วันนี้เป็นวันพระใหญ่ตรงกับแรมสิบห้าค่ำพอดี ธรินดาลุกขึ้นมาแต่เช้าทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรช่วยบัวคำ เสร็จแล้วปั่นจักรยานไปตัดดอกกุหลาบสีขาวที่แปลงบนเนินหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปใส่บาตรหน้าบ้านที่ตอนนี้สาวใช้ตั้งโต๊ะไว้รอเรียบร้อยแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีขาวทั้งชุดลงมาพอดี เมื่อธรินดาเจอแม่บุญธรรมในชุดเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มหู
“แม่ใหญ่จะไปวัดเหรอคะ”
“ใช่จ้ะหนูเล็ก แม่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสักสามสี่วัน พอดีแม่เลี้ยงแสงหล้าโทร.มาชวนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนแรกแม่กะจะชวนหนูเล็กไปด้วย แต่เห็นว่าเพิ่งจะปิดเทอมก็เลยอยากให้พักผ่อนก่อน เอาไว้รอบหน้าค่อยไปด้วยกันนะลูก”
“ค่ะแม่ใหญ่”
“อ้อ...แม่ลืมบอก เมื่อวานนี้แม่ไปหาหลวงตาที่วัดมาแล้วนะ ได้ฤกษ์หมั้นของตาปรัชญ์กับหนูนัสรินแล้ว วันที่สิบเดือนหน้าเลย เร็วทันใจแม่จริงๆ แม่โทร.ปรึกษากับทางโน้นแล้วว่างานหมั้นจะจัดเล็กๆ ส่วนงานแต่งค่อยจัดแบบงานช้าง ว่าแต่ตอนงานหมั้นของตาปรัชญ์หนูเล็กเปิดเทอมหรือยัง”
“เปิดแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กปิดเทอมแค่สองอาทิตย์เองค่ะ”
“งั้นหนูเล็กก็อยู่กรุงเทพฯ พอดี หนูเล็กต้องมางานหมั้นตาปรัชญ์กับหนูนัสให้ได้นะ แม่อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว เดี๋ยวแม่ใหญ่จะให้นายสอนไปรับที่หอพัก”
“ค่ะแม่ใหญ่”
ธรินดารับคำอย่างเด็กว่าง่ายเช่นเคย จากนั้นร่างบางจึงเดินตามแม่ใหญ่ออกไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน กลับมาทานข้าวเช้าพร้อมกันสองคน เพราะปราณต์ออกไปทำงานแต่เช้า ส่วนปรัชญ์ไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว
แม่บุญธรรมกับลูกสาวบุญธรรมคุยกันพลางทานข้าวไปพลาง พออิ่มธรินดาก็เดินออกมาส่งแม่เลี้ยงลักษิกาขึ้นรถเพื่อออกไปปฏิบัติธรรมตามที่บอกไว้แต่เช้า โดยมีอินแปงเป็นคนขับรถไปให้เช่นเคย
คุ้มลักษิกาอันกว้างใหญ่นั้นเงียบเหงาไปถนัดตาเมื่อสมาชิกในบ้านต่างพร้อมใจกันออกไปข้างนอกกันหมด เหลือเพียงธรินดา บัวคำกับสาวใช้อีกสี่คนและคนสวนเท่านั้น หญิงสาวจึงฆ่าเวลาโดยการไปปั่นจักรยานที่เนินเขาหลังบ้าน ตัดดอกกุหลาบสีขาวมาเพิ่ม แล้วเอาเข้าไปจัดแจกันในห้องพระเสียใหม่ จากนั้นก็นั่งสมาธิให้จิตใจสงบอยู่พักใหญ่ จึงค่อยออกไปนั่งเล่นที่สวนหย่อมมุมโปรดของตน
ร่างบางมุ่นคิ้วเรียวเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำแล้วเห็นว่าที่โต๊ะอาหารมีกับข้าวและจานเปล่าวางบนที่นั่งประจำของตนเพียงที่เดียว ส่วนที่อื่นๆ ว่างทั้งหมด แม่ใหญ่นั้นเธอรู้อยู่แล้วว่าท่านไม่อยู่เพราะไปปฏิบัติธรรม ส่วนปรัชญ์ก็คงไม่กลับอีกเช่นเคย ทว่าพี่ชายคนโตอย่างปราณต์นี่สิ ทำไมเขาถึงยังไม่ลงมา
บัวคำยิ้มให้พร้อมกับขยับไปหยิบเอาโถข้าวเพื่อจะตักให้ เมื่อเห็นว่าลูกสาวบุญธรรมของเจ้านายเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารแล้ว
“คุณหนูเล็กหิวหรือยังคะ”
“หิวแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ปราณต์ยังอาบน้ำไม่เสร็จเหรอคะพี่บัวคำ ทำไมไม่เห็นลงมาเสียทีล่ะ” หญิงสาวถามถึงพี่ชายคนโตซึ่งปกติจะกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน ไม่เหมือนปรัชญ์ที่แทบจะไม่กลับจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“อ๋อ...วันนี้คุณหมอปราณต์เข้าเวรค่ะคุณหนูเล็ก”
“วันนี้พี่ปราณต์เข้าเวรหรอกเหรอคะพี่บัวคำ ถึงว่าไม่ได้ยินเสียงรถของพี่ปราณต์เลย สงสัยเมื่อเช้าแม่ใหญ่จะลืมบอกเล็ก” ประโยคหลังเจ้าของเสียงหวานนุ่มคล้ายจะรำพึงกับตัวเองมากกว่า พอรู้ว่าวันนี้ตัวเองต้องกินข้าวคนเดียว ธรินดาจึงให้บัวคำตักข้าวแค่ครึ่งทัพพี เพราะเธอคงกินได้ไม่เยอะเท่าใดนัก
แม้จะไม่อบอุ่นเหมือนทุกวัน แต่มือเล็กก็จับช้อนและค่อยๆ ตักข้าวใส่ปากทีละคำจนหมดเกลี้ยงจาน จึงค่อยรวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม ธรินดาเป็นเช่นนี้เสมอ รู้ตัวว่าจะกินมากน้อยเท่าไหร่ก็ตักเท่านั้น และข้าวในจานจะถูกตักกินทุกเม็ดเสมอ แม้เธอจะไม่เคยทำนา แต่ก็รู้ดีว่ากว่าที่ชาวนาจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ดนั้นต้องเหนื่อยยากเพียงใด
ปกติหลังจากกินข้าวเย็นอิ่มแล้ว ธรินดาจะนั่งคุยกับแม่เลี้ยงลักษิกาก่อน แต่วันนี้แม่ใหญ่ของเธอไม่อยู่หญิงสาวจึงตรงขึ้นห้องตัวเองเลย
มือเล็กหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดดูเพื่อรอเวลานอน วันนี้อากาศค่อนข้างจะร้อนอบอ้าว ธรินดานึกอยากออกไปรับลมด้านล่างอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากพาตัวเองลงไปเสี่ยงเพราะถึงแม้หลายวันมานี้ปรัชญ์จะไม่กลับบ้าน แต่เขาอาจจะกลับมาคืนนี้ก็ได้ ตั้งแต่ที่เจอปรัชญ์ในสวนคืนนั้น เธอก็ไม่กล้าลงไปเดินเล่นตอนกลางคืนอีก เพราะกลัวว่าจะปะทะกับปรัชญ์ ซึ่งเธอยอมรับกับตัวเองว่ากลัวการเผชิญหน้ากับคนร้ายกาจอย่างปรัชญ์มาก
เวลาผ่านไปจนกระทั่งสี่ทุ่ม ตาคู่สวยที่ประดับด้วยแพขนตางอนยาวก็เริ่มปรือปรอยลง มือเรียวเล็กจึงหยิบรีโมตที่วางอยู่ข้างๆ ตัวมาปิดหน้าจอโทรทัศน์ ลุกไปถอดปลั๊ก ปิดไฟในห้องจนมืดสนิท แล้วจึงกลับมานอนที่เตียงหนานุ่มขนาดหกฟุตซึ่งนอนมาหลายปีตั้งแต่เริ่มโตเป็นสาว
คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมที่พระจันทร์มืดดับ แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่ไร้ซึ่งแสงดาว ธรรมชาติยังทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องขับขานในยามค่ำคืนท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ ขับกล่อมให้คนในคุ้มลักษิการวมทั้งธรินดาหลับไปอย่างง่ายดาย
บทที่ 98“ฉันไม่อยากดื่มนมอย่างอื่น ฉันเก็บปากของฉันไว้ดื่มนมอร่อยๆ จากเต้าของเธอก็พอแล้ว ว่าแล้วก็หิว เล็กจ๋า...ให้ฉันกินนะ” แววตาของคนที่ประท้วงอยู่เมื่อครู่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นวิบวับและเปล่งประกายความปรารถนาที่มีต่อเธอออกมาอย่างเปิดเผย “ไม่เอาค่ะคุณปรัชญ์” ธรินดาปฏิเสธเสียงเบา เพราะกลัวลูกสาวจะตื่นมาเห็น “แต่ฉันจะ ‘เอา’ นะเล็กจ๋า ตามใจผัวนะครับหนูเล็กคนดี” “โธ่...คุณปรัชญ์” “ไม่โธ่จ้ะที่รัก...ฉันหิว อยากดื่มนม” ปรัชญ์กระซิบบอกความต้องการของตัวเอง พร้อมกับที่ธรินดารับรู้ถึงความตื่นตัวของเขาที่ตอนนี้บดเบียดเธออยู่ไม่ห่าง “ถ้าอย่างนั้นเล็กไปดับไฟก่อนนะคะ” ธรินดาบอกอย่างอายๆ แต่คำตอบนั้นบ่งบอกชัดว่าเธอยอมตามใจเขาแล้ว ปรัชญ์จึงยอมปล่อยให้ร่างเล็กลุกจากตักไปปิดไฟ ส่วนตัวเองขยับขึ้นไปนอนรออยู่บนเตียง ห้องทั้งห้องมืดสนิทเมื่อธรินดายื่นมือไปกดสวิตช์ไฟให้ดับลง เธออาศัยความเคยชินเดินกลับมายังเตียง และค่อยๆ เอนกายลงนอนเคียงข้างสามี ปรัชญ์รีบขยับเข้ามาแนบชิดพร้อมกับกระซิบเรียกเสียงพร่า ท
บทที่ 97“ป๋าก็คิดถึงนิล คิดถึงแม่เล็กของนิลใจแทบขาด” ปรัชญ์ตอบลูกสาวและถือโอกาสอ้อนไปถึงแม่ของลูกด้วย เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้โทรศัพท์น่าจะเปิดลำโพงอยู่ “งั้นก็รีบกลับบ้านสิคะป๋า หมีพูกับแม่เล็กก็รอป๋าเหมือนกันค่ะ” ปรัชญ์ยิ้มออกมาอีกคราเมื่อลูกบอกว่าธรินดาเองก็รอเขาอยู่ ใบหน้าอันหวานซึ้งนั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้เขาจำต้องพับหน้าจอแล็ปท็อปลงพร้อมกับปิดแฟ้มเอกสารที่กางอยู่หลายอันบนโต๊ะ“โอเคครับคนดีของป๋า ป๋าจะกลับเดี๋ยวนี้ละ” “งั้นนิลจะรอจนกว่าป๋าจะมานะคะ นิลถึงจะนอน” “ครับ อีกยี่สิบนาทีเจอกันนะครับ” “ค่ะป๋า เย้ๆ” หลังจากวางสายจากลูกสาว ปรัชญ์ก็ไม่รอช้า รีบขับรถตรงดิ่งกลับบ้านอย่างปราศจากความลังเลใดๆ ทันที งานเอาไว้ก่อนตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือลูก เมีย แม่ และหมีพู ซึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่บ้านทันทีที่ร่างสูงเดินเข้าบ้าน หมีพูกับเด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูก็วิ่งมาหาพร้อมกับเรียกผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ โดยมีหมีพูวิ่งตามมาไม่ห่างพร้อมกับกระดิกหางไปมาอย่างดีใจเช่นกัน
บทที่ 96นัสรินเดินเข้าบ้านด้วยอาการของคนที่มีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจ ทำให้ไม่เห็นว่าพ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องโถงชั้นล่าง พลตรีชยุตกับคุณนิภาหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นคุณนิภาก็เป็นฝ่ายส่งเสียงทักลูกสาว“ไงยัยนัส ไปบ้านพี่ปรัชญ์มาโอเคหรือเปล่าลูก”“อ้าว...คุณพ่อคุณแม่ อยู่นี่เองเหรอคะ” นัสรินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าบิดามารดาของตนนั่งอยู่ตรงนั้น เธอมัวแต่คิดเรื่องที่ปรัชญ์เพิ่งคุยด้วย ทำให้ประสาทการรับรู้ต่างๆ รวนไปเสียหมด“เป็นอะไรไปลูก ทำไมดูหน้าเครียดๆ แบบนั้น ทะเลาะกับตาปรัชญ์มาเหรอ”“เปล่าค่ะคุณแม่ นัสแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะค่ะ” นัสรินตอบมารดาเสียงนุ่ม ก่อนจะขยับไปนั่งลงข้างๆ“มีอะไรเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้หรือเปล่า” พลตรีชยุตพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว เพราะปกตินัสรินไม่ค่อยมีท่าทีเหม่อลอยให้เห็นบ่อยนักนัสรินมองหน้าบุพการีทั้งสองอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจขอคำปรึกษาเพราะเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเธอคนเดียว มันเกี่ยวข้องกับบิดามารดาของเธอด้วย“เมื่อกี้นี้พี่ปรัชญ์เพิ่งจะบอกว่าพี่ปรัชญ์มีคนรักอยู่แล้ว และอยากให้นัสแต่งงานกับคุณปราณต์แทนค่ะ”“ว่าไงนะลูก!” คุณนิภาอุทา
บทที่ 95“แต่คุณปราณต์ไม่ได้ชอบนัสนะคะ อีกอย่างคุณปราณต์อาจจะมีคนรักอยู่แล้วเหมือนที่พี่ปรัชญ์มี” น่าแปลกที่คราวนี้เธอกลับแคร์ความรู้สึกของปราณต์ขึ้นมาเสียมากมาย เดือดเนื้อร้อนใจไปหมดกับความจริงที่ว่าเขาอาจมีคนรักอยู่แล้วก็ได้ ทั้งๆ ที่ตอนถูกพ่อแม่บังคับให้หมั้นกับปรัชญ์เธอกลับไม่ตระหนักเลยว่าปรัชญ์อาจจะมีคนรักอยู่แล้ว คิดแต่ว่าหากปรัชญ์ยอมหมั้นเธอก็ยอมหมั้นตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเท่านั้นก็พอ“พี่ปราณต์ยังไม่มีใครหรอก ถ้านัสอยากแต่งกับพี่ปราณต์พี่จัดการให้ได้” “แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมัดมือชกคุณปราณต์เลยนะคะพี่ปรัชญ์” “ก็เหมือนกับที่แม่บังคับพี่ให้แต่งงานกับนัสนั่นละ แม่ก็คิดแค่ว่าพี่ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน ที่พี่พูดอย่างนี้นัสอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีค่าหรือถูกโยนให้คนนั้นทีคนนี้ทีนะ แต่พี่ไม่อยากทรยศหัวใจตัวเองและไม่อยากให้ธรินดาต้องเจ็บปวดกับเรื่องนี้” “นัสเข้าใจค่ะและขอบคุณที่พี่ปรัชญ์บอกนัสตรงๆ แต่นัสขอถามอะไรตรงๆ บ้างได้มั้ยคะ” นัสรินยังหนักอึ้งในเรื่องที่ปรัชญ์เสนอมา แต่เธอก็ยังอยากจะรู้ความจริงจากใจเขาให้หมดเปลือกเสียก่อน“ได้ส
บทที่ 94 สี่เดือนก่อน... รถซีดานแบรนด์ยุโรปราคาสองล้านกว่าๆ แล่นออกจากอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ หลังจากที่ปรัชญ์บอกว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปส่ง นัสรินหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนขับที่เมื่อครู่นี้ยังพูดจากวนประสาทแม่ของเขาอย่างมีสีสันอยู่เลย ทว่าบัดนี้เขาอยู่ในอิริยาบถที่เงียบขรึมราวกับเป็นคนละคน แม้จะไม่ถึงกับทำให้อึดอัด แต่คนคุยไม่เก่งแบบเธอก็ไม่กล้าชวนคุย นี่เป็นครั้งที่สองที่เขากับเธอได้พบกัน หลังจากหมั้นเสร็จปรัชญ์ก็ไม่เคยติดต่อหรือมาเยี่ยมเยือนในฐานะคู่หมั้นเลยสักครั้ง นัสรินรู้ดีว่าปรัชญ์เองก็คงจะถูกบังคับให้หมั้นเช่นเดียวกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจหากเขาจะไม่ใส่ใจหรือทำตัวไม่เหมือนกับคู่หมั้นคู่อื่นๆ “นัสรีบกลับบ้านหรือเปล่า” ปรัชญ์หันมาถามเป็นประโยคแรกหลังจากที่รถแล่นออกมาพ้นอาณาเขตบ้านได้พักใหญ่ “เปล่าค่ะ นัสว่างทั้งวันค่ะพี่ปรัชญ์” “งั้นแวะดื่มกาแฟกับพี่ก่อนนะ ข้างหน้ามีร้านบรรยากาศดี กาแฟก็อร่อย” ปรัชญ์ชวนด้วยท่าทีเป็นกันเองทำให้นัสรินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น “ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำและยิ้มบางๆ
บทที่ 93“เปิดดูสิ เปิดตอนนี้เลยนะเล็ก” ปรัชญ์เชียร์ทั้งปาก ทั้งสายตา ทั้งสีหน้าที่เหมือนอยากจะให้เธอได้เห็นเหลือเกินว่าของที่อยู่ในกล่องคืออะไร ซึ่งตอนแรกธรินดากะว่าจะเก็บไว้เปิดพรุ่งนี้เช้า แต่เมื่อสามีคะยั้นคะยอเช่นนั้น เธอจึงต้องค่อยๆ แกะโบที่ผูกอย่างสวยงามนั้นออก ก่อนจะเปิดฝากล่องเป็นลำดับสุดท้าย และแล้วสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นก็ทำให้แก้มนวลแดงซ่าน เธอหยิบมันขึ้นมาดูสลับกับมองคนให้อย่างเขินอายสุดกำลัง“นี่มันอะไรกันคะคุณปรัชญ์”“ก็ชุดนอนไง มีหลายชุดด้วย ผ้าดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ” ปรัชญ์ตอบอย่างรื่นรมย์“แล้วทำไมมันโป๊แบบนี้ล่ะคะ” ธรินดาถามเพราะถึงแม้ว่าชุดนอนแต่ละชุดที่อยู่ในกล่องนั้นมันสวยและผ้านิ่มมากก็จริง แต่มันกลับเซ็กซี่สุดๆ ทุกตัวล้วนแต่คอเว้าลึกอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเวลาใส่จะต้องโชว์เนินอกแน่ๆ แถมยังสั้นเต่อจนเกือบถึงโคนขา บางชุดก็เป็นแบบสองชิ้น ชิ้นบนเป็นเสื้อสายเดี่ยวในลักษณะอวดโชว์เนินเนื้อ ชิ้นล่างเป็นแค่กางเกงชิ้นน้อย เหมือนกับออกแบบมาเพื่อขยี้ใจชายโดยเฉพาะ แล้วเธอจะกล้าใส่ได้อย่างไร“โป๊ที่ไหน เขาเรียกว่าเซ็กซี่ต่างหาก ฉันอยากเห็นเมียเซ็กซี่บ้างไม่ได้เหรอ”“ถ้าชอบผู้หญิงเซ็ก