หลังจากเหตุการณ์ที่เจอกับปิ่นมุกด้วยความบังเอิญ ธรรศชวินกลับมาที่เพนต์เฮาส์หรูของตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาทิ้งสูทไว้บนโซฟาเปิดขวดไวน์ราคาแพงรินใส่แก้ว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหน้าทีวี เปิดช่องข่าวเศรษฐกิจอย่างไร้จุดหมาย แต่เพียงไม่กี่วินาทีภาพบนหน้าจอก็เรียกสายตาและความสนใจของเขาได้ทันที
“Methakarn Asset & Development ซึ่งบริหารโดยคุณปิ่นปัก เมธากาญจน์ กำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องในไตรมาสล่าสุด โดยมีแนวโน้มว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการขายหุ้นบางส่วนเพื่อรักษาสภาพคล่อง”
เขารีบปิดทีวีหากเป็นแบบนี้ในอนาคตครอบครัวของปิ่นมุกคงจะล้มละลายในอีกไม่ช้านี้
“ถึงขนาดนี้แล้วยังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันอีกเหรอ ปิ่นมุก” เขาพึมพำเสียงต่ำ ดวงตานิ่งงันแต่เต็มไปด้วยคำถามปนแค้น ทำไมเธอต้องแกล้งลืมเขาหรือที่จริงเธอไม่เคยรักเขาเลยตั้งแต่แรก
แก้วไวน์ในมือถูกวางลงบนโต๊ะด้วยแรงที่มากพอให้เกิดเสียงดังกว่าปกติ เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกโดยไม่ลังเล
“คุณวินซ์คะ” เสียงปลายสายของเลขาดังขึ้นทันที
“จัดทีมดูเอกสารของบริษัท Methakarn ให้ผมภายในคืนนี้”
“คะ? บริษัทคุณปิ่นปักเหรอคะ”
“ใช่ คุณรู้ใช่ไหมว่าผมต้องการอะไร” น้ำเสียงเขาเย็นชาเฉียบขาด
“ค่ะ จะรีบจัดการให้ทันที” ปลายสายเงียบไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรับคำ
“เรื่องนี้ห้ามถึงหูคนอื่นเด็ดขาด” ธรรศชวินกดวางสายก่อนจะพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ เงยหน้ามองเพดานอย่างไร้แววตา เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะเดินหนีเขาไม่แม้แต่จะจำ แต่ถ้าเธอเลือกจะตัดเขาทิ้งง่ายๆ
เขาก็จะไม่ลังเลที่จะทำลายโลกที่เหลืออยู่ของเธอให้พังลง ไม่นานปิ่นมุกต้องยอมสยบให้เขาดูว่าจะเล่นละครแกล้งจำเขาไม่ได้อีกไหม
เพียงแค่สามวันหลังข่าวการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทุกอย่างในบริษัทก็พลิกผันรวดเร็วราวพายุ
ผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยยื่นลาออก ผู้ถือหุ้นบางรายก็ขายหุ้นทิ้งอย่างเงียบเชียบ ทว่าในห้องทำงานใหญ่สุดชั้นบนสุดของอาคารปิ่นปัก ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานเหมือนเดิม
ใบหน้าของเธอสงบท่าทางไม่แสดงความเสียใจออกมาชัดเจน แต่ดวงตานั้นหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
ปิ่นมุกเดินเข้ามาเงียบๆ วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะอย่างเบา หญิงสาวนั่งลงข้างแม่พลางเอื้อมมือไปกุมมือของท่านไว้
“คุณแม่มุกขอโทษค่ะที่ปล่อยให้คุณแม่เครียดแบบนี้” เธอเอ่ยเบาๆ ไม่เคยรู้สถานการณ์ของบริษัทว่าเป็นอย่างไร ไม่เคยใส่ใจว่าแม่จะเหนื่อยแค่ไหน
ปิ่นปักหลับตาลงช้าๆ เหมือนพยายามซ่อนบางอย่างไว้ในความเงียบ
“แม่ไม่เสียใจที่เสียบริษัทไปหรอก แต่แม่เสียดายเวลาที่ทุ่มเทให้มันมาทั้งชีวิต” น้ำเสียงของเธอราบเรียบ ปิ่นมุกกุมมือแน่นขึ้น
“เรายังมีเวลาเริ่มต้นใหม่นะคะแม่ มุกจะพยายามเรียนรู้งานและลุกขึ้นมาให้ไว”
หญิงสูงวัยหันมามองลูกสาวน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาที่เคยแข็งแกร่งนัก
“มุกแม่รู้ว่าลูกไม่ชอบงานแบบนี้ ถ้าฝืนเลยนะ”
“ไม่ค่ะมุกจะทำคุณพ่อคงเสียใจแย่หากบริษัทที่พ่อก่อตั้งมาล้มไม่เป็นท่า”
“พ่อกับแม่จะเสียใจมากกว่าหากเอาเรื่องงานมาทำร้ายลูก ระหว่างนี้ดูแลเขาให้ดีนะ”
ปิ่นมุกพยักหน้ารับคิดว่าคงจะเป็นคนรู้จักของคุณแม่ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือ
“เตรียมเข้าประชุมได้แล้วเดี๋ยวแม่กับเลขาตามเข้าไป”
ปิ่นมุกผลักประตูห้องประชุมเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งตามปกติ แต่แล้วเธอก็ชะงักทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะประชุมใบหน้าเย็นชา ดวงตาคมกริบที่มองเธอราวกับสามารถเผาผ่านผิวหนังได้
เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ท่าทางนิ่งแต่ในแววตามีน้ำเสียงคำรามที่ยังไม่เปล่งออกมา
“เล่นละครเก่งไม่เบานี่แกล้งจำไม่ได้ แกล้งเดินหนีสุดท้ายก็หนีมาไม่ได้อยู่ดี” เขาเอ่ยขึ้นก่อนใคร เสียงนิ่งแต่คมกริบ
“คุณพูดเรื่องอะไร?” ปิ่นมุกขมวดคิ้ว
“อย่ามาแกล้งใส่หน้าซื่อใส่ผมอีกปิ่นมุก!” เขาตะโกนขึ้นกะทันหัน แล้วลุกพรวดจากเก้าอี้ก้าวเร็วๆ เข้ามาใกล้จนเธอต้องถอยหลังตามสัญชาตญาณ
“คุณกำลังเข้าใจผิด” เธอพยายามพูดน้ำเสียงเริ่มสั่น
“หรือคุณคิดว่าพอทำเป็นจำผมไม่ได้ ผมจะเลิกรู้สึกคุณกำลังเอาคืนผมอยู่ใช่ไหม” ธรรศชวินหยุดตรงหน้าเธอ ดวงตาวาววับด้วยความเจ็บแค้น
มือของปิ่นมุกเอื้อมคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะก่อนสาดใส่หน้าเขาในพริบตา
พรึ่บ!
น้ำกระเซ็นเปียกทั่วใบหน้าและเสื้อสูทของชายหนุ่มเขานิ่งงันไปชั่ววินาที แววตาต่ำลงแต่เต็มไปด้วยแรงกราดเกรี้ยวที่สั่นสะท้านประตูห้องประชุมเปิดออกอีกครั้ง
ปิ่นปักเดินเข้ามาพร้อมเลขา ใบหน้าตกใจเมื่อเห็นลูกสาวยืนตัวสั่น ใบหน้าของธรรศชวินเปียกน้ำมือยังคงกำไว้แน่น
“เกิดอะไรขึ้นปิ่นมุก”
“ขอโทษค่ะ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย หนูเผลอทำแก้วน้ำหกใส่คุณวินซ์เอง” ปิ่นมุกหันไปหาแม่ทันทีดวงตาแดง แต่กลับเอ่ยเสียงนุ่ม
ปิ่นปักเลิกคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองบรรยากาศรอบห้องที่ดูจะไม่ได้อุบัติเหตุเท่าไรนัก
แต่ธรรศชวินกลับหัวเราะเบาๆ แห้งๆ ในลำคอ ก่อนจะหันไปจ้องนางเอกด้วยแววตาเยาะหยันเจือเจ็บ
“เกิดอุบัติเหตุจริงๆ ครับผมว่าให้คุณปิ่นมุกไปพักดีกว่าหน้าซีดหมดแล้ว ผมขอตัวไปจัดการตัวเองก่อน”
เขาแอบเดินตามปิ่นมุกออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา เขาผลักประตูห้องทำงานและเดินไปยังโซนห้องน้ำ รอจังหวะที่ปิ่นมุกจะออกมาจากห้องน้ำ
“ยังจะแสดงเก่งต่อหน้าคนอื่นได้อีกสินะ”
“คุณ! เข้ามาทำไม” ปิ่นมุกพยายามปราม แต่เขาไม่หยุด
“อยากทำเป็นจำผมไม่ได้ ทำเป็นไม่รู้จักกันใช่ไหม ได้แต่จำไว้ด้วยว่าตอนนี้บริษัทที่แม่ของคุณหวงแหนมัน ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไปแล้ว” เขากัดฟันกรอดคำพูดเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ
“คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ” เธอเริ่มปวดศีรษะขึ้นมายามที่ต้องต่อกลอนกับเขา
“ผมจะทำให้คุณกลับมาหาผมเอง แม้จะต้องบีบคุณจนไม่มีทางหนีก็ตาม”
ปิ่นมุกยืนนิ่งอกสะท้านแรง แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งในแบบที่คนภายนอกมองไม่ออกว่าข้างในกำลังสั่นไหวแค่ไหนเธอแค่ยิ้มจางๆ
“งั้นก็ยินดีด้วยค่ะคุณเจ้าของบริษัท” เธอจะเดินหนีเขาถูกเขากักตัวไว้ด้วยของแขนของเขา ทำให้เธอเริ่มระแวงกลัวเขาจะทำร้าย
“ที่บอกว่าท้องคุณโกหกผมใช่ไหม” เขายังคงค้างคาใจเรื่องนี้มาก
“ฉันไม่เคยท้องและไม่รู้จักคุณด้วย อื้อออ”
เขากระชากเธอเข้าหาอกแน่นๆ ร่างเล็กผงะตามแรง กระทั่งริมฝีปากของเขาก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของเธออย่างไม่ให้โอกาสหลบหนี
จูบของเขาไม่ใช่จูบอ่อนโยน แต่มันหนักแน่นเร่าร้อน และเต็มไปด้วยเจตนาสั่งสอน ริมฝีปากของเขาบดเบียดลงมาอย่างแรงจนเธอรู้สึกชา มือของเขากดท้ายทอยเธอไว้แน่น ไม่ให้เธอผละหนีไปไหนได้
ปิ่นมุกพยายามขืนตัวแต่ไร้ผลหัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดทั้งตกใจทั้งสับสน และเจ็บลึกในบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรรสจูบนั้นจึงทำให้ใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง
เมื่อเขาผละออกดวงตาของเขายังจ้องเธอไม่กะพริบ เสียงของเขาหนักแน่น
“เมื่อก่อนผมจะรังแกคุณบนเตียงยังไงคุณก็ยอม และผมไม่ค่อยได้ป้องกันหากวะ....” เขาพูดไม่ทันขาดคำ
เพียะ
ใบหน้าของเขาหันไปตามแรงของปิ่นมุก เขาจับที่แก้มเบาๆ ดวงตาแดงก่ำมองปิ่นมุกเหมือนจะเอาเรื่องอีกฝ่าย
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ฉันกำลังจะแต่งงาน” เธอผลักเขาและรีบวิ่งออกมา พยายามหาเรื่องมาอ้างเพื่อหวังจะให้เขาเลิกวุ่นวาย
“อย่าหวังว่าคุณจะได้แต่ง!” เข้าใจทุกอย่างเมื่อก่อนเธอขอแค่เศษใจจากเขา วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายวิ่งตามเธอ
บรรยากาศในห้องประชุมใหญ่เงียบเกินกว่าปกติ แม้เสียงพรีเซนต์ของปิ่นมุกจะราบรื่น และสไลด์ที่เปิดฉายจะเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกทางกลยุทธ์ แต่ก็ไม่มีใครไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่อาจมองข้าม
ต้นตอของแรงกดดันนั้นนั่งอยู่หัวโต๊ะ ธรรศชวินเขาไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นการประชุม ไม่แม้แต่จะขัดจังหวะหรือถามข้อเสนอทางธุรกิจ สิ่งเดียวที่เขาทำคือจ้องปิ่นมุกตลอดการนำเสนอจับจ้องเสียจนคนที่เหลือในห้องก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
ปิ่นมุกพยายามไม่มองตอบ แต่หัวใจของเธอกลับเต้นเร็วเกินเหตุทุกครั้งที่รู้ว่าเขายังไม่ละสายตา แม้จะไม่มีคำพูดแต่ในแววตานั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่พูดไม่ได้
เธอพรีเซนต์จบลงพร้อมเสียงปรบมือเบาๆ จากคณะกรรมการ
“ดีครับ” เสียงของธรรศชวินเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณค่ะ”
ทุกคนในห้องพยักหน้าและทยอยเก็บของออกจากห้องเพื่อไปพักกลางวัน เหลือเพียงเขาและเธอที่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุมอันเงียบงัน
“ทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม” เขาลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ยเบาๆ
เสียงนั้นฟังดูจริงจังนุ่มนวลกว่าเคยราวกับอยากใช้โอกาสนี้เพื่อพูดบางอย่างที่ยังค้างคาในใจ แต่ปิ่นมุกกลับชิงหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล จะออกไปเดี๋ยวนี้เลย” เธอลุกขึ้นยิ้มบางๆ อย่างสุภาพ และเก็บแฟ้มในมือ
“ขอโทษนะคะฉันมีนัดไว้แล้ว”
ธรรศชวินมองเธอเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก แต่แววตาเรียบนิ่งของเขากลับฉายแววผิดหวังบางอย่างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และก่อนที่เธอจะเดินออกไปเขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“หนีผมไปตลอดไม่ได้หรอกปิ่นมุก”
เธอหยุดเดินไปชั่ววูบ แต่ไม่หันกลับก่อนจะเดินจากไปทิ้งเขาไว้ในความเงียบ
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว