารักษาโรคให้ชายคนนี้ได้ก็นับว่าดีไม่น้อย
“พี่ถงถงไม่ต้องเครียดว่าเขาจะไม่มีเงินจ่าย เขาเป็นพวกผู้มีอิทธิพลนิดหน่อยในย่านนี้ เขาขายคูปองเถื่อนด้วย หมิงไปซื้อมาด้วยสองใบ เพราะเราไม่มีทะเบียนบ้านจึงไม่ได้รับแจกคูปอง”
โอ๊ะ...ไม่ใช่แค่เรื่องปากท้องกับเรื่องรักษาแล้วสินะ หากเธออยากได้ทะเบียนบ้านเพื่อจะได้รับแจกคูปองด้วย บางทีคนผู้นี้อาจจะช่วยเธอได้ และจะได้ตัดขาดจากบ้านตระกูลกู้เสียที
“เสี่ยวหมิงฉลาดมาก เอาไว้พี่ถงถงจะขึ้นเงินเดือนให้เดือนหน้า”
“พี่ถงอย่าพูดให้หมิงดีใจ พี่ถงไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง หมิงมาหลายเดือนแล้วนะ”
นี่เจ้าของร่างไม่ได้จ่ายเงินเสี่ยวหมิงเลยหรือ แต่ว่าบัญชีร้านยาติดลบขนาดนั้นจะเอาเงินที่ไหนจ่ายให้เจ้าเด็กฉลาดคนนี้ ยังดีที่เจ้าอ้วนไม่ทิ้งเธอไป ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่เหลือใครอีกแล้วสินะ
“เอานี่สามสิบหยวนเดี๋ยวมีรายได้มากกว่านี้จะคืนให้จนครบพร้อมกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นด้วย”
แกรก!
ตะเกียบในมือของคุนหมิงตกลงบนโต๊ะเมื่อมองเห็นค่าจ้างสามสิบหยวนของตนเอง เขาขยี้ตาทันทีเพราะเมื่อครู่พี่ถงถงยังอิดออดไม่ให้เงินอาเหล่ยอยู่เลยนี่นา เขาจึงคิดว่าพี่สาวไม่มีเงินน่ะสิ
แต่นี่เงินจากไหน?
“พี่ถงถงให้หมิงจริง ๆ เหรอ...ไม่ได้หลอกใช่ไหม ให้แล้วให้เลยหมิงไม่คืนหรอกนะ” ถึงจะถามแต่คุนหมิงรีบเก็บทันที เขาไม่เคยพกเงินที่มากขนาดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ นี่มันเงินก้อนใหญ่ในชีวิตเขาเลยนะ
“ใช่สิ...แต่ว่าพี่อยากรู้ว่าทำยังไงร้านเราถึงจะกลับมาโด่งดังเหมือนเดิม” กู้ถงถงรู้ว่าตัวเองมียาดี แต่จะหาวิธีกระจายข่าวยังไงเท่านั้นเอง
“ไม่ยากหรอกพี่ถงถง แค่รักษาผู้มีอิทธิพลหรือคนตระกูลดัง ๆ หาย เราก็รวยแล้ว”
นั่นสิเนอะ...เจ้าอ้วนนี่ฉลาดจริง ๆ เลย แบบนี้ต้องมีรางวัลเสียแล้ว เพราะคนรวยในยุคนี้เสียงดังกว่าคนจน ๆ นั่นเอง