เสี่ยวหมิงเดินมาถึงร้านโจ๊กเจ้าเด็ดและดังที่สุดในตลาด ทั้งยังเป็นศูนย์รวมการกระจายข่าวที่ดี ครั้งก่อนลุงฟ่านเขาก็มาเจอที่นี่ระหว่างไปซื้อของที่สหกรณ์ของรัฐ
ป้าหลี่ขายโจ๊กที่นี่มาสิบปีแล้วดังนั้นย่อมรู้จักคนกว้างขวางและแน่นอนว่าเสี่ยวหมิงมาปะเหลาะกินโจ๊กฟรีบ่อย ๆ ด้วยคำหวาน ๆ
“ป้าหลี่ทำไมวันนี้ดูใบหน้าผุดผ่องกว่าเดิมอีกล่ะครับ หมิงไม่ได้เจอแค่วันเดียวสาวขึ้นอีกสิบปีเชียวล่ะ แบบนี้ลุงหวังไม่อยากให้ออกนอกบ้านแน่ ๆ”
แน่นอนว่าป้าหลี่บ้ายอ ได้ยินเจ้าเด็กอ้วนชมก็รีบรับเลย
“นี่ชมเกินไปจะกินอะไรวันนี้จะแถมให้พิเศษเลย”
“วันนี้ไม่มากินฟรีนะครับ วันนี้พาน้องชายพี่ถงมากินโจ๊กที่อร่อยที่สุดในเซี่ยงไฮ้ มีแม่ค้าที่สวยที่สุดในเมืองขาย”
อื้ม...หยางเหล่ยมองสิ่งที่เจ้าอ้วนหมิงชมแล้วก็ถอนหายใจแบบเอือม ๆ เจ้าอ้วนนี่โกหกได้คล่องปากคล่องคอเหมือนกลืนน้ำลายจริง ๆ
หากวันไหนเจ้านี่ชมเขา เขาจะไม่เชื่อเด็ดขาด
“เอาโจ๊กหมูใส่ไข่ลวก ตับ สองถ้วยของหมิงเอาแบบพิเศษสุด ๆ เลยนะ”
“ได้สิ...นั่ง ๆ ตรงนี้เลยโต๊ะประจำสำหรับเสี่ยวหมิง” เสี่ยวหมิงเดินไปนั่งก่อนจะรินน้ำชาสองแก้วให้กับหยางเหล่ยด้วย จากนั้นชวนสนทนาต่อ
“ป้าหลี่ ลุงหวัง นี่รู้หรือเปล่าลุงฟ่านที่มีอิทธิพลแถวนี้น่ะ แกเป็นอัมพาตครึ่งซีกไปรักษากับพี่ถงวันเดียว ปากเบี้ยวก็เริ่มกลับมาดีเลยนะ”
“อั๊ยหยา...นี่พูดจริงหรือพูดเล่นกัน” ป้าหลี่รีบตักโจ๊กก่อนจะมายืนคุย แล้วให้ลุงหวังเป็นคนยกมาให้แทนราวกับกลัวว่าจะตกข่าว
“รอดูอีกเจ็ดวันก็แล้วกันป้าหลี่ พี่ถงบอกว่าโรคนี้รักษาได้ พี่ถงฝังเข็มเสร็จลุงฟ่านพูดเป็นคำได้เลย จนต้องบอกให้ใจเย็น ๆ ตอนแรกลูกชายลุงฟ่านดูถูกพี่ถงว่าเป็นสตรีจะมีความสามารถอะไร แต่เจอพี่ถงรักษาแป๊บเดียวหน้าหงายเลย”
เสี่ยวหมิงนอกจากโม้เก่งแล้วทักษะในการกินไปพูดไปยังที่หนึ่ง แม้จะเคี้ยวหมูอยู่เต็มคำก็ตาม จนหยางเหล่ยประหลาดใจ
มารยาทบนโต๊ะอาหารที่ตระกูลกู้คือห้ามพูดขณะกินข้าว แต่เจ้านี้ทำทุกอย่างที่ไร้มารยาทจนหมด เหมือนไม่เคยอยู่ในตระกูลที่ได้รับการอบรมสั่งสอน
แม้ว่าเขากินไปเงียบ ๆ แต่ก็ฟังสิ่งที่เจ้าอ้วนพูดไปด้วย ทั้งไม่เคยรู้เลยว่าพี่สาวต้องเจอกับสิ่งใดบ้างตอนเปิดร้านสมุนไพร โดยที่คุณพ่อไม่ได้สนใจความลำบากของพี่สาวเลยจนเขารู้สึกว่า เขาละเลยบางอย่างไปหรือเปล่านะ
“นั่นโรคที่แม้แต่หมอที่โรงพยาบาลยังบอกให้รอวันตายเชียวนะ ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้แน่ ๆ” ป้าหลี่พูดขึ้นทั้งยังตื่นเต้นกับความสามารถของแม่หนูถงถงเหลือเกิน
“ที่จริงโรคอะไรพี่ถงก็รักษาได้ คนเป็นไข้ต้องรักษาตั้งหลายวันถึงจะหาย หมิงกินยาวันเดียวนอนหลับตื่นขึ้นมาก็หายเลย ยานั้นดีนักเชียว”
“อั๊ยหยา...หลานข้างบ้านเราเป็นไข้ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นเลย ตาแก่รีบไปบอกให้พาไปหาแม่หนูถงให้รักษาเร็วเข้าอย่าชักช้า หลานฉันจะได้หาย”
เสี่ยวหมิงยิ้มออก อย่างน้อยวันนี้ก็ตกคนไข้ได้หนึ่งคนแล้ว แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดนั่นคือ ลุงฟ่านอาการดีขึ้น จริง ๆ คนที่นั่งกินโจ๊กอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นสมทบ
“เมื่อวานผมเห็นลุงฟ่านอาการดีขึ้นจริง ๆ แกเริ่มเดินเองด้วยไม้เท้ายัน มองจากรั้วบ้านตอนไปรับคูปองตาไม่ฝาดแน่” ชายผู้นั้นเป็นช่างก่อสร้าง มีอาชีพสร้างบ้านและรับจ้างทั่วไป เขามีสมาชิกในบ้านน้อย ดังนั้นคูปองไม่พอจึงต้องไปซื้อใต้ดินมาใช้
“นี่แค่สองวันนะ เจ็ดวันต้องเห็นลุงฟ่านเดินปกติ แน่ ๆ ป้าหลี่วางใจยาตระกูลหวังดีที่สุด พี่ถงเดิมก็เก่งกาจมาก ยังรักษาโรคปวดหลังให้ป้าหลี่หายไม่ใช่หรือไง”
ป้าหลี่คิดแล้วก็จริง โรคปวดหลังเป็นมานานไม่ยอมหายแม่หนูคนนั้นจับดัด ๆ ตัวสองสามทีก็ดีขึ้นให้ยามากินกับบอกวิธีทำให้อาการปวดหลังลดลงจนสุดท้ายก็หายสนิทภายในหนึ่งเดือน
นี่เธอลืมคิดไปได้ยังไงนะ
“พี่ถงพูดว่าหากได้ผ่านมือพี่ถง ไม่ว่าโรคอะไรก็รักษาได้ หากยังไม่ถึงวันหมดอายุไขของคนคนนั้น ทางที่ดีรีบไปหาพี่ถงก่อนจะสายไป วันนี้หมิงมาบอกข่าวเท่านี้ล่ะ ไปก่อนนะครับป้าหลี่”
เสี่ยวหมิงโม้จบก็พอดีกับโจ๊กหมดถ้วย ส่วนหยางเหล่ยก็กินหมดพอดี เขาดื่มน้ำแล้วก็สะพายกระเป๋าลุกขึ้นก่อนจะเดินตามเจ้าเด็กอ้วนไปโรงเรียน
ที่น่าเจ็บใจก็คือเจ้าเด็กนี่ซื้อตั๋วรถรางคล่องแคล่วไม่พอ ยังรู้จักคนขายตั๋ว จะว่าไปไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าเสี่ยวหมิงเลยนี่นา เจ้านี่เป็นคนดังขนาดนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นคำถามที่เขายังต้องหาคำตอบ
หยางเหล่ยมาถึงโรงเรียนไม่สายเกินไปผิดกับที่มาด้วยรถของตนเองเกือบจะสายทุกครั้ง เจ้าอ้วนที่เดินหายไปไหนไม่รู้จากนั้นก็เดินมาพร้อมห่อขนมแล้วยื่นให้เขา
“เก็บเอาไว้กินตอนพัก เจ้านี้อร่อยมากนะ ซาลาเปาทอด” หยางเหล่ยยื่นมือไปรับซาลาเปา จากนั้นเขาก็ยังต้องรับเงินจากเสี่ยวหมิงอีก
“เอานี่ห้าเหมาสำหรับค่าข้าวกลางวันใช้ประหยัด ๆ ล่ะ กินแค่ข้าวมื้อเดียวพอ”
“.....”
เจ้าอ้วนสั่งเสร็จก็เดินไปทิ้งให้เขายืนอึ้งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่ที่หน้าโรงเรียน
เขาทำงานเมื่อวานมีค่าแค่ห้าเหมาเองอย่างนั้นเหรอ... ทำงานเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้เชียว แต่เอาเถอะบางทีเขาควรต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว...
ข่าวที่เสี่ยวหมิงไปปล่อยนั้นไม่ได้มีแค่คนในตลาดที่รู้เรื่อง ป้าหลี่นั้นไม่ว่าใครไปใครมาเรื่องอะไรที่รู้วันนี้ก็ป่าวประกาศออกไปจนหมด และเพียงไม่กี่ชั่วโมง ข่าวที่ลุงฟ่านอาการดีขึ้น เปลี่ยนเป็นหายดีเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยทันที แต่นั่นไม่ได้เกินความคาดหมายของถงถงเลยสักนิด ยิ่งข่าวบิดเบือนเธอยิ่งชอบ เพราะนั่นจะดึงดูดเป้าหมายที่แท้จริง
เสี่ยวหมิงกลับจากส่งหยางเหล่ยเขาเห็นคนต่อแถวเข้าร้านขายยาตระกูลหวังก็รีบวิ่งสับตีนแตกทันที เขาไปถึงก็รีบวางกระเป๋าแล้วก็จัดแถวให้คนเข้ามานั่งรอตามลำดับทันที
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวหมิงไปรินน้ำชามาให้” เสี่ยวหมิงว่าก่อนจะไปต้มน้ำร้อนมาใส่กาชา จากนั้นก็รินมาให้ทุกคนที่นั่งรอรักษาอย่างดี
ร้านขายยาสมุนไพรตระกูลหวังจากที่เคยมีคนมารักษาวันละคน ตอนนี้มีคนยืนรออยู่ยี่สิบคน จนเสี่ยวหมิงต้องไปสอบถามพี่ถงในห้อง
“พี่ถงจะรักษาหมดเลยไหมครับมีอีกยี่สิบคน”
ถงถงที่คันไม้คันมืออยากรักษาก็รีบตอบรับทันที
“อื้ม...รักษาหมดเลย” กู้ถงถงรอเวลานี้มานานแล้ว วันนี้มีคนต่อแถวมากแล้วไม่อยากให้กลับไปอย่างผิดหวัง แน่นอนว่า นี่ย่อมช่วยกระพือข่าวให้ไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
“คุณลุงเป็นโรคเก๊าท์ค่ะ ลดอาหารจากสัตว์ปีก ผักกินยอด ยอดอ่อนต่าง ๆ กินยาที่ฉันให้วันละหนึ่งเม็ดนะคะฉันให้ไปทั้งหมดหนึ่งเดือน กินทุกวันห้ามขาดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณลุงจะปวดข้อหนักมากจนทำงานไม่ได้นะคะ”
เธอกำชับเสร็จพร้อมกับจ่ายยาเม็ดให้กับคุณลุงทั้งลงประวัติการรักษาเอาไว้ เพราะข้อนิ้วคุณลุงบวมปูด
“ทั้งหมดเท่าไหร่แม่หนู”
“สองหยวนค่ะ” เธอตอบทำให้คุณลุงถึงกับตกใจ
“ถูก...ถูกจริง ๆ แม่หนูใจดีมาก”
แน่นอนว่าเธอคิดราคาตามฐานะของผู้ป่วย หากจะขูดรีดแพง ๆ ก็กลัวจะไม่มีใครเข้าร้าน และทรัพยากรในการปรุงยาในห้องหลอมยาเธอมีไม่จำกัด ดังนั้นย่อมคิดราคาถูกได้
คนที่ตอนแรกคิดว่าตรวจดูหน่อยก็เริ่มใจชื้น เมื่อคนแรกราคาไม่ได้แพงมาก คนถัดไปราคาก็ไม่เกินสองหยวน ซึ่งเป็นราคาที่พอจะจ่ายไหว หากไปโรงพยาบาลยังใช้เงินขั้นต่ำถึงห้าหยวนด้วยซ้ำ พวกเขาจึงเลือกพึ่งยาสมุนไพรที่นี่ดีกว่า
เสี่ยวหมิงมองนาฬิกาลูกตุ้มที่แกว่งบอกเวลาว่าใกล้บ่ายสามแล้ว แต่ทว่ายังเหลือคนที่ต้องรักษาอีกแปดคน จึงต้องถามพี่ถง
“พี่ถงใกล้เวลาเลิกเรียนของอาเหล่ยแล้วนะ ให้หมิงไปรับไหม”
“เสี่ยวหมิงไปรับอาเหล่ยเถอะ เอานี่เงินซื้อขาหมูตรงหน้าปากซอยมากินกันก็แล้วกัน วันนี้คงไม่มีเวลาทำกับข้าว” กู้ถงถงหยิบเงินให้เสี่ยวหมิงไปหนึ่งหยวนพร้อมกับเศษเหรียญอีกห้าเหมา
“ซื้อขนมกินกันด้วยเล่า อาเหล่ยกลับจากโรงเรียนคงจะหิว”
เสี่ยวหมิงพยักหน้ารับเขารีบหยิบกระเป๋าสะพายประจำตัวจากนั้นก็รีบวิ่งไปซื้อตั๋วรถรางเพื่อไปรับอาเหล่ยทันที เมื่อลงจากรถรางแล้วก็ซื้อขนมตามที่พี่ถงบอกก่อนจะรีบวิ่งไปที่หน้าโรงเรียน แล้วก็เห็นว่าอาเหล่ยกำลังยืนอยู่หน้าโรงเรียนอย่างเหงา ๆ
“เร็วเข้าต้องรีบกลับไปช่วยพี่ถง” เสี่ยวหมิงยัดขนมใส่มือกับน้ำส้มหนึ่งขวดแล้วก็ลากอาเหล่ยกลับไปที่ร้านโดยเร็ว เพราะพี่ถงคนเดียวน่าจะเหนื่อย
หยางเหล่ยรับมาอย่างงง ๆ จากนั้นก็วิ่งตามเสี่ยว หมิงไปขึ้นรถราง นี่ก็เป็นวันที่สองแล้วที่เขาขึ้นรถรางมันทำให้เขาไม่เกร็งเหมือนวันแรก
นั่งรถยี่สิบนาทีแต่เสี่ยวหมิงก็กำชับเขาให้กินเร็ว ๆ เพราะเดี๋ยวต้องรีบกลับไปทำงานอีก
เขาไม่รู้ทำไมต้องเชื่อเจ้าเด็กอ้วนคนนี้ด้วย แต่ก็จำเป็นต้องฟังหลังจากลงรถเจ้าเด็กอ้วนก็พาเขาไปซื้อขาหมูตุ๋นที่ปากซอยมาหนึ่งถุงใหญ่ ๆ จากนั้นก็เดินกลับไปที่ร้านขายยาสมุนไพร
แต่เมื่อก้าวเท้าถึงร้านพบว่าในร้านมีผู้คนจอแจมาก เขาต้องเดินเบียดไปกับเจ้าอ้วนหมิงถึงจะเข้าไปด้านในได้ จากนั้นเจ้าอ้วนก็สั่งเขาอีก
“ซักผ้าซะ เดี๋ยวจะไปช่วยพี่ถงก่อนแล้วจะมาหุงข้าวให้กิน”
ฮะ!
แม้จะทำสีหน้าสงสัย แต่เขาไม่เคยทำงานในร้านนี้นี่นา เขาก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้อีกด้วย
กู้ถงถงจ่ายยาและรักษาคนวันนี้รวมกันแล้วห้าสิบคน เพราะมีคนที่มาหาตอนเย็นหลังเลิกงานอีกด้วย ทำให้เวลาล่วงเลยจนฟ้ามืดแล้วถึงจะปิดร้านได้
“เสร็จสักที” เธอเดินออกมาก็เห็นว่าเสี่ยวหมิงเลื่อนบานพับประตูปิดร้านแล้วทั้งปวดไหล่ไปหมดเพราะยืนนานเกินไป
“พี่ถงวันนี้ได้กี่หยวน”
“น่าจะเกือบร้อยหยวนได้มั้ง ส่วนใหญ่คิดคนละสองหยวนเท่านั้น”
“ฮะ...รักษาวันเดียวได้เป็นร้อยหยวนเลยหรือพี่ถง” เสี่ยวหมิงตกใจรีบไปนั่งนับเงินในกระป๋องใส่เงินทันที เขานับอย่างรวดเร็วพบว่ามีร้อยหยวนกับห้าเหมา
“โอ้โห...นี่ถ้าทำสองวันเราก็รวยแล้วสิ” เสี่ยว หมิงวาดฝันทันทีจะมีร้านยาใหญ่ ๆ มีที่นอนนุ่ม ๆ แต่กลับถูกดับฝันด้วยมะเหงกพี่ถง
“ไปหุงข้าวได้แล้ว...พี่หิวแล้วเหนื่อยมาทั้งวันอยากนอน” ถงถงเหน็ดเหนื่อยมากจริง ๆ ไม่นึกว่ารักษาพร้อมกับจ่ายยาจะหนักขนาดนี้
“โอ๊ะโอ...ลืมไปเลย เหนื่อยจนลืมหิว เดี๋ยวหมิงรีบไปหุงข้าวก่อนนะ” เสี่ยวหมิงเก็บเงินส่งให้พี่ถงเสร็จแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวแล้วหุงข้าว
กู้ถงนับเงินเสร็จแล้วก็เอาเข้าไปเก็บในห้องมิติห้องหลอมยาป้องกันขโมย รวมทั้งสมุนไพรราคาแพงเธอก็ย้ายมาที่นี่จนหมด
แต่เมื่อออกจากห้องหลอมยาแล้วกลับได้ยินเสียงเคาะประตูที่ด้านหน้า
ปัง ปัง ปัง!