วันนี้เป็นวันที่สามที่นัสรินได้รับอนุญาตจากหมอให้ออกจากโรงพยาบาล อาการของเธอเป็นปกติเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว กิตติหัวหน้าของเธอโทร.มาไถ่ถามอาการ และบอกว่าบริษัทจัดเตรียมรถคันใหม่สำหรับให้เธอขับไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนคันเก่าและรถของคู่กรณีก็ส่งซ่อมโดยใช้สิทธิ์เคลมกับประกัน นัสรินจึงไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายใดๆ แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดกับความประมาทของตัวเองจนทำให้ทรัพย์สินของบริษัทเสียหาย และทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี ดังนั้นเมื่อร่างกายไหว เธอจึงไม่รีรอที่จะเดินทางไปพบคู่กรณี กล่าวขอโทษกับความประมาทของตัวเอง พร้อมกับมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าทำขวัญ ฝ่ายคู่กรณีจะไม่รับเพราะเห็นว่าเธอเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ส่วนเขาแค่เพียงรถเสียหายเท่านั้น แต่นัสรินก็คะยั้นคะยอให้รับจนได้ ทั้งสองฝ่ายจึงจบปัญหากันด้วยดี
หลังจากนั้นนัสรินก็ออกไปทำงานตามปกติ เธอตั้งใจจะทำงานให้เต็มที่ เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้ชดเชยให้กับบริษัทบ้างตามที่ตัวเองมีกำลังจะทำได้
ร่างบางนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง โดยก่อนเข้ามาทั้งแม่บ้านและรปภ.ต่างก็ไถ่ถามด้วยความห่วงใย นัสรินได้แต่บอกเธอเองไม่เป็นอะไรมาก และขอบคุณทั้งสองที่ไถ่ถาม
หน้าจอคอมพิวเตอร์สว่างวาบขึ้นหลังจากถูกปิดเงียบไปหลายวัน มือเรียวบางเลื่อนไปจับเมาส์คลิกเปิดอีเมลเป็นอันดับแรก แต่ยังไม่ทันได้อ่าน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ นัสรินพูดค่ะ” นัสรินตอบกลับไปกลางๆ เพราะเบอร์ที่โทร.เข้ามาไม่ใช่เบอร์ที่บันทึกไว้ในเครื่อง
“ยัยนัสนี่เราเองนะ ออยไง”
“ออย! นี่อย่าบอกนะว่ากลับมาแล้ว” เสียงอุทานนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เบอร์ที่โทร.มาบ่งบอกชัดว่าเป็นเบอร์ที่โทร.ในประเทศ
“ก็ไม่อยากบอก แต่ว่ากลับมาแล้วจริงๆ” พินทุสรพูดอย่างคนมีมุกตลกและอารมณ์ดี “ว่าแต่เธอเถอะ ตอนนี้อยู่ไหน ว่างหรือเปล่าจะชวนเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อย”
“ไม่ว่างตอนนี้อยู่เชียงใหม่ มาหาเรามั้ยล่ะ บริษัทส่งเรามาทำงานที่นี่สามเดือน มีที่พักและมีรถยนต์ให้ใช้ มาพักกับเราได้เลย ห้องออกจะกว้างอยู่สองคนได้สบายๆ เลย”
“พูดจริงน่ะ”
“จริงสิ”
“งั้นไปวันนี้เลย กะว่าจะไปอยู่สักเดือนนะ แล้วค่อยกลับมาเริ่มงาน ว่าแต่เธอเถอะจะเบื่อหน้าเราก่อนหรือเปล่า”
“ไม่เบื่อหรอก ดีซะอีกคุณ...เอ้อ...เราจะได้มีเพื่อนน่ะ”
นัสรินเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าเป็นการดีเสียอีกที่พินทุสรจะมาอยู่ด้วย อย่างน้อยปราณต์ก็จะได้ไม่กล้ามายุ่มย่ามที่ห้องเหมือนที่ผ่านมา
“โอเค...งั้นไปวันนี้เลย”
“เธอนี่ใจง่ายชะมัดเลยนะยัยออย”
“ก็แน่ละ ไม่ใจง่ายแล้วจะได้เที่ยวแถมมีที่พักฟรีได้ไง แค่นี้นะหาตั๋วก่อน บ่ายๆ น่าจะไปถึง มารับด้วยล่ะ”
“ก็ได้ๆ ถ้าจะขึ้นเครื่องก็โทร.หาแล้วกัน จะได้ขับรถไปรอที่สนามบิน”
พินทุสรวางสายไปแค่นั้น โดยไม่ไถ่ถามเรื่องส่วนตัวให้นัสรินอึดอัด แม้จะรู้ว่าตอนนี้นัสรินหย่ากับปราณต์แล้ว การมาอยู่ในที่ซึ่งเคยมีอดีตอันไม่สวยงามนัก คงเป็นเรื่องที่ลำบากใจสำหรับนัสรินไม่น้อย
รถแลนด์โรเวอร์สีขาวแล่นออกจากคลินิกในเวลาสองทุ่มกว่าๆ เช่นเดียวกับทุกวัน ดูเหมือนว่าเวลาเลิกงานของเขาจะเป็นเวลานี้ไปโดยปริยายแล้ว เพราะคนไข้มาใช้บริการที่คลินิกของเขาแน่นขนัดแทบจะทุกวัน ทำให้ไม่สามารถปิดคลินิกได้ตามเวลาที่กำหนดไว้
ดวงตาสีสนิมเหล็กเหลือบมองถุงกระดาษสามใบที่วางอยู่เบาะข้างๆ เสื้อผ้าพวกนี้เขาซื้อที่กรุงเทพฯ แต่คนที่เป็นเจ้าของมันกลับไม่ไยดี วันนี้เขาจึงตั้งใจจะเอามันมาให้เธอ พร้อมกับสะสางเรื่องที่ค้างคาใจกันเสียที คำพูดของปรัชญ์วันนั้นยังก้องอยู่ในหู ที่ปรัชญ์ถามว่าเขามีความรู้สึกอย่างอื่นต่อนัสรินอีกไหมนอกจากความแค้น เขาเองมีคำตอบอยู่ในใจแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยบอกใครหรือเจ้าตัวตรงๆ
ปราณต์จอดรถที่ลานจอดหน้าอพาร์ตเมนต์ ซึ่งตอนนี้รถค่อนข้างจะแน่นขนัดจนแทบหาที่จอดไม่ได้ เพราะคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างกลับมาพักผ่อนกันเกือบหมดแล้ว เขาลงจากรถพร้อมกับถุงกระดาษสามถุงในมือ แล้วก้าวยาวๆ ไปยังประตูอพาร์ตเมนต์ซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดผ่านเข้าออก แต่เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะที่นี่คือหนึ่งในโครงการที่ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของ เขาจึงมีทั้งคีย์การ์ดและกุญแจสำรองสำหรับผ่านเข้าห้องนัสรินได้สบายๆ
ปราณต์กำลังจะแตะคีย์การ์ดที่หน้าประตูทางเข้า แต่ยังไม่ทันได้แตะก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดมันออกมาจากข้างใน เธอมองหน้าเขาเหมือนเคยรู้จัก ปราณต์เองก็รู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงตรงหน้านั้นเช่นกัน และเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาก่อนอย่างจำกันและกันได้ในที่สุด แม้จะเคยเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว
“หมอปราณต์ใช่มั้ยคะ” พินทุสรเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองจำไม่ผิด เพียงแต่แปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่
“ครับคุณออย คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
“อ๋อ...ออยเพิ่งกลับจากอังกฤษน่ะค่ะ พอดีเรียนจบแล้ว อยากหาที่เที่ยว ยัยนัสเลยชวนมาอยู่ที่นี่ด้วย นี่ออยกะว่าจะมาอยู่เป็นเดือนเลยนะคะ จะได้เที่ยวเชียงใหม่ให้ฉ่ำใจ เอาให้เบื่อกันไปข้างหนึ่งเลย”
“งั้นเหรอครับ”
คำตอบของพินทุสรทำให้ความตั้งใจที่จะปรับความเข้าใจกับคนที่อยู่บนอพาร์ตเมนต์เปลี่ยนไป ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไร แต่ที่เขารู้แน่ๆ ก็คือนัสรินยังเจ้าแผนการไม่เปลี่ยน คงคิดจะชวนเพื่อนมาอยู่ด้วย เพื่อกันท่าไม่ให้เขามาหาได้อย่างสะดวกงั้นสิ ก็ได้นะเมียรัก...ถ้าจะเล่นเกมแบบนี้ก็มาลองดูกันสักตั้ง ว่าสุดท้ายแล้วใครจะชนะ
บทที่ 47“ถามแต่ออยว่าแต่คุณปราณต์เถอะค่ะ มาทำอะไรที่นี่คะ อย่าบอกนะว่ามาหายัยนัส”“ครับตอนแรกก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น เขาลืมของไว้ในรถผมก็เลยจะเอามาให้”“เอ...คุณกับยัยนัสนี่มันยังไงกันคะ ออยได้ยินมาว่าคุณกับยัยนัสหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าจะรีเทิร์นคะ” พินทุสรถามตรงๆ อย่างไม่คิดจะอ้อมค้อมใดๆ“เรื่องมันยาวน่ะครับ ยืนพูดตรงนี้คุณก็คงจะยืนฟังขาแข็ง แล้วนี่คุณออยกำลังจะไปไหนครับ” ปราณต์เปลี่ยนประเด็นโดยไม่ให้คนฟังรู้ว่าเขายังอยู่ในประเด็น“พอดีออยหิวน่ะค่ะ ก็เลยว่าจะขับรถไปหาอะไรกินแถวๆ นี้หน่อย ชวนยัยนัสแต่เห็นว่าต้องเคลียร์งานต่อ ออยก็เลยต้องไปคนเดียว”“งั้นไปรถผมดีกว่า ผมเป็นเจ้าถิ่น ขอเลี้ยงเพื่อนเก่าของอดีตภรรยา หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”“เอางั้นก็ได้ค่ะ ออยชิลชิลไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ท่าทางคุณปราณต์ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่อย่างนั้นครั้งหนึ่งยัยนัสคงไม่ยอมแต่งงานด้วยง่ายๆ หรอกค่ะ”ปราณต์แค่ยิ้มนิดๆ ไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไรในตอนนั้น แต่ยังไงเสียเขาก็ต้องพูดจาแบบเปิดใจกับผู้หญิงตรงหน้านี้อยู่แล้วนัสรินเหลือบตามองเวลาที่หน้าจอแล็ปท็อปอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วงเพื่อน พินทุส
บทที่ 48“มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอออย”“ก็เร็วนะ...แต่อย่างที่เราบอกนั่นแหละ หมอปราณต์เพิ่งจะขอคบ ยังไม่ได้ขอเป็นแฟน เราก็เลยคิดว่าจะลองคุยดู”“ออยคิดว่าออยรู้จักเขาดีแค่ไหน”“ก็เพราะยังไม่รู้จักดีนี่แหละ เลยอยากจะลองคบหาศึกษานิสัยใจคอดู”“ออยไม่ถือใช่มั้ยที่เขาเคยเป็นสามีเรา” คราวนี้นัสรินถามตรงๆ บ้าง“โอ๊ย...ไม่ถือหรอก เราชิลชิลกับเรื่องนี้ เธอเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวงร็อกในตำนานมั้ย มันเป็นเรื่องรักสามเส้าน่ะนะ ผู้หญิงคนเดียวในวงแต่งกับอีกคนเพราะรักกัน แต่มีผู้ชายอีกคนในวงแอบรักผู้หญิงคนนั้น พอทั้งคู่แต่งงานกันได้ไม่นาน ก็หย่ามาแต่งกับอีกคนในวง ทั้งสามคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เลย เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้เราเลยไม่คิดว่าจะมีปัญหา อีกอย่างเราเพิ่งรู้นะว่าหมอปราณต์กับเธอไม่ได้แต่งงานกันเพราะความรัก แต่แต่งเพราะถูกผู้ใหญ่บังคับ ถึงว่าสิเราก็สงสัยอยู่ตั้งนานว่าเธอกับเขาทำไมหย่ากันเร็วนัก ทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งกันได้สามเดือน การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของความรักมันก็แบบนี้แหละ เพราะอย่างนี้ไงเราถึงคิดว่าจะเปิดใจคบกับหมอปราณต์ดู เราเสียดายน่ะถ้าจะต้องตัดโอกาสตัวเองจากผู้ชายดีๆ คนหนึ่ง
บทที่ 49“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นห่วงต่อไป เพราะผมจะไม่หยุด”“ออยผิดอะไร ทำไมคุณจะต้องดึงเพื่อนนัสมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”“ผิดตรงที่เขาเป็นเพื่อนกับคุณไงล่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้ชวนเขามาอยู่ด้วยเพื่อกีดกันไม่ให้ผมไปหาได้อย่างสะดวก”นัสรินอึ้งและชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าปราณต์จะรู้ทันความคิดของตน แต่ก็ยังยืนกรานเสียงแข็งเป็นกระต่ายขาเดียว“อย่ามาหาเรื่องกันนะคะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณว่าเสียหน่อย ออยอยากมาเที่ยวเชียงใหม่ นัสก็แค่ชวนมา”“คุณออยคงเสียใจน่าดู ถ้าได้รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของการชวนของคุณ ว่ามันคืออะไร”“อย่ามาทำตัวเป็นบ่างช่างยุให้เพื่อนต้องผิดใจกันเพราะผู้ชายคนเดียวเลยนะคะ คุณหมอว่างมากหรือไง”ปราณต์ไม่ตอบในทันที แต่ลุกจากโต๊ะแล้วเดินอ้อมไปยืนใกล้ๆ อีก นัสรินซึ่งกลัวเขาจะทำอะไรเหมือนเมื่อครู่ รีบดีดตัวจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ปราณต์จึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังอุ่นๆ นั้น แล้วตวัดแขนคว้าเอวเล็กมานั่งลงบนตักแทน“ปล่อยนะคะคุณปราณต์!” นัสรินดิ้นขลุกขลัก ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ ก็ต้องมาถูกเขากอดในลักษณะนี้“ไม่ปล่อย นั่งคุยกันแบบนี้น่าจะ
บทที่ 50“เมื่อไหร่จะเลิกอ้างสิทธิ์บ้าๆ นี่เสียที” นัสรินแหวออกมาอย่างสุดจะทนฟังถ้อยคำเช่นนั้น เขาจะมาเรียกเธอว่าเมียทำไม เธอก็แค่เครื่องสนองอารมณ์การแก้แค้นของเขา ส่วนเขามีแฟนอยู่แล้วและตอนนี้ก็ทำท่าจะจีบเพื่อนของเธออีก“ก็บอกแล้วว่าเมื่อผมเบื่อ ซึ่งไม่น่าจะเร็วๆ นี้ ตอนนี้เกมเพิ่งเริ่มแถมยังสนุกมากขึ้นแล้วนัสริน” ปราณต์กล่าวประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมลงอีกครั้ง ความเป็นกันเอง ขี้เล่น เมื่อครู่นี้เหมือนจะเลือนหายไปตามความคิดของนัสริน ทำเอาหัวใจดวงน้อยแห้งเฉาไปด้วย เธอนึกโกรธตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ว่าปราณต์จะพูดจะทำอะไรเธอก็มีอารมณ์ร่วมกับเขาอย่างง่ายดาย“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยนัสค่ะ นัสจะไปกินข้าว กินเยอะๆ ให้อ้วนไปเลย คุณจะได้เบื่อเร็วๆ”“ไม่เป็นไรกินให้เต็มที่เลย ผมมีวิธีรีดไขมันก็แล้วกัน แล้วนี่ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าที่ผมซื้อให้”“นัสยังไม่ได้ซักนี่คะ” นัสรินคร้านจะยืนกรานว่าไม่อยากให้เขามาบงการเรื่องการแต่งตัว เพราะรู้ดีว่าต้องถูกปราณต์เล่นงานเอาอีกแน่ๆ จึงได้แต่บอกปัดๆ“เอาละพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ หวังว่าจะได้เห็นคุณใส่ชุดใดชุดหนึ่งที่ผมซื้อให้ ถ้าผมยังเห็นคุณใส่ชุดวับๆ แวมๆ อยู่แบ
บทที่ 51เสื้อผ้าที่ส่งซักตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นถูกนำมาส่งตั้งแต่เช้าตรู่ ในสภาพซักรีดเรียบร้อยหอมกรุ่นน่าสวมใส่ หากทว่านัสรินกลับไม่คิดจะแตะต้องมัน ทั้งๆ ที่เมื่อวานตั้งใจว่าวันนี้จะใส่ตามที่ปราณต์บังคับ มือเรียวบางหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากตู้แล้วใส่อย่างเมินเฉยต่อคำสั่งของปราณต์ “เดี๋ยวนี้เธอดูสวยและเปรี้ยวขึ้นมากนะนัส ถามจริงสวยขนาดนี้ไม่มีคนมาจีบเหรอ”พินทุสรที่เพิ่งตื่นนอนถามขึ้นขณะที่นัสรินกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง“ไม่มีหรอกออย ใครจะมาชอบแม่หม้ายอย่างเรา”“สมัยนี้ใครเขาสนเรื่องแบบนี้กันล่ะ”“ก็คงมีอยู่นั่นแหละ ผู้ชายส่วนใหญ่รับไม่ได้หรอก อีกอย่างถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะรับได้ ทางครอบครัวเขาก็คงไม่เห็นด้วยถ้าจะให้คบหากับผู้หญิงที่มีตำหนิแล้วอย่างเรา”“แต่เราว่าเธอไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองมากกว่า เอามั้ยเดี๋ยวเราหาฝรั่งหล่อๆ ให้ จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าครอบครัวเขาจะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เธอเคยแต่งงานมาก่อน” พินทุสรเอ่ยอาสาและคะยั้นคะยออย่างกระตือรือร้น“ไม่เอาหรอก” นัสรินปฏิเสธแบบจะไม่คิด ทำเอาพินทุสรขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขัดใจ“ทำไมล่ะ”“เรายังไม่อยากมีใครตอนนี้”“
บทที่ 52ก๊อก...ก๊อก... นัสรินพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน หญิงสาวเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งทุ่มกว่าๆ ซึ่งยังไม่ใช่เวลานัดของปราณต์กับพินทุสร เธอจึงเป็นคนเดินไปเปิดประตู เพราะคิดว่าเป็นพนักงานร้านซักรีด เอาเสื้อผ้ามาส่ง “คุณปราณต์...” เสียงหวานอุทานออกมาเบาๆ อย่างตกใจกึ่งแปลกใจ “ใช่...ผมเอง ผมมาหาคุณออย” ปากบอกว่ามาหาผู้หญิงที่อยู่ในห้อง แต่ตากลับจ้องมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายกำลังสำรวจสมบัติส่วนตัวของตัวเอง และไม่พอใจที่เห็นเธอยังใส่เสื้อผ้าแบบที่เขาไม่ชอบ แต่นัสรินก็เชิดหน้าขึ้น...จะชอบหรือไม่ชอบ มันก็เรื่องของเขา “มาแล้วเหรอคะคุณปราณต์” พินทุสรที่ได้ยินเสียงของปราณต์รีบวางแปรงแต่งหน้า และขยับมาหาเขาที่ประตู ทำให้นัสรินจำต้องหลีกทางให้ และขยับไปยืนในห้องเงียบๆ “ครับ” “ไหนว่าจะมาสองทุ่มกว่าๆ ไงคะ” “ผมมาเร็วกว่ากำหนด เพราะกลัวว่าคุณออยจะออกไปกับคนอื่นก่อน” “จะให้ออยไปกับใครล่ะคะ ออยไม่มีใครนี่” “คุณออยก
บทที่ 53ตีสอง...เสียงเปิดและปิดประตูที่ดังขึ้น ไม่ได้ทำให้นัสรินรู้ตัวสักนิด ว่าตอนนี้มีผู้ล่วงล้ำเข้าในห้องของตนในยามวิกาล ร่างบางยังคงหลับสนิทโดยสองข้างแก้มมีคราบน้ำตาจางๆ ติดอยู่ ความมืดดูเหมือนจะเป็นใจให้ผู้บุกรุกก้าวย่างเข้ามาได้อย่างย่ามใจ และตอนนี้เงาทะมึนนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างเตียงของเธอแล้ว หากนัสรินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่นแต่อย่างใด กระทั่งที่นอนข้างตัวยุบยาบลงด้วยน้ำหนักตัวของใครคนหนึ่ง พร้อมกับที่ร่างใหญ่นั้นเคลื่อนมาประกบแนบชิดจากทางด้านหลัง ตวัดแขนโอบกอดเอวเล็กไว้แน่น พร้อมกับที่จมูกโด่งฝังลงซอกคอขาวละมุนหนักๆ นัสรินจึงลืมตาโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืด ตอนแรกคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ไออุ่นๆ และความใหญ่โตที่แนบประกบอยู่ด้านหลังก็ทำให้ความงงแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ “กรี๊…” เสียงร้องนั้นดังอยู่แค่ริมฝีปาก เพราะถูกมือใหญ่เคลื่อนมาประกบปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ร่างบางดิ้นขลุกขลักเต็มแรงด้วยความตกใจกลัวต่ออันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย “ไม่ต้องกลัวหรอกน่านัสริน ผมเอง...” เสี
บทที่ 54ตีห้าแล้ว...แต่ท้องฟ้าในฤดูหนาวก็ยังคงมืดมิด คล้ายกับจะเปิดโอกาสให้คนมีคู่ ได้มีเวลาอิงแอบแนบชิดกันนานกว่าเดิม หากแต่นัสรินรู้ดีว่าฤดูกาลเหมันต์สุดจะโรแมนติกนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับเธอกับปราณต์ ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนเวลาที่ตื่นปกติ อยากจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน แต่ไออุ่นและท่อนแขนที่วางพาดเอวเธออย่างแสดงความเป็นเจ้าของ บ่งบอกชัดว่าตอนนี้ปราณต์นอนอยู่บนเตียงของเธอ โดยที่ทั้งเขาและเธอต่างไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวกันเท่านั้น ที่ปกป้องเขาและเธอจากอากาศภายนอก ปราณต์ยังคงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอราวกับไม่รู้สึกรู้สมว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันทำให้เธอเดือดเนื้อร้อนใจเพียงใด เขามันคนร้ายกาจที่มีอะไรกับผู้หญิงสองคนซึ่งเป็นเพื่อนกันในคืนเดียวกันและในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ที่น่าเจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือตัวเธอเอง ที่พอเวลาใกล้เขา ถูกเขาแตะนิดต้องหน่อย พูดจาออดอ้อนหวานหูเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ร่างกายเธอก็อ่อนระทวยเป็นเนยเหลวที่โดนไฟอังไปในทันที “คุณปราณต์คะ คุณปราณต์” นัสรินเรียกและเขย่าแขนเพื่อปลุก “หือ..
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน