กู้ถงถงขมวดคิ้วมองไปยังประตูที่มีคนมาเคาะ แต่เวลานี้แล้วฟ้าก็มืดใครกันที่ไม่รู้จักมารยาท มาโวยวายเอาตอนร้านปิดแล้วเธอก็ไม่อยากรับเช่นกัน
“ร้านปิดแล้วค่ะ ค่อยมาพรุ่งนี้เถอะ” กู้ถงถงเองก็ยืนทุบแขนด้วยอาการเมื่อยขบแล้วเช่นกัน หากให้เธอรักษาคนตอนนี้ก็ไม่ไหว ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเกินไป แม้ยาจะเตรียมไว้เยอะ แต่มีบางอย่างที่ต้องเร่งหลอมขึ้นมาใหม่เช่นกัน
ปัง ปัง ปัง !
ยังอีกยังไม่หยุดอีกงั้นสิ เฮ้อ...อย่าให้เธอต้องเรียกเจ้าอ้วนออกมาด่านะ
“บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่รับคนไข้เพิ่มแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ก็เงียบไปแล้วเช่นกันทำให้เธอเดินเข้าไปหลังครัวก่อนจะบ่นกับเสี่ยวหมิง
“ใครก็ไม่รู้ช่างไม่รู้เวลาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เขียนป้ายว่าปิดหกโมงเย็นก็แล้วกันมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว”
“พี่ถงอย่าหักโหมเดี๋ยวก็ป่วยไปก่อน นี่ขาหมูร้อน ๆหมิงอุ่นเอาไว้แล้ว ข้าวกำลังหุงรอสักครู่ หรือจะกินส้มก่อนก็ได้นะ ป้าขายส้มในตลาดเอามาฝากตอนที่รอตรวจ” เสี่ยว หมิงเห็นหน้าพี่ถงอ่อนล้าก็อดสงสารไม่ได้
ส่วนหยางเหล่ยเขารู้สึกตัวเองไร้ค่าไปเลย และดูเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ทั้งที่นี่เขาก็เป็นน้องชายถงถงเหมือนกัน ยิ่งเห็นว่าถงถงต้องรักษาคนเหน็ดเหนื่อยเขาคิดอยากจะทำประโยชน์ให้กับเธอบ้าง
เขาลุกขึ้นจากนั้นก็เดินเข้าไปบีบที่ไหล่ของพี่สาว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรเพื่อคนอื่น
กู้ถงถงชะงักค้าง ไม่นึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็มีน้ำใจทั้งมองอย่างระแวงว่าจะบีบคอเธอแทนหรือเปล่าที่งกไม่ยอมให้เงินกับเจ้านั่นดี ๆ แต่หยางเหล่ยอ่านสายตานั้นออกจึงรีบพูดกลบเกลื่อน
“ก็เมื่อยไม่ใช่หรือไงอยู่นิ่ง ๆ สิ”
ถงถงยิ้มอ่อน ไม่นึกว่าเจ้าเด็กนี่จะมีน้ำใจด้วย เธอจึงปล่อยให้เขานวดไหล่ให้โดยที่เจ้าอ้วนคนเก่งของเธอกำลังต้มไข่คนละฟองเพิ่มด้วย พลางนึกชื่นชมเจ้าเด็กคนนี้ช่างรอบคอบ มองไปบนโต๊ะยังมีผักคะน้าผัดน้ำมันอีก ทำอาหารเก่งไม่เบาเลยนะ จนอดถามไม่ได้
“เสี่ยวหมิงไปหัดทำอาหารจากไหนมา”
“ก็คุณแม่พี่ถงอย่างไรเล่า สอนเสี่ยวหมิงตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเสี่ยวหมิงฉลาดจำเก่ง”
นี่ผ่านมาสามปีเจ้าเด็กคนนี้จำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ จนเธอต้องมองใหม่อีกครั้งแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวหมิงควรจะต้องไปโรงเรียนแล้วหรือเปล่า แต่ที่นี่ต้องอายุเจ็ดขวบนี่เนอะกว่าจะเข้าเรียนได้
“เดี๋ยวเจ็ดขวบพี่ถงจะพาไปสมัครเรียน”
“ไม่เอาหรอก หมิงไปเรียนใครจะทำงานให้พี่ถงล่ะ ทำคนเดียวไหวที่ไหนกัน”
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดไปโรงเรียนจะได้มีความรู้ คนช่วยเดี๋ยวจ้างเอาก็ได้ ดูอย่างอาเหล่ยสิยังไปโรงเรียน”
“แล้วหยางเหล่ยช่วยอะไรได้ ซักผ้าหมิงยังต้องสอน เรื่องเรียนน่ะหมิงไม่สนใจหรอก ง่วงเปล่า ๆ ทำงานสนุกกว่าเยอะเลย”
หยางเหล่ยกัดฟัน แต่เจ้าอ้วนพูดถูกเขาไปโรงเรียนยังทำงานไม่เป็นด้วยซ้ำ
แต่เขาจะไม่ยอมให้เจ้าอ้วนดูถูกเขาตลอดไปหรอกนะ
ถงถงคิดว่าหยางเหล่ยดื้อแล้ว เธอพบคนที่ดื้อกว่าแล้วก็คือเจ้าเสี่ยวหมิง
“ไม่ได้” เธอยืนกรานหนักแน่น
เสี่ยวหมิงบุ้ยปากไม่พอใจ แต่ก็ขัดคำสั่งไม่ได้จึงรับปากไปก่อน
“อีกตั้งสองปี เอาไว้หมิงจะคิดดูก่อน”
ได้เด็กดื้อนี่ยังจะคิดดูก่อนอีกให้ตายเถอะ แต่เธอก็ได้แค่ส่ายหน้า เพราะว่างานในบ้านเจ้าเด็กตัวน้อยทำเก่งยิ่งกว่าจ้างลูกจ้างสองสามคนเสียอีก
“เดี๋ยวจะขึ้นค่าแรงให้เป็นเดือนละยี่สิบหยวนดีไหม”
คำว่ายี่สิบหยวนทำให้หยางเหล่ยตาตื่น เขาเองก็อยากมีเงินเหมือนกันจะได้ไม่ต้องแบมือขอเจ้าเด็กนั่น ตัวเล็กแค่นั้นกลับมีเงินของตัวเองใช้จ่าย แต่เขานี่สิมีอะไรกันนอกจากตัวเปล่า
“แล้วจ้างฉันด้วยได้ไหม” หยางเหล่ยกัดฟันถาม
กู้ถงถงมองหน้าเจ้าเด็กที่อิดออดไม่อยากทำงาน วันนี้เกิดอยากให้เธอจ้างขึ้นมา เขาคิดอะไรอยู่นะ แม้จะทำหน้าสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดค่อนขอดให้เสียกำลังใจ
ในเมื่ออาสาทำงานก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่คงคิดอะไรได้บ้างแล้ว
“ได้สิ...ฉันจะจ้างนายเท่ากับเสี่ยวหมิง แต่นายต้องเป็นผู้ช่วยเขา เขาสั่งอะไรนายก็ต้องทำ”
เธอหวังจะได้เห็นว่าคนที่มีอีโก้สูงอย่างอาเหล่ยของเธอจะต่อต้านไม่ยอมรับ เพราะคนอย่างเขาหากให้ถูกชี้นิ้วสั่งบ่อย ๆ ก็คงทำไม่ได้นานหรอก อย่างมากก็แค่ชั่วโมงเดียวคงจะถอดใจ แต่คำตอบกลับทำให้เธอคาดไม่ถึง
“ได้สิ...ต่อไปฉันจะกลับบ้านเอง แล้วรีบมาช่วยเจ้าอ้วนหมิง”
เสี่ยวหมิงที่ตักไข่ออกจากกระทะเสร็จแล้วก็หันมายืนเท้าเอวมองอาเหล่ยที่เรียกเขาเจ้าอ้วนไม่หยุด
“นี่...อาหมิงชื่อคุนหมิง หรือเรียกหมิงเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเติมอ้วนไปอยู่ด้านหน้าชื่อ หมิงไม่อยากได้รับเกียรติขนาดนั้น”
กู้ถงถงยิ้มให้กับเจ้าอ้วนของเธอที่วีนได้น่ารักจริง ๆ แม้จะเป็นคู่กัดกันแต่พออยู่ด้วยกันแล้วเธอก็เห็นว่าเสี่ยว หมิง ออกจะเป็นห่วงอาเหล่ยจะตายไป แต่ปากบ่นไม่หยุด
นี่สินะที่เรียกว่า รักกันดีตีกันทุกวัน
หลังกินข้าวเสร็จถงถงก็หลับเป็นตายไปเลย เพราะเหนื่อยมากเกินไป จนกระทั่งถึงเช้าจึงตื่นขึ้นมา ส่วนเสี่ยว หมิงเหน็ดเหนือยแค่ไหนก็ตื่นเวลาเดิม ทั้งยังหุงข้าวทำอาหารตั้งแต่เช้าอีกด้วย
ส่วนอาเหล่ยก็อาบน้ำแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าของเขาก็ไม่ได้หมองเหมือนเดิมแล้ว ทำให้เธอมองดูว่าใบหน้าเขาก็แจ่มใสขึ้น คงไม่ได้รับการกรอกหูให้ทำแต่เรื่องไม่ดีจากแม่เลี้ยงล่ะสิ
เด็กยังไงก็คือผ้าขาว หากแต้มสีอะไรไปก็จะออกมาแบบนั้น อยู่ที่นี่ขัดเกลานิสัยสักระยะก็ดีเหมือนกัน หากวันใดเขาเปลี่ยนใจอยากกลับไปเป็นคุณชายกู้เธอก็จะไม่ขัดขวาง
เช้าวันนี้ยังคงเหมือนเดิม คนมารอรักษากันตั้งแต่เช้าพวกเราก็แยกย้ายกันทำงาน อาเหล่ยไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เสี่ยวหมิงเป็นผู้ช่วยเธอเป็นแบบนี้ทุกวัน
จนกระทั่งผ่านไปเจ็ดวัน คนที่เธอลืมไปแล้วก็มาเยือนเสียที
“หนูถง...ลุงฟ่านเองจำได้หรือไม่”
กู้ถงถงที่คล้องคอด้วยเครื่องวัดการเต้นของหัวใจกำลังจดรายละเอียดอาการของคนไข้พร้อมกับสั่งยา เงยหน้าขึ้นมองแล้วดูลุงฟ่านที่เดินเองได้คล่องเสียด้วย ผิดจากวันแรกที่เจอกันยังต้องพยุง
“สวัสดีค่ะคุณลุงฟ่าน ฉันขอตรวจตรงนี้อีกสองคนก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยด้วย”
คนไข้ตอนเช้าวันนี้มีเพียงสิบคน นี่ก็เกือบหมดแล้ว เธอจึงรีบจัดการให้เสร็จ ส่วนใหญ่ก็มาด้วยอาการปวดท้อง ปวดหลัง และพวกโรคสตรีที่ไม่ได้ดูแลตัวเอง เธอจึงจัดยาให้ได้ง่ายหน่อย
ลุงฟ่านมองร้านของแม่หนูคนนี้แล้วก็คิดอะไรบางอย่าง เขาเตรียมเงินมาจ่ายแทนเจ้าลูกชายตัวดีที่พนันเอาไว้แต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า จึงบ่ายเบี่ยงไม่มาวันนี้กลัวขายหน้าสตรี เขาจึงให้คนขับรถมา และต้องการคุยอะไรบางอย่างกับหนูถงถงอีกด้วย
กู้ถงถงตรวจอาการของลุงฟ่านอีกรอบพบว่าอาการดีขึ้นมากแล้วจริง ๆ เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้เธอยิ้มออก
“เดี๋ยวคุณลุงกินยาที่ฉันจัดให้อีกหนึ่งเดือนนะคะ จากนั้นก็ดูแลสุขภาพให้ดีกินอาหารที่มีประโยชน์ไม่มีไขมันมากจนเกินไป”
เธอจัดยาให้หลังจากพูดจบจากนั้นก็ยื่นยาให้ แต่ทว่าสิ่งที่ลุงฟ่านยื่นมาให้คือเงินปึกหนาจนเธอต้องมองอีกครั้ง
“นี่มัน...” เธอมองลุงฟ่านอย่างแปลกใจพลางยักคิ้วถามอย่างสงสัย
“หนึ่งพันหยวนสำหรับรักษาโรคให้ฉัน ฉันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นี่ยังคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เทียบไม่ได้กับร้อยหยวนที่พนันเอาไว้หรอก” ฟ่านฉายยื่นเงินนั้นให้เธอโดยไม่นึกเสียดายสักนิด
เขามีเงินมากมาย แต่เมื่อเจ็บป่วยกลับใช้เงินนั้นซื้อให้ตัวเองหายจากโรคไม่ได้ด้วยซ้ำ
“หนูรับไม่ได้หรอกค่ะ”
“รับไปเถอะ ลูกชายฉันยังไม่กล้าสู้หน้าเธอด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่เธออยากขอก็พูดมาเถอะ ฉันจะจัดการให้อย่างดี”
ถงถงยิ้มเงินจำนวนนี้มากก็จริง แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่านั้นก็คือ...
“หนูอยากได้ทะเบียนบ้าน และใบอนุญาตประกอบขายยาอย่างถูกต้องที่สามารถจำหน่ายให้โรงพยาบาลได้”
ใช่เธอคิดว่าไม่ง่ายที่จะได้มันในยุคนี้ ทั้งจะรักษาเหมือนโรงพยาบาลยังต้องมีใบอนุญาต ตอนนี้เธอเพียงสั่งยาให้ในนามคนขายยาเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้โดยการรักษาแบบแพทย์
แต่ว่าเรื่องนั้นเธอรู้ดีว่าต้องจบเฉพาะด้าน แต่เรื่องทำยาเธอถนัดและคิดว่าจะช่วยคนป่วยที่ทรมานจากโรคได้เยอะ
ฟ่านฉายยิ้มให้เธอ เขารับรู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นต้องการแบบนี้เพราะอะไร เจ้าเด็กหมิงนั่นไปซื้อคูปองจากเขาอยู่บ่อยครั้ง และจากการสืบประวัติของเธอเขาก็บังเอิญรับรู้เรื่องมาบ้าง
“เรื่องทะเบียนบ้านเธอใส่ชื่อมาเถอะ พรุ่งนี้เธอจะได้ทะเบียนบ้านพร้อมกับคูปอง ส่วนใบอนุญาตนั้น หากเธอรับปากฉันจะช่วยคนคนหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาจะจัดหาให้เธอได้”
สิ่งที่ฟ่านฉายพูดทำให้ถงถงขมวดคิ้ว ช่วยใครกันที่มีอำนาจขนาดนั้น หรือว่าเป็นคนสำคัญในตระกูลใหญ่ ๆ
“ใครงั้นเหรอคะ”
“เอาไว้หนูได้พบเขาก่อนจะรู้เอง”
ลุงฟ่านจากไปพร้อมกับทิ้งเงินจำนวนพันหยวนและสิ่งที่เธอสงสัยเอาไว้ ทั้งยังดูมีลับลมคมในเสียจนเธออยากรู้จริง ๆ
ถ้าเขาคนนั้นสามารถทำให้คนอย่างฟ่านฉายพูดจาแบบนี้ได้…เขาจะเป็นใครกันแน่? และทำไมถึงต้องการให้เธอช่วยด้วย?
แต่ไม่ว่าเขาเป็นใคร หากเธอได้เจอสักครั้งไม่แน่อาจจะพอมีทาง