“แล้วไม่เหมือนยังไงล่ะ”
“ก็เท่าที่นัสดู นัสรู้สึกว่าคุณศาสตรารักคุณภัคธีมา และคุณภัคธีมาเองก็แอบมีใจให้คุณศาสตราเหมือนกันค่ะ” นัสรินพูดออกไปตามสิ่งที่ตัวเองเห็นและได้ยิน
“เที่ยวรู้ใจคนอื่นไปทั่ว แล้วรู้ใจตัวเองบ้างไหม”
“ทำไมจะไม่รู้คะ รู้มาตั้งนานแล้วด้วย”
เมื่อถูกยั่วถูกแหย่นัสรินก็หลุดคำพูดนั้นออกมาอย่างลืมตัวอีกครา
“รู้ว่ายังไง”
“นัสไม่จำเป็นต้องบอกคุณค่ะ”
“เห็นปรัชญ์บอกว่าที่คุณยอมร่วมมือกับปรัชญ์วางแผนให้ผมแต่งงานด้วย ก็เพราะคุณรักผม” คราวนี้ปราณต์พูดแบบไม่คิดจะไล่ต้อนไปต้อนมาเหมือนเดิม แต่ถามออกมาตรงๆ แทน
“ไม่ใช่เสียหน่อยค่ะ ที่นัสยอมร่วมมือกับพี่ปรัชญ์ก็เพราะเห็นแก่เงิน เห็นแก่พ่อแม่ และอยากล้างหนี้ให้ครอบครัวต่างหาก” นัสรินพูดประชด เขาจะมาถามหาความรักอะไรในตอนนี้ มันไม่มีความหมายใดๆ หรอก ในเมื่อเขามีคนที่เลือกแล้ว
“งั้นก็แสดงว่าปรัชญ์โกหกผมสินะ” ปราณต์ทำเสียงเยาะๆ
“ไม่ใช่ความผิดของพี่ปรัชญ์หรอกค่ะ พี่ปรัชญ์เข้าใจไปเอง นัสไม่เคยพูดแบบนั้น”
“ฮึ...ผมก็หลงดีใจอยู่ตั้งนาน แต่ก็ดี...ระหว่างผมกับคุณจะได้มีแต่การชำระหนี้ ไม่ต้องมีความรู้สึกอย่างอื่นมาแทรกให้ต้องคิดมากอะไร”
อ้อมแขนของปราณต์คลายออกอย่างชวนให้ใจหาย แต่อึดใจต่อมานัสรินก็เปลี่ยนเป็นร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อร่างของตัวเองลอยหวือขึ้นไปอยู่ในวงแขนเขาแทน
“อุ๊ย! ปล่อยนัสลงนะคะคุณปราณต์”
“ปล่อยแน่ แต่จะปล่อยตอนถึงเตียงแล้ว”
ร่างสูงก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องนอนรับแขกของบ้านเดชาธร ซึ่งตกแต่งด้วยสไตล์ล้านนาอย่างสวยงาม ทว่าตอนนี้จิตใจของคนทั้งคู่ไม่ได้จดจ่ออยู่กับความงดงามของห้องแต่อย่างใด ร่างบางถูกวางลงบนเตียง โดยมีร่างกำยำของปราณต์ตามทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว
มือเล็กรีบยกขึ้นยันไหล่ เมื่อปราณต์ทำท่าว่าจะโน้มหน้าลงมาจูบ พร้อมกับที่สมองรีบคิดหาทางออกให้ตัวเองเป็นพัลวัน
“อย่าเพิ่งค่ะคุณปราณต์ คุยกันก่อนได้ไหมคะ”
“ยังมีอะไรจะคุยอีก” ปราณต์ยอมหยุดตามที่คนซึ่งอยู่ใต้ร่างประวิงเวลา
“เอ่อ...ทำไมวันนี้คุณปราณต์ไม่ไปตรวจคนไข้ที่คลินิก” ด้วยไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร ก็เลยถามในสิ่งที่คิดว่าปราณต์น่าจะทำทุกวัน
“วันนี้คลินิกปิด”
“ปกติวันจันทร์ไม่ปิดนี่คะ”
“ก็วันนี้ไม่ปกติ”
“อย่าบอกนะคะว่าคุณลงทุนปิดคลินิก เพื่อจะพานัสมาที่นี่”
“แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ”
“โธ่...ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนี้คะ แล้วคนไข้ที่มาหาหมอล่ะ แบบนี้ไม่มาเก้อเหรอคะ” นัสรินเอ่ยออกไปอย่างรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุของเรื่อง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมติดประกาศล่วงหน้าเอาไว้แล้ว”
“แสดงว่าคุณวางแผนเอาไว้แล้วสิคะ ว่าจะพานัสมาค้างคืนด้วย” จากที่เมื่อกี้เป็นกังวลเพราะสงสารคนไข้ที่อาจจะมาหาหมอเก้อ ตอนนี้นัสรินรู้สึกเคืองใจต่อการกระทำของหมอเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแทน
“ใช่” ปราณต์ตอบสั้นๆ แต่ชัดเจนหนักแน่นจนนัสรินต้องเบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากมองหน้าหล่อๆ ของคนร้ายกาจที่ตอนนี้อยู่ใกล้กับหน้าของเธอเพียงแค่เอื้อมมือถึง
“คนร้ายกาจ…” เสียงหวานบ่นพึมพำออกมาเบาๆ แต่แค่นั้นก็มากพอที่คนฟังจะได้ยินทุกถ้อยคำ เพราะบรรยากาศภายในห้องตอนนี้เงียบมาก มีเพียงเสียงของเขาและเธอเท่านั้นที่ดังอยู่
“มีเรื่องอะไรจะถามอีกมั้ย ถ้าขยันถามผมก็ขยันตอบ แต่มันจะยิ่งไม่เป็นผลดีกับตัวคุณนะนัสริน เพราะผมยิ่งมีเวลาทำเรื่องอย่างว่าน้อยเท่าไหร่ จำนวนครั้งมันก็จะน้อยตามไปด้วยเท่านั้น และผลที่ตามมาก็คือผมยิ่งจะเบื่อคุณช้าลงๆ”
“นัสไม่ได้อยากให้คุณทำเรื่องอย่างว่าด้วยนี่คะ” นัสรินตอบโต้ออกไปด้วยคำคำเดียวกับเขา ผิดกันก็แต่ปราณต์สามารถพูดได้อย่างคล่องปาก ในขณะที่เธอทั้งพูดทั้งแก้มแดงซ่าน
“ปากบอกว่าไม่อยากให้ทำ แต่เวลาที่ผมทำก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอ ต้องให้อธิบายรายละเอียดปลีกย่อยด้วยมั้ย ว่าเวลาที่คุณร่วมมือคุณทำอะไรบ้าง” คราวนี้ปราณต์มองตาและเหมือนจะยิ้มอย่างล้อเลียน ทำเอาแก้มที่แดงซ่านร้อนวาบ
“ไม่ต้องค่ะ” คนถูกเอาคืนรีบปฏิเสธทันควัน
“งั้นผมทำได้แล้วใช่มั้ย”
“ยังค่ะ นัสยังถามคุณไม่จบ” นัสรินยังประวิงเวลาต่ออีก
“เรื่องอะไรอีก”
“ไหนคุณบอกว่าจะพานัสมาฆ่า”
“ก็กำลังจะฆ่าอยู่นี่ไง ผมจะฆ่าและแผดเผาคุณด้วยไฟสวาทของผม”
ประโยคนั้นเขาก้มลงกระซิบ จากนั้นนัสรินก็ไม่มีโอกาสได้พูด ได้ถาม หรือได้เอ่ยอะไรออกมาอีก สิ่งที่ปราณต์อนุญาตให้ปากของเธอทำมีเพียง เปล่งเสียงคราง หอบหายใจหนักๆ และเรียกชื่อเขาอย่างกระท่อนกระแท่น ยามที่ปากและมือของเขาพร่างพรมชมชิดไปทั่วทุกอณูของร่างบางเท่านั้น
อากาศยามค่ำคืนของฤดูหนาวในไร่ที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติและภูเขาซึ่งเรียงรายกันอยู่ด้านหลัง ช่างหนาวเหน็บกว่าที่อื่นๆ ที่นัสรินเคยอาศัยอยู่ ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของอากาศภายนอกที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายเลยแม้แต่นิด ตอนนี้ปากและมือของปราณต์กำลังทำให้เธอร้อนเป็นไฟ ร่างกายแอ่นหยัดบิดเร่าตามที่เขาต้องการจะให้เป็น มือเล็กปะป่ายไปตามร่างกายอันเปลือยเปล่าของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ อกอวบอิ่มชูชันราวกับดอกไม้ผลิบาน ยามเมื่อถูกปากอุ่นซ่านครอบครองดูดดื่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขาเรียวแยกห่างเปิดทางให้ร่างใหญ่แทรกลึกเข้ามาได้อย่างสะดวก เช่นเดียวกับที่ร่างกายส่วนอื่นๆ เบียดเสียดเข้าหาเขา เคลื่อนไหวสอดประสานจังหวะไปกับเขาด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง ทั้งๆ ที่พยายามจะหักห้ามใจอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
บทที่ 62แสงอรุณของวันใหม่ทาทาบขอบฟ้าในตอนรุ่งสาง ความหนาวเย็นของบรรยากาศอันแท้จริงพร่างพรมมากระทบผิวกายของร่างบางที่สอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเจ้าของร่างเปลือยเปล่ากำยำ ทำให้นัสรินเผลอขยับตัวเข้าหาไออุ่นที่อยู่ใกล้แสนใกล้นั้นอย่างเป็นอัตโนมัติทันที ความอบอุ่นนั้นช่างลึกซึ้งและละมุนละไมชวนให้อยากหลับใหลต่อไปอีกนานแสนนาน จนแทบไม่อยากตื่นมารับรู้ความจริงใดๆ ระหว่างเขาและเธอ หากสุดท้ายนัสรินก็ตื่น เมื่อตระหนักได้ว่าที่ตนต้องมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับปราณต์อยู่ตอนนี้นั้นเป็นเพราะอะไรตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายตัวเองมาตลอดตั้งแต่ได้พบเขาครั้งแรก ด้วยสายตาของคนที่เจียมเนื้อเจียมตัว รู้ดีว่าตัวเองมีค่ามีความหมายต่อปราณต์น้อยแค่ไหน เขาไม่เคยรักเธอ ไม่เคยสงสาร มีแต่รังเกียจและอยากแก้แค้นเท่านั้น หากเป็นไปได้เธออยากให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เธอจะได้มีสิทธิ์มอง มีสิทธิ์ครอบครองเขาอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องตระหนักถึงความจริงใดๆ อีกแต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้...อีกไม่นานเมื่อแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว ปราณต์ก็คงตื่นมาและพาเธอกลับไปสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
บทที่ 63จบวาจาประชดประชันนั้น นัสรินก็ต้องร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อปราณต์ละมือจากเอวแต่ยกขึ้นมาตะปบบนหัวไหล่ของเธอแล้วหมุนร่างบางให้หันมาเผชิญหน้า พร้อมกับดันเธอไปติดกับผนังหลังห้อง กดร่างเล็กแนบไปกับแผ่นไม้สัก ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่บดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องลงมายังเธอได้จนหมดมิดเขาเบียดแนบเข้ามาติดชิดจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับเธอ ผิดก็เพียงมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่เท่านั้น นัสรินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เพิ่งตื่นนอน ซึ่งตอนนี้ชวนมองยิ่งนัก และเธอคงเผลอมองไปอีกนาน หากว่าเขาจะไม่โน้มหน้าคมคร้ามนั้นลงมาจนปากเกือบจะแตะปากอิ่ม“อย่านะคะ นัสยังไม่ได้แปรงฟัน” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่นัสรินคิดออกในเวลานั้น นึกก่นด่าตัวเองที่เผลอประชดประชันเขาจนได้เรื่อง“ผมก็ยังไม่ได้แปรง เพราะฉะนั้นเราเสมอกัน”ปราณต์รวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างตรึงติดกับผนังเหนือศีรษะของเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงซุกไซ้ กดจมูกขยี้พวงแก้มแดงระเรื่อ นัสรินสะบัดหน้าหลบเป็นพัลวัน แต่หลบซ้ายเขาก็จูบแก้มขวา หลบขวาก็ถูกจูบแก้มทางซ้าย “อย่าค่ะคุณปราณต์...”ปากอิ่มพยายามจะร้องห้าม แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ปราณต์ประกบป
บทที่ 64 หลังจากกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมปราณต์ นัสรินก็เกิดอาการหน้าร้อนซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ที่หน้าตู้มีเสื้อผ้าที่ซักรีดอย่างเรียบร้อยแขวนอยู่สองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดของปราณต์ อีกชุดหนึ่งคงเป็นชุดของเธอที่ปราณต์เตรียมมาให้ เธอจำได้ว่าก่อน หน้านี้ ตู้เสื้อผ้าตู้นั้นยังไม่มีอะไรแขวนอยู่แน่ๆ นั่นแสดงว่าคนที่เอาชุดนี้เข้ามาให้ คงเข้ามาตอนที่เธอกับปราณต์อยู่ในห้องน้ำ และคงได้ยินอะไรๆ ที่ดังอยู่ในนั้นหมดแล้ว นัสรินส่งค้อนอย่างเคืองๆ ไปให้คนที่ขยันทำให้เธออับอาย แต่ปราณต์ก็กลับยิ้มใส่ตาและหัวเราะเบาๆ อย่างรื่นรมย์ เธอจึงทำได้แค่ขยับไปหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วหลบเข้าไปแต่งตัวหลังฉากไม้ไผ่ที่กั้นเอาไว้เป็นส่วนแต่งตัว กลับออกมาอีกทีก็พบว่าปราณต์แต่งตัวเกือบเสร็จแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ยัดชายเข้าไปในกางเกงสแล็กเนื้อดีสีกรมท่า คาดเข็มขัดราคาแพงอย่างเรียบร้อย แต่ในมือกลับถือเนกไทและยืนรอเธออยู่“มาผูกเนกไทให้หน่อย ตั้งแต่เป็นเมียผมมา คุณยังไม่เคยทำหน้าที่นี้เลยไม่ใช่เหรอ” เขาออกคำสั่งทันทีที่เธอทำท่าว่าจะเดินผ่านหน้าไปยังโต๊ะเค
บทที่ 65นัสรินรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ เธอไม่ได้อยากได้ยินคำพูดต่อจากนั้น ทั้งที่เคยอยากได้ยิน แต่ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดมันกับเธอ และเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะฟังคำนั้น หรือบางทีเขาก็แค่อยากจะพูดเพื่อให้เธอรู้สึกดี เขาอาจจะบอกรักกับผู้หญิงทุกคนที่เขามีอะไรด้วย มันอาจจะเป็นคำพูดง่ายๆ ที่หลุดออกจากปากโดยเขาไม่คิดอะไรก็ได้“นัสอยากกลับแล้วค่ะ พานัสกลับเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว”“ไม่หิวใช่มั้ย”“ไม่หิวค่ะ”“โอเค...งั้นกลับก็กลับ”ปราณต์ไม่ได้ตอแยอะไรอีกเมื่อนัสรินยืนยันว่าอยากกลับไปทำงานและไม่หิว เขาขยับไปหิ้วกระเป๋าแล้วเดินนำหน้านัสรินลงไปชั้นล่าง ล่ำลาเจ้าของบ้านและภรรยา จากนั้นจึงพารถแลนด์โรเวอร์คู่ใจแล่นออกจากไร่เดชาธร พร้อมกับกระชากเอาความลึกซึ้งอบอุ่นที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในไร่แห่งนี้ในชั่วเวลาหนึ่งคืนออกไปจากหัวใจของนัสรินด้วยนัสรินเดินเข้าออฟฟิศโดยไม่กล้าสบตากับแม่บ้านและรปภ. เพราะทั้งคู่ต่างก็เห็นว่าเมื่อวานปราณต์มารับเธอ และตอนเช้าเขาก็ขับรถมาส่ง คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างชายหญิงที่หายไปด้วยกันทั้งคืนเที่ยงวันนั้นก็เป็นอีกวันที่นัสรินไม่ออ
บทที่ 66หญิงสาวพยายามตั้งสติ เรียกความเข้มแข็งและหาทางออกให้ตัวเอง เธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เป็นปัญหาของใครเด็ดขาด อีกเดือนกว่าๆ ก็ครบกำหนดสามเดือน เธอก็จะได้กลับกรุงเทพฯ แล้ว ถ้าเธอนับไม่ผิดเดือนนี้น่าจะเป็นเดือนแรกที่เธอตั้งครรภ์ ซึ่งเวลาที่เหลืออยู่เดือนเศษคงไม่ทำให้ท้องของเธอโตจนผิดสังเกตนักแม้จะเป็นแค่แวบหนึ่งของความคิด แต่นัสรินก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ในที่สุด หลังจากกลับกรุงเทพฯ เธอจะลาออกจากงาน และขอพ่อกับแม่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศจนกว่าจะคลอด จากนั้นค่อยพาหลานกลับมาหาตากับยาย หากพ่อแม่ไม่ยอมให้อภัยในความใจง่ายจนท้องไม่มีพ่อของเธอ เธอก็จะเลี้ยงลูกเพียงลำพัง โดยความลับที่ว่าใครเป็นพ่อของเด็กจะตายไปพร้อมเธอมือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาจากสองแก้ม ก่อนจะล้างหน้าล้างตาและเติมเครื่องสำอางใหม่ เพื่อที่แม่บ้านจะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรนัสรินนั่งทำงานจนกระทั่งถึงตอนเย็น เธอก็ขับรถไปยังคลินิกหมอสูตินรีเวชที่เธอเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ตอนกลางวัน โดยนัสรินเลือกหมอที่ไม่ได้ทำงานโรงพยาบาลเดียวกับปราณต์ เธออยากมาให้หมอตรวจซ้ำเพื่อความแน่ใจอีกรอบ และผลตรวจออกมามันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เธอตรวจด้วยต
บทที่ 67เท้าเล็กๆ ก้าวไปยังรถที่จอดอยู่อย่างเร่งรีบ พลางก้มลงหยิบเอากุญแจรถในกระเป๋าสะพายออกมา แต่ชั่วขณะนั้นเองอาการหน้ามืดก็รุมเล่นงานเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มือที่ถือถุงยาอยู่อ่อนแรงอย่างกะทันหัน จนซองยาในถุงร่วงกระจายลงไปตามพื้นฟุตบาท ขณะที่ร่างบางยืนโงนเงนราวกับไม้ปักเลน แต่โชคดีที่ตอนใกล้จะล้มลงมีคนเข้ามาช่วยประคองพอดี “เป็นอะไรมากหรือเปล่านัส” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้นัสรินต้องมองหน้าคนถาม ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร “พี่ปรัชญ์...” “เป็นอะไรจู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนจะล้ม” “นัสเวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ” “พี่ว่าไม่หน่อยแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่า ขับรถเองทั้งที่ยังอยู่ในอาการแบบนี้มันอันตราย” ปรัชญ์ไม่รอให้อดีตคู่หมั้นและอดีตพี่สะใภ้ปฏิเสธ เขารีบประคองร่างบางไปยังรถของตัวเอง แล้วบอกว่าจะให้คนมาเอารถของนัสรินไปส่งให้ที่อพาร์ตเมนต์เอง แต่หญิงสาวยังทำท่าเหมือนลังเล “เดี๋ยวค่ะพี่ปรัชญ์” “มีอะไร” “ถุงยาของนัส นัสทำตกเมื่อกี้”
บทที่ 68“พี่ปรัชญ์ช่วยนัสด้วยค่ะ!”“ผมว่าพี่ปราณต์กลับไปก่อนดีกว่า รอให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกัน” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นขณะยืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายและพี่สะใภ้“แกนั่นแหละหลีกไป แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเมียชาวบ้าน”“เอ...ไม่ยักรู้ว่านัสแต่งงานใหม่ไปแล้ว” ปรัชญ์เล่นลิ้นอย่างนึกสนุกที่ได้ยั่วโมโหพี่ชาย“ไอ้ปรัชญ์!”“กลับไปก่อนเถอะพี่ปราณต์ รอให้ใจเย็นๆ ก่อน แล้วค่อยคุยกัน ผมขอร้อง” คราวนี้ปรัชญ์ทำเสียงจริงจัง แววตาเยือกเย็นกว่าเดิมปราณต์พยายามจะมองนัสริน แต่เธอก็เอาแต่หลบอยู่หลังน้องชายของเขา อารมณ์หึงหวงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ยังคงคุกรุ่นแต่จางลงบ้างแล้ว ทว่าที่ทำให้เขาเป็นกังวลก็คือท่าทีของนัสรินที่ดูเปลี่ยนไปจนชวนให้ใจหายนั่นต่างหาก“นัส...”“ถ้าคุณไม่กลับ นัสจะตายให้ดู ถ้าอยากเห็นนัสตาย ก็ลองก้าวเข้ามาอีกสิคะ” นัสรินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังปรัชญ์ ขยับออกมายืนเผชิญหน้ากับปราณต์อีกครั้ง แววตาของเธอดูเด็ดเดี่ยว จนปราณต์ไม่กล้าเสี่ยง“ก็ได้...ผมจะกลับ ถ้าเกลียดกันนักผมก็จะไม่มาตอแยหรือมาให้เห็นหน้าอีก แต่สัญญามาก่อนว่าคุณจะไม่คิดสั้น”“คุณไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากนัสอีกแล้ว เราขาดกันทุกทางนับตั
บทที่ 69เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เกิดเรื่องขึ้นในห้องของนัสรินวันนั้น แต่ไม่มีคืนไหนที่เธอจะไม่นอนร้องไห้ มือเล็กวาดไปยังที่นอนข้างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนแอบเข้ามาหายามดึก พร้อมกับที่ภาพต่างๆ ของเขาหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิด ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนกระทั่งหย่า แล้วได้มาเจอกันอีกครั้ง เขาใช้ช่วงเวลาทั้งหมดเพื่อความแค้น ส่วนเธอยอมทั้งหมดก็เพราะรัก จนสุดท้ายก็มีตัวแทนของเขาเกิดขึ้นในท้องของเธอ “ไม่ต้องห่วงนะลูก แม่จะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด” นัสรินขยับมือมาวางที่ท้องของตัวเอง ลูบเบาๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา ความเหงาอ้างว้างเกิดขึ้นในหัวใจอย่างท่วมท้น เป็นคนไล่เขาไปแท้ๆ แต่พอเขาไม่มาจริงๆ ก็อดโหยหาไม่ได้ นัสรินไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมความคิดสองด้านถึงได้ตีกันวุ่นวายแบบนี้ หรือเป็นเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์อารมณ์ถึงได้แปรปรวนไปหมด เธอยังจำเหตุการณ์วันสุดท้ายได้ดี วันที่ปราณต์เข้ามาเห็นปรัชญ์อุ้มเธอมาส่งในห้อง เธอรู้ดีว่าที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะหวง หวงสมบัติที่ตัวเองยังไม่เบื่อ จนไม่อยากให้ใครแตะต้อง และที่เธอต้องเอ่ยตัดขาดกับเขาวันนั้นก็เพราะว่ามัน
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน