ที่ลานคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายระหว่างโลกันต์และใบม่อนแพร่กระจายไปทั่ว เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างพากันแซวเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกัน กรุงโรมและยูโร เพื่อนสนิทของโลกันต์ ไม่พลาดโอกาสแหย่
“อ้าว! ท่านว่าที่เจ้าบ่าวมาแล้ว!” กรุงโรมพูดเสียงดัง พร้อมยกมือทำท่าคารวะ “โลกันต์ กฤษณะโยธิน ผู้ชายที่กำลังจะขายตัวเพื่อธุรกิจ!”
"ขายตัวพ่อง!มึงดิ!"
เสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนดังขึ้น ยูโรเสริมทันที “ใบม่อนนะ ใบม่อน! ทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงจะกินคนใกล้ตัวขนาดนี้"
ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างโลกันต์ ยิ้มเขินอย่างมีความสุข ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อจากคำแซวของเพื่อนๆ
“พวกมึงก็แซวเกินไป” เธอตอบเสียงอ่อน ขณะเหลือบมองโลกันต์ที่ยืนนิ่งข้างๆ แต่แทนที่โลกันต์จะเล่นตามน้ำ เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มันเป็นเรื่องของสองตระกูล หมั้นกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของใบม่อนค่อยๆ จางหายไป เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
“โลกันต์...” ใบม่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้สนใจเธอ
“กูมีงานต้องไปทำก่อนเข้าเรียนบ่าย พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” โลกันต์พูดตัดบท แล้วเดินออกไปทันที ปล่อยให้ใบม่อนยืนอยู่กับเพื่อนๆ ที่ยังคงมองตามเขาด้วยความงุนงง
ใบม่อนยิ้มจางๆ พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ เธอรู้ดีว่าโลกันต์ไม่ได้ยินดีกับการหมั้นครั้งนี้ แต่คำพูดของเขาต่อหน้าเพื่อนๆ ทำให้เธออายจนแทบอยากหายตัวไป
กรุงโรมกระแอมเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบ “เอ่อ... เดี๋ยวกูตามไอ้กันต์ไปนะ กูอยู่กลุ่มเดียวกันกับมัน ถ้าไม่ช่วย เดี๋ยวมันไล่กูออกจากกลุ่ม”
ยูโรหันมาพูดกับใบม่อน “ไม่ต้องคิดมากหรอก ใบม่อน ไอ้กันต์มันก็เป็นแบบนี้แหละ ปากเสียแต่ใจดี”
แต่คำปลอบใจนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ใบม่อนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลง เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโลกันต์ ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวัง... และอาจไม่มีวันเป็นแบบนั้นได้เลย
@บ่ายของวัน ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
ปานตะวันเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปจากตรงนั้น สายตาของใบม่อนก็จ้องมาที่เธออย่างไม่เป็นมิตร ใบม่อนยิ้มอย่างแสนจะเจ้าเล่ห์ก่อนจะเรียกชื่อปานตะวันเสียงดัง
“ปานตะวัน!” เสียงแหลม ทำให้ทุกคนหันมามองทันที
ปานตะวันหยุดเดินและหันกลับไปมอง ใบม่อนเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่ไม่แยแส นัยน์ตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย และการถากถาง
“จะไปไหนล่ะ?” ใบม่อนถามพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “คุณหนูจากบ้านกฤษณะโยธิน คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ คุณหนูเหรอ?”
ปานตะวันรู้สึกถึงความเย็นชาจากน้ำเสียงของใบม่อน แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบโต้และยังคงยืนเงียบ ใบม่อนที่เห็นปานตะวันไม่ตอบโต้เธอมองไปที่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าปกติ
“เธอเป็นแค่คนรับใช้ที่บ้านของโลกันต์ไม่ใช่เหรอ? เขาสั่งอะไร เธอก็ต้องทำตามเขาทุกอย่าง ยิ่งกว่าทาสรับใช้ ก็แบบนี้แหละเนาะ คนไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง ก็ต้องอาศัยใบบุญของคนอื่น”
ปานตะวันกัดฟันแน่น แต่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ไม่ให้แสดงออกไป
“ยังไงแล้วในอนาคตฉันก็ต้องเป็นเมียของโลกันต์ เธอเองก็จะต้องทำตามคำสั่งของฉันในฐานะเจ้านาย”
คำพูดของใบม่อนเจาะลึกเข้าไปในหัวใจของปานตะวันเหมือนกับมีดที่กรีดลึกลงไป เธอไม่อาจห้ามน้ำตาที่จะรินไหล แต่ยังพยายามข่มมันไว้ไม่ให้ไหลออกมา
นักศึกษาหลายสิบคนมองเหตุการณ์นี้อย่างสนุกสนานบางคนยังแอบหัวเราะ ซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดคำพูดของใบม่อน ปานตะวันได้แต่ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาที่ใกล้จะไหลออกมา
"คุณทำแบบนี้ทำไม...?"
“แล้วเธอจะทำไม? ในเมื่อฉันเป็นคนที่โลกันต์เลือก... ส่วนเธอก็แค่คนที่ไม่มีค่าอะไร อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบอ่อยคู่หมั้นของฉัน!”
คำพูดของใบม่อนเหมือนจะกระทบใจปานตะวันอย่างรุนแรง แม้จะพยายามยิ้ม แต่ใบหน้าของเธอก็แทบไม่สามารถซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้
"ในฐานะที่ฉันก็ถือว่าเป็นเจ้านายของเธอ งั้นฉันจะให้เธอทำงานที่เธอถนัดก็แล้วกัน"
"งานอะไร?"
"ยกอุปกรณ์พวกนี้ไปไว้ที่โรงยิม เธอต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง"
"แต่มันไม่ใช่หน้าที่ฉัน"
"เธอเป็นคนใช้ไม่ใช่เหรอ กล้าขัดคำสั่งของเจ้านาย?"
"คุณไม่ใช่เจ้านายฉัน"
"งั้นฉันจะบอกโลกันต์ คงจะรู้นะว่าระหว่างฉันที่เป็นคู่หมั้นกับเธอที่เป็นคนใช้ เขาจะเลือกใคร"
ปานจะวันนิ่งไปเพราะรู้ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถเทียบกับใบม่อนได้ จำใจที่จะทำตามคำสั่งของว่าที่เมียโลกันต์ ใบม่อนที่เห็นเธอไม่กล้าโต้เถียงจึงเริ่มกลั่นแกล้งปานตะวันอย่างไร้ความเมตตา โดยสั่งให้เธอทำงานที่ต้องใช้แรงอย่างหนัก และต้องตากแดดเป็นเวลานาน หวังจะทำให้ปานตะวันอับอายและรู้สึกด้อยค่าต่อหน้าคนอื่น เธอออกคำสั่งให้ปานตะวันยกอุปกรณ์ต่างๆในห้องชมรมไปเก็บที่โรงยิมซึ้งระยะทางไกลกว่าห้าร้อยเมตร เธอจะต้องขนไปเก็บอยู่หลายรอบในขณะที่อากาศร้อนจัด
ในขณะที่ปานตะวันทำตามคำสั่งของใบม่อนอย่างไม่เต็มใจ สภาพร่างกายเริ่มทรุดโทรมจากความร้อนและความอ่อนเพลีย เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหมดแรง แต่ก็ยังคงทำต่อไปเพราะไม่สามารถขัดคำสั่งใบม่อนได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานเกือบจะครบชั่วโมง ร่างกายของปานตะวันเริ่มอ่อนแอลงจากการทำงานหนักและตากแดด ต่อมาความเหนื่อยล้าก็ทำให้เธอล้มลงกลางลานของคณะ
"ตุบ!!!
"ปานตะวัน!"
"น้องปาน!!"
โลกันต์และกรุงโรมเดินผ่านมาพอดี เห็นปานตะวันล้มลงกับพื้น เขารีบวิ่งไปหาเธอทันที
“ปานตะวัน!” โลกันต์ตะโกนเรียก พร้อมกับเขย่าตัวเธอเบาๆ”
เห็นปานตะวันที่ไม่ได้สติ เหงื่อท่วมตัว ใบหน้าแดงจัดจากการตากแดดเป็นเวลานาน เขารู้สึกถึงความโกรธที่เริ่มก่อตัวในใจ สายตาของเขาจ้องไปที่ใบม่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางเย็นชาและไม่แสดงความห่วงใยใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ใบม่อนยืนอยู่เงียบๆ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโลกันต์ก็เริ่มมีความรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
"มึงทำอะไรปานตะวัน!"
"กูก็แค่ให้เธอยกของไปเก็บ แค่นี้ทำเป็นอ่อนแอ ตอแหลล่ะสิไม่ว่า"
"ไอ้ม่อน มึงมีสิทธิ์อะไรมาใช้คนของกู!"
เขาพูดกับใบม่อนอย่างเด็ดขาด สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธออย่างโกรธเคือง ใบม่อนยืนตัวแข็งทื่อ เพราะเธอไม่เคยเห็นโลกันต์โกรธขนาดนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนเขากำลังแสดงให้เห็นว่าปานตะวันเป็นคนของเขาและไม่มีใครสามารถทำร้ายเธอได้ นอกจากตัวเขาเอง
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”