LOGIN06.30 กริ๊กกกกกกกกกกกกกกก
เสียงนาฬิกาปลุก ส่งเสียงเตือนให้คนที่พึ่งนอนหลับไปได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมง ต้องดีดตัวลุกจากที่นอน ในอาการสะลึมสะลือ
“ตายๆ วันนี้มี present งานแต่เช้า ฉันจะทันไหม ไม่น่าเลยฉัน”
เสียงฉันบ่นให้กับตัวเอง ในขณะที่มือก็รีบจัดเตรียมเอกสารลงกระเป๋าผ้า ที่ใช้สำหรับหอบหิ้ว โน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าๆ กลับมาทำงานที่บ้าน ในเวลาที่ฉันไม่ได้ทำโอทีต่อ เพราะถ้าวันไหนฉันมี order ขนมเข้ามา ฉันก็จะเลือกรับทำขนมก่อน เพราะมันได้เงินเยอะกว่าค่าโอที แต่ละชั่วโมงของงานประจำ ที่ฉันทำอยู่ เมื่อคืนนี้ฉันนั่งทำขนม และกว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปเกือบเที่ยงคืน และในระหว่างที่ฉันรอขนมที่นึ่งอยู่สุกและพร้อมที่จะแพคลงกล่องส่งให้กับลูกค้า ฉันก็นำโน๊ตบุ๊ค ออกมาจัดทำไฟล์ present ที่จะนำเสนอให้ผู้จัดการแผนกในวันพรุ่งนี้เช้าไปด้วยเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ฉันใช้ชีวิตแบบโดดเดียวมาได้ 2 ปี แล้ว หลังจากที่แม่ของฉันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ในชีวิตของฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะไม่มีใครอยากผูกมิตรสนิท กับคนที่หาเช้ากินค่ำ เหมือนฉันกับแม่หรอกนะ ชีวิตของฉันจึงรู้จักแต่คำว่า "ทำงาน ทำงาน" เท่านั้น ถึงแม้ในชีวิตจริงของฉันจะไม่มีใครนับญาติ แต่ฉันก็ยังโชคดีที่เจอเพื่อนบ้านที่ดี ค่อยให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเลยก็ว่าได้
“ป้าพร หนูออกไปทำงานก่อนนะค่ะ ขนมของลูกค้าที่จะมารับเช้านี้ หนูเตรียมไว้แล้วนะ“
“เอ่อๆ เอาวางไว้เลย เดียวถ้าเขามารับ ป้าจะเอาออกไปส่งให้เขาเอง”
“ขอบคุณนะป้าพร เดียวตอนเย็นหนูจะซื้อฝรั่งสดๆ หน้าปากซอยมาฝากนะ”
“เออๆ รีบไปได้แล้ว เดียวสายนะ”
สิ้นเสียงของป้าพร ฉันก็รีบขับรถเก๋ง ออกมาทำงานอย่างเร่งรีบ เพื่อที่จะไปให้ทันกับการเตรียมตัว present งานในเช้านี้ ซึ่งกว่าที่ฉันจะขับรถมาถึงบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ ก้นก็แทบนั่งไม่ติดเบาะรถ เพราะรถมันติดมาก ก็นั้นแระ เพราะบริษัทที่ฉันทำอยู่มันตั้งอยู่ใจกลางนิคม ทำให้การจราจรค่อนข้างติดขัดในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อถึงบริษัท ฉันจึงรีบวิ่งไปแสกนนิ้ว เพื่อลงเวลาเข้างาน แทบจะวิ่ง 4X100 เลยก็ว่าได้
" อ๊ะ!"
"ขอโทษนะค่ะ ฉันรีบเลยไม่ทันระวัง ขอโทษด้วยจริงๆ คุณเจ็บตรงไหนไหมค่ะ"
ฉันเอ่ยปากขอโทษ ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ฉันวิ่งชนเขาอย่างแรง จนทำให้แฟ้มเอกสารในมือของเขาหล่นกระจัดกระจายกับพื้น หลังจากที่เอ่ยปากขอโทษเขาเสร็จ ฉันก็รีบก้มลงเก็บแฟ้มเอกสารที่หล่นอยู่ที่พื้น เพื่อส่งคืนให้กับเขาคนนั้น
" ไม่ต้อง ฉันเก็บเองได้ ทีหลังก็ระมัดระวังด้วย"
"เออ ค่ะ" ไม่ทันที่ฉันจะก้มลงเก็บแฟ้มให้เขา ผู้ชายคนนั้นก็เอ่ยปากออกมา กลายๆ ว่าตำหนิฉันนี้แระ ที่ซุ่มซ่ามไปชนเขา
"มีนาาาาาาาาา เธอมัวทำอะไรอยู่ เขารอเธอคนเดียวอยู่นะ พี่นัดจะกินหัวอยู่แล้ว"
"เอ่อๆ รีบอยู่นี้แระ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย" ฉันรีบเอ่ยบอกเจ๊หน่อย เพื่อนร่วมงานของฉัน
"วันนี้ ทุกแผนกต้องนำเสนอแผนงาน ให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่รับฟังด้วยนะ ฉันพึ่งรู้มาจากพี่นัดเมื่อกี้ นี้เอง"
"ถึงว่า ดูภายในบริษัทเราเหมือนวุ่นๆ ยังไงไม่รู้ ที่แท้ มีนำเสนองานต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่นี้เอง"
เมื่อฉันและเจ๊หน่อยเดินเข้ามาถึงแผนก ก็เห็นพี่นัด ผู้จัดการแผนก กำลังวุ่นเกี่ยวกับการจัดเตรียมเอกสารอยู่
"มีนา มาถึงแล้วเหรอ รีบเลยเราอ่ะ เราต้องเข้าประชุมเพื่อนำเสนองานกับพี่นะ"
"อ่าว หนูต้องเขาด้วยเหรอคะ"
"เข้าสิ เราเป็นคนทำ Present นะ เผื่อมีอะไร ติดขัด จะได้ช่วยกัน เห็นว่าวันนี้ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เข้าร่วมฟังเองเลยนะ"
"ค่ะๆ"
30 นาทีต่อมา ในห้องประชุมใหญ่
ทุกคนนั่งเงียบ บรรดาผู้บริหารสูงสุด รวมไปถึงผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ ทยอยเดินเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเอง เพื่อรอการเปิดประชุม จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
พรึ่บ !!!
ทุกคนลุกขึ้นยืน เพื่อทำความเคารพผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท พวกลูกกระจ๊อก อย่างพวกฉันก็ต้องรีบลุกตามทันที และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อเพ่งมองไปยังผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ใช่!! เขาคนนั้น คนที่ฉันวิ่งชนเขาเมื่อเช้านี้เอง ตายๆๆๆ ชนใครไม่ชน ดันไปวิ่งชนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
"แกจะเหลือไหมหล่ะ มีนา เขาจะไม่ไล่แกออกเลยรึไงว่ะ"
"บ่นอะไร มีนา" เสียงของแหวนแหวน สาวบัญชี สุดสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเอ่ยถามขึ้นมา
"เปล่า ไม่มีอะไร แต่ฉันถามอะไรหน่อย เขาเป็นใครเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลย จะว่าไปเราก็อยู่มาหลายปีแล้วนะ ทำไมไม่เคยพบเจออ่ะ"
"แกจะไปเจอเขาได้ยังไง ก็เขาพึ่งเข้ามารับช่วงต่อจาก รุ่นปู่เขาเอง"
"อ่อๆ" เมื่อแหวนแหวนพูดจบ ฉันจึงหันหน้าไปมองผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนนั้นอีกครั้ง เขาจัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อมาก สุขุม นิ่ง แววตาดุร้ายมาก มองมาแต่ละที ฉันนี้รีบก้มหน้าเลย กลัวค่ะ กลัวว่าเขาจะจำฉันได้
"สวัสดีครับ ทุกท่าน ผม พายุ วิรากุล จะเข้ามารับช่วงต่อจากคุณปู่ของผม หวังว่าทุกท่านจะร่วมมือกัน นำพาบริษัทของเราให้ยิ่งใหญ่ มีผลกำไรมากขึ้น นะครับ"
"เริ่มประชุมได้ครับ" หลังจากนั้นทุกแผนกก็พลัดกันขึ้นนำเสนอแผนงาน ให้กับทางผู้ถือหุ้น และผู้บริหาร ได้รับฟัง.
==Spoil next.==
"แกเจอน้องเขาหรือยัง"
ร่างสูงใหญ่ นั่งกุมขมับอยู่ในห้องทำงานใหญ่ของตนเอง ในหัวของเขา พยายามนึกคิดว่าเอมมิกาจะหนีไปอยู่ที่ไหน จะไปต่างประเทศตามที่เธอบอกไว้ในจดหมายจริงหรือเปล่า หรือเธอจะแอบไปอยู่ที่ไหนซักแห่งในประเทศเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่าน ผมได้พยายามตามหาเอม ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ จ้างนักสืบฝีมือดีๆ ก็ยังไม่มีใครสามารถตามหาคนรักของผมเจอซักที ตอนนี้ผมมืดแปดด้าน ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน โทรไปสอบถามพ่อกับแม่ของเธอ ก็ได้รับคำตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมๆ คือ เอมไม่ติดต่อกลับมาที่บ้านเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เอมจะเป็นยังไงบ้าง จะเสียใจมากแค่ไหนในทุกๆ วันกิจวัตรประจำวันของผมคือ ทำงาน และตามหาเอม เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ผมไปส่งคุณปู่ขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ ตัวผมเองก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย มีแต่โทรไปสอบถามความเป็นอยู่ของแม่ผมเท่านั้น เหตุผลหลักๆ คือผมไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น คนที่เข้ามาทำลายความสุขในชีวิตผม ผมเกลียด ผมไม่อยากที่จะมองหน้าเลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ผมเข้าบริษัท ผมก็จะไม่เดินไปถามไถ่สารทุกข์ สุขดิบ ของพนักงานแต่ละแผนกเหมือนแต่ก่อน เพราะผมไม่อยากเจอหน้าของผู้หญิงคนนั้นในบริษัท ไม่มีใครท
บ้านวิรากุล....ฉันขับรถมาถึง บ้านวิรากุลในช่วงเกือบค่ำ ก่อนหน้านั้นคุณปู่ ได้โทรถามฉัน ว่าฉันถึงไหนแล้ว จะมาทันทานข้าวเย็นด้วยกันไหม ฉันจึงบอกท่านไปว่าใกล้ถึงแล้ว น่าจะทันเวลาอาหารเย็นพอดี ที่จริงท่านจะให้แม่บ้านและคนรถมาช่วยฉันขนของนะ แต่ฉันปฏิเสธท่านไป เพราะของมันไม่เยอะ ฉันไม่ได้ขนย้ายไปทั้งหมด บางส่วนฉันก็เอาไว้ที่บ้านนั้นแระ เผื่อวันไหน ฉันกลับมานอนค้างที่บ้าน จะได้ไม่ต้องลำบากขนไป ขนมาเมื่อฉันเดินเข้ามาในบ้าน ฉันก็ยกมือไหว้ คุณปู่ และคุณแม่ ของคุณพายุ ทันที"สวัสดีค่ะ ขอโทษนะค่ะ ที่ทำให้ทุกคนรอ""มาวันแรก ก็เสียมารยาทเลยนะ ไม่รู้จักกาละเทศะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รออยู่ได้" นางพิมพาเอ่ยตำหนิ ลูกสะใภ้ ที่นางไม่ต้องการขึ้น"มาๆ หนูมีนามานั่งตรงนี้ จะได้ทานข้าวกัน" คุณปู่เอ่ยบอกฉัน ให้ฉันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ข้างๆ คุณพายุพรึบ!!"ผมขอตัวนะครับ ทานไม่ลง"ฉันยังเดินไปไม่ถึงเก้าอี้ข้างๆ คุณพายุเลยด้วยซ้ำ เขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากโต๊ะรับประทานอาหารทันที นี้เขาคงรังเกียจฉันมากเลยสินะ แม้กระทั่งทานข้าว เขายังไม่อยากทานด้วยเลย มื้อแรกของการทานข้าวที่ วิรากุล ก็อึดอัดใจเสียแล้วหลังจากที่ทาน
หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยความทุลักทุเล คุณอินทร ก็พาฉัน เดินมาที่บ้านสวนดอกไม้ของท่าน ฉันมองไปรอบๆ บ้านสวนหลังนี้ มันสวยมาก ร่มรื่น มีดอกไม้นานาชนิด โดยเฉพาะกุหลาบ ที่มีทุกสายพันธุ์ เลยก็ว่าได้ มองไปส่วนไหนก็เจอแต่ดอกไม้และต้นไม้ที่ท่านปลูกไว้"ชอบดอกไม้เหรอเรา" เสียงของคุณอินทรเอ่ยถามฉัน ขึ้น หลังจากที่ฉันไม่ได้เดินตามท่านเข้าไปในบ้าน มัวแต่หยุดมองต้นไม้ ดอกไม้ ที่ปลูกอยู่รอบๆ บ้านของท่าน"ใช่ค่ะ หนูชอบ คุณท่านปลูกเองเลยเหรอค่ะ""บางทีก็ปลูกเอง บางทีก็คนสวน แต่พวกต้นไม้ตรงมุมนั้น ภรรยาของฉันเป็นคนปลูกเอง เขาเป็นคนชอบต้นไม้ และดอกไม้นะ" คุณอินทรเอ่ยบอกฉัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อท่านเอ่ยถึงภรรยาที่สุดที่รักของท่าน"ต่อไปให้เรียกฉันว่า ปู่ นะ เพราะหนูจดทะเบียนสมรสกับหลานชายฉันแล้ว ถือว่าเป็น วิรากุล เต็มตัวแล้ว""ค่ะ คุณปู่""อีก 3 วัน ปู่จะเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ ปู่อยากให้หนูย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านวิรากุล พรุ่งนี้เลยนะ ปู่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงหนู""แล้วคุณปู่จะไปรักษาตัว นานแค่ไหนค่ะ"ฉันเอ่ยถามท่านด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล คิดไม่ตก เพราะเหมือน สามีตามนิตินัยของฉัน และแม่สาม
2 วันต่อมา....อะไรนะครับ !!"เอมไปต่างประเทศ ไปทำไมครับ แล้วทำไมเอมไม่บอกผมเลย"หลังจากที่เขา เดินทางกลับจากไปดูงานที่สัมปทานป่าไม้ ที่อยู่ทางภาคใต้ เขาก็ได้รับข่าวร้าย ว่าคนรักของเขา หนีไปพักใจที่ต่างประเทศ"แล้วเอมไปประเทศไหนครับ ไปอยู่กับใคร ผมจะไปตามเอมกลับมาเอง""ยายเอมไม่ได้บอกพ่อกับแม่ไว้ว่าจะไปอยู่ประเทศไหน ทิ้งแต่จดหมายนี้ไว้" แม่ของหญิงสาวเอ่ยไปพร้อมกับบีบน้ำตา เพื่อให้แฟนหนุ่มของลูกสาวนางเห็นอกเห็นใจ และเลิกสงสัย ในการหายตัวไปของลูกสาวนาง เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้น ลูกสาวของนางหนีไปอยู่เมืองนอกกับคู่ขาคนล่าสุด ที่ต่างประเทศนั้นเองตลอดระยะทางที่เขาขับรถจากบ้านของแฟนสาว เพื่อที่จะไปบ้านของตัวเอง เขาพยายามติดต่อเพื่อนหรือคนรู้จักของแฟนสาวเขาทุกคน เพื่อที่จะสอบถามว่าแฟนสาวของเขาไปอยู่ที่ไหน มีใครพบเจอไหม แต่นั้นก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเขาได้เลยซักคน เมื่อเขานึกย้อนกลับไปถึงใจความในจดหมายที่แฟนสาวของเขาได้เขียนระบายเอาไว้ นั้นคือคุณปู่และผู้หญิงคนนั้น ต้องการให้เธอหลีกทางให้กับงานแต่งงาน ระหว่างเขา และผู้หญิงคนนั้น หากเธอไม่ทำตาม คนที่จะเดือดร้อนก็คือตัวของเขาเอง เธอจึงไม่
บ้าน เอมมิกา....“ ยายเอม เรื่องแต่งงานไปถึงไหนแล้ว แกจะได้แต่งกับ ตาลมหรือเปล่า ตอนนี้เงินทองเราแทบจะไม่เหลือแล้วนะ ไหนจะเจ้าหนี้ก็มาทวงที่บ้านทุกวัน” “ ที่เราเป็นแบบนี้ ก็เพราะ พ่อกับแม่ ไม่ใช่เหรอค่ะ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปเข้าบ่อน พวกเราจะอยู่ในสภาพนี้ไหม” “แกจะมาบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ฉันให้แก ไปเร่งรัดให้ฝั่งนั้นรีบมาสู่ขอแก เพื่อที่แกจะได้เข้าไปเป็นสะใภ้หมื่นล้าน จะได้เอาเงินมาหมุน แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ ไหนบอกว่า ตาลม รักแกนัก รักแกหนาไง แล้วทำไมป่านนี้ ยังไม่มาสู่ขอซักที” “คุณพ่อกับคุณแม่ก็ทราบ ว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับใคร ถ้าไม่มีปู่ของเขาคอยขัดขวาง ป่านนี้ เอมก็ได้แต่งงานกับลมไปแล้ว ไม่ต้องมาคอยนั่งเอาอก เอาใจ คนนั้น คนนี้อยู่แบบนี้หรอกค่ะ พ่อกับแม่คิดว่าเอม อยากทำนักหรือไง” “แล้วตอนนี้คุณปู่ของลม ก็ยังมาบังคับให้ลม แต่งงานและจดทะเบียนสมรส กับอีบ้าที่ไหนอีกก็ไม่รู้ มันเลยทำให้ทุกอย่างยิ่งยากไปหมด” “เมื่อไหร่จะตายๆ ไปซักที อยู่ไปก็ขัดขวางความสุขของคนอื่น” เอมมิกาบ่นออกมา ด้วยท่าที ที่ไม่ต้องรักษากิริยา หรือแอ๊บอีกต่อไป ทุกครั้งที่เธอไปเจอครอบครัวของ พายุ หรือแม้กระทั้ง พายุเอง
วันต่อมา....ฉันขับรถมาทำงานด้วยอาการเบลอๆ เนื่องจากนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะมั่วแต่นอนคิด นั่งคิด กับเรื่องที่รับรู้มาเมื่อวานนี้ หลังจากที่ฉันเลิกงานช่วง 2 ทุ่ม คุณอินทรได้ให้เลขาของเขา นำเอกสารสำคัญมาส่งให้ฉัน และกำชับให้ฉันรีบเปิดอ่านทันที"หนูมีนา ฉันไม่เคยลืมสัญญา ที่ให้ไว้กับแม่ของหนูเลยนะ และฉันก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่ต้องทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงหนูมีนา จะไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากฉันเลยก็ตาม แต่ฉันเองก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับหนู เพื่อทดแทนกับสิ่งที่แม่ของหนูได้เคยช่วยเหลือภรรยาของฉัน ฉันอยากให้หนูมีนา แต่งงานกับหลานชายคนเดียวของฉัน เพื่อที่จะได้มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของฉันคนละครึ่ง กับหลานชายของฉัน ฉันอยากให้หนูมีนา สุขสบาย ไม่ต้องทนทำงาน เป็นพนักงานบริษัทไปเรื่อยๆ แบบนี้ หวังว่า หนูมีนาจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของฉันนะ""อินทร วิรากุล"ฉันรู้จัก คุณอินทร วิรากุล เนื่องจากก่อนที่แม่ของฉันจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แม่ของฉันเคยบริจาคเกล็ดเลือดช่วยเหลือภรรยาของท่าน ซึ่งในเวลานั้น ถ้าไม่ได้เกล็ดเลือดของแม่ฉัน ภรรยาของท่านก็คงเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น คุณอินทรจึ







