เสียงเพลงแจ๊สคลอเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหราในงานเลี้ยงส่วนตัวที่จัดขึ้นกลางลานดาดฟ้าของโรงแรมห้าดาว เอกวินเจ้าภาพของงานเดินชนแก้วกับธรรศชวินพลางหัวเราะกลั้วเสียงดนตรี
“คิดว่าจะเบี้ยวนัดแล้ว” เอกวินแซว
ธรรศชวินยกแก้วขึ้นกระดกเล็กน้อย แววตาฉายความผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ฉันมาเพราะบอกว่าไม่เชิญแขกอย่างอลิสามา”
“ก็ไม่ได้เชิญจริงๆ นะ…” เอกวินหัวเราะแห้งๆ ยังไม่ทันจบประโยค เสียงส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องหินอ่อนก็ดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงเรียก
เขาหันขวับไปตามเสียง แล้วสายตาก็ต้องกระตุกเบาๆ เมื่อเห็นอลิสาในชุดเดรสเปิดไหล่สีงาช้าง เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นใจและรอยยิ้มบางที่พยายามแต่งให้ดูนุ่มนวลที่สุด
“สวัสดีค่ะคุณวินซ์ คุณเอกไม่คิดว่าจะเจอกัน” เธอส่งเสียงใสอย่างนุ่มนวล รู้ว่าเขามางานนี้จึงสั่งให้คนของพ่อไปตามหาการ์ดเชิญมาให้ได้ แม้จะรู้ว่าเอกวินไม่ได้เชิญก็ตาม
ชายหนุ่มเหลือบตาไปทางเอกวินทันที แววตาคมเต็มไปด้วยคำถาม ไหนบอกว่าไม่เชิญ?
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะมาฉันไม่ได้เชิญ” เอกวินยกมือสองข้างขึ้นแบบคนบริสุทธิ์ กระซิบข้างใบหูของเพื่อน
“ขอโทษนะคะ ถ้ามาโดยไม่ทันตั้งใจให้ใครไม่พอใจแค่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เลยแวะมานิดหน่อย” อลิสายังไม่สะทกสะท้านยังคงยิ้ม แม้ในใจอยากกรีดร้องใส่เขาก็ตามเสียงเธอนุ่มลง พูดช้าแต่มีจังหวะราวกับซ้อมมา
“เอ่อ ขอตัวแป๊บนะไปดูอาหารทางนู้นก่อนเดี๋ยวมา”เอกวินที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งสัญญาณลับๆ ให้เพื่อนก่อนจะชิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
ธรรศชวินถอนหายใจเบาๆ กลอกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนทิ้งเขาไว้กับอลิสาแบบไม่มีเยื่อใย
“คุณยังไม่เลิกพยายามอีกเหรอ?” เขาถามเสียงนิ่งจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเธอ
“อย่าเรียกว่าพยายามเลยค่ะเรียกว่า แค่ยังไม่ยอมแพ้ก็แล้วกัน” แต่อลิสาเพียงยิ้มและยกแก้วไวน์ขึ้นอย่างสง่างาม ท่ามกลางบรรยากาศที่ทั้งน่ากระอักกระอ่วนและอึดอัด
สายตาของเขาเหลือบไปยังทางเข้างาน แล้วก็ต้องชะงักไปชั่วขณะ เมื่อร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นอย่างงดงามสง่า
เธอสวมชุดราตรีสีชมพูอ่อน กระโปรงฟูฟ่องยาวเลยเข่า ตัวชุดเป็นเกาะอกสายเดี่ยวเผยให้เห็นผิวเนียนละมุนอย่างพอดี ทุกองค์ประกอบตั้งแต่ชุดไปจนถึงท่าทาง ล้วนบ่งบอกถึงความเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อม
เธอเกล้าผมขึ้นทั้งศีรษะอย่างประณีต งามอย่างเรียบหรู และสะกดทุกสายตาให้หยุดมองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ปิ่นมุกก้าวเข้ามาในร้านด้วยใบหน้ามีความตึงเครียดเพราะแม่ให้มางานคนเดียว เพราะท่านติดธุระสำคัญโชคดีที่ยังมีคิรันมาด้วย
เธอควงแขนเขาเข้ามาในงานด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่ค่อยออกงานสังคม ระหว่างที่กำลังก้าวผ่านชายหญิงคู่หนึ่ง มือหนาของอีกฝ่ายกับรั้งต้นแขนเธอเอาไว้ราวกับรู้จักกันมาอย่างดี
“ปิ่นมุก...” เขาแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อเจอกับผู้หญิงที่เขาเคยผลักไสไล่ส่ง วันนี้เธอขึ้นมากแต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือสายของเธอที่มองเขามาแบบว่างเปล่า
ปิ่นมุกตกใจจนเผลอสบตากับเขาหัวใจของเธอเต้นระรัว เพราะเขาคือผู้ชายที่เธอเจอในร้านอาหาร แต่เธอไม่รู้จักเขามาก่อน
“ปล่อยค่ะ” กว่าจะหาน้ำเสียงตัวเองเจอ
“ปล่อยคุณปิ่นมุกด้วยครับ” คิรันย้ำอีกครั้ง
อสิลาไม่พอใจที่เขามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความเสน่ห์หา เธอไม่เคยเห็นเขาใช้สายตาแบบนี้มองใครมาก่อน แม้จะไม่พอใจแต่ต้องเก็บอาการไว้
ธรรศชวินยังไม่ยอมปล่อยมือจนหญิงสาวสะบัดแขนออก เขาจึงได้สติพอเขาจะเอ่ยปากทักทาย เธอกลับเดินผ่านเขาไปแล้ว เขาจะเดินตามและอลิสารั้งเขาไว้
“คุณวินซ์จะตามมันไปไม่ได้นะให้เกียรติอลิสบ้าง” ถึงจะถอนหมั้นกันแล้ว แต่สังคมก็ยังไม่รู้สถานะของพวกเธอ
เขาไม่ฟังสะบัดแขนออกอย่างแรงและรีบเดินตามปิ่นมุก เขาจ้องมองหญิงสาวตลอดเวลา ข้างกายยังมีผู้ชายเดินตามไม่ห่างจนเขาอยากเดินเข้าไปกระชากเธอมาถาม ว่าหายไปไหนมา
“มุกรู้จักเขาเหรอ”
“ใครเหรอ”
“คุณธรรศชวิน” เขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลย เพราะสายของชายหนุ่มบ่งบอกว่ามีใจให้ปิ่นมุก
“มุกไม่เคยรู้จักเขานะ” ในความทรงจำเธอจำอะไรไม่ได้ แต่ความรู้สึกเธอสับสน
“เห็นเขามองมุกตลอดเลย”
ปิ่นมุกหันไปมองเห็นชายหนุ่มจ้องมองมาจริงๆ จนเริ่มปวดศีรษะ เธอจึงขอตัวออกมาสูดอากาศข้างนอก คิรันจะตามมาแต่ถูกนักธุรกิจคนหนึ่งเรียกไว้เสียก่อน
ลมพัดเอื่อยปลิวผ่านเส้นผมที่หลุดจากการเกล้าอย่างประณีตของปิ่นมุก เธอยืนพิงราวเหล็กมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดสนิท แสงไฟในเมืองเบื้องล่างกะพริบระยิบระยับ แล้วเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่คิดว่าจะยังชอบออกมายืนแบบนี้” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูเอ่ยขึ้นจากเงามืด เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้งเหมือนวันแรกที่เขาเคยเข้ามาในชีวิตเธอ
ปิ่นมุกหันกลับไปช้าๆ ก็พบชายหนุ่มในสูทเข้ารูปสีหน้าขรึม ดวงตาคมกริบที่จ้องมาทางเธอด้วยสายตาแน่วแน่เกินกว่าคนแปลกหน้าจะมองกัน
“คุณตามมาทำไมคะ?” ปิ่นมุกถามสุภาพ แต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
"ผู้ชายคนนั้นที่คุณมาด้วยมันเป็นใคร” เขาเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นนิดหน่อย
“ใครคะ?” ปิ่นมุกขมวดคิ้วทันที
“ก็ผู้ชายที่เดินเข้ามาพร้อมคุณในงานเมื่อครู่นี้ สนิทมันมากเหรอถึงควงกันออกงาน” เขาถอนหายใจออกมาเพราะไม่ชอบที่ปิ่นมุกสนิทกับผู้ชายคนอื่น ไม่เจอกันหนึ่งปีคิดว่าตัวเองรู้ใจตัวเองดี แต่พอกันอีกครั้งหัวใจของเขากลับเต้นแรงกว่าครั้งก่อน
ปิ่นมุกนิ่งไปครู่หนึ่งกำลังประมวลกับสิ่งที่เขาถาม ก่อนจะถามกลับอย่างจริงจัง
“แล้วคุณเป็นใครเหรอคะ มายุ่งอะไรกับคนอื่น”
คำถามนั้นกระแทกกลางอกธรรศชวินราวกับฝ่ามือฟาดเข้าหน้า เขานิ่งไปทันทีดวงตาสั่นไหววูบหนึ่งเหมือนถูกกระชากจากความฝัน
เธอไม่ได้พูดประชด แต่หมายความตามนั้นจริงๆ เธอจำเขาไม่ได้เลย
“ขอโทษนะคะ ถ้าฉันเคยรู้จักคุณมาก่อนฉันคงลืมไปจริงๆ” น้ำเสียงของเธอนุ่มแต่ไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด เป็นเพียงความจริงที่เธอพูดออกมาอย่างไม่รู้เลยว่ามันกำลังแทงลึกลงไปในใจของชายตรงหน้า
ธรรศชวินได้แต่ยืนนิ่งใบหน้าที่มักจะนิ่งสนิทอย่างควบคุมได้ทุกสถานการณ์ กลับวูบไหวอย่างห้ามไม่อยู่ เขาหัวเราะแผ่วในลำคอเจ็บจนหัวเราะออกมาได้
“งั้นเหรอ” เสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของเขายิ่งฟังดูน่ากลัวในความเงียบงันใต้แสงไฟระเบียง เขาจ้องหน้าเธอนิ่ง สายตาคมวาบขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“คุณจำผมไม่ได้หรือว่าแกล้งจำไม่ได้ ไหนละลูกที่คุณบอกว่าท้องกับผม!”
“คุณพูดอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ” ปิ่นมุกชะงัก ก้าวถอยเล็กน้อย
“ไม่เข้าใจ เมื่อก่อนคุณจะเป็นจะตายเพราะรักผม มาวันนี้กลับทำเป็นจำไม่ได้ ปั่นหัวผมอยู่เหรอปิ่นมุก!” เขาพึมพำเสียงต่ำ แล้วก้าวพรวดเข้ามาอย่างเร็วมือสองข้างคว้าเข้าที่ต้นแขนเธออย่างแรงพอให้เธอผงะ ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาต่ำ เสียงของเขาเหมือนฟ้ากำลังคำราม
“เลิกเล่นละครเถอะปิ่นมุก! อย่าคิดว่าผมจะเชื่อว่าคุณลืมฉันได้จริงๆ”
“คุณบ้าไปแล้ว ปล่อยฉันนะ!”
“คุณมันแสดงละครดีจริงๆ” เขาเขย่าตัวเธอเบาแต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์จนร่างเธอสั่น แล้วจู่ๆ มือหนึ่งก็เลื่อนไปที่ท้ายทอยของเธอ ดึงเธอเข้ามาใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่าง ก่อนที่ปิ่นมุกจะตั้งสติได้ ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาแรงและเร็ว
เธอสะดุ้งดวงตาเบิกกว้าง ร่างแข็งค้างในวินาทีที่ถูกช่วงชิงจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว หัวใจเต้นรัวด้วยความตกใจกลัว และสับสนสุดขีด แต่เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็ผลักเขาออกสุดแรง แล้วตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้าของเขาเต็มแรง
เพียะ!
เสียงตบดังสะท้อนในความเงียบของลานระเบียง ธรรศชวินชะงักใบหน้าหันไปตามแรง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอ
น้ำตาคลอในดวงตาของปิ่นมุกใบหน้าสวยซีดเผือดและสั่นเทาเธอกลั้นหายใจ เหมือนต้องใช้แรงทั้งหมดในตัวเพื่อไม่ให้ทรุดลงตรงนั้น
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉัน!”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อคุณเป็นเมียผม ตอนนั้นคุณบอกท้องลูกของผมอยู่เลย!”
“ไม่จริงฉันไม่เคยเป็นของใคร”
“หึๆ อย่าคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปให้ไอ้ผู้ชายหน้าไหนอีก” ดวงตาแดงก่ำเพราะความหึงหวง และไม่เข้าใจว่าทำไมปิ่นมุกถึงลืมเอาไปแล้ว
“ไอ้โรคจิต!” เธอพูดทั้งเสียงสั่น ก่อนจะหมุนตัวแล้ววิ่งกลับเข้าไปในงานทันที
“ปิ่นมุก บ้าฉิบ!” ทิ้งให้เขายืนอยู่ลำพัง เขายืนค้างอยู่อย่างนั้นสองมือกำแน่น ขณะที่ใบหน้าด้านที่โดนตบยังอุ่นวาบ เธอจำเขาไม่ได้จริงๆ หรือแค่เลือกที่จะลืมกันแน่
“คุณวินซ์อยู่นี่เองอลิส...” อสิลาเดินตามหาเขาทั่วงาน
“เลิกทำตัวเป็นปลิงเกาะแกะผมสักทีรำคาญ!” เขาเดินหนีมองหน้าปิ่นมุกอีกครั้ง แต่กลับไม่มีวี่แววจึงหงุดหงิดและรีบออกจากงานทันที
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว