“เชื่อสิครับ ก็คุณคือภรรยาคนเดียวของผม”และตอนนี้ชีวิตชายพิการเช่นเขาก็มีเพียงเธอเท่านั้น ซ้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน
แม้เธอไม่เคยพูดออกมาว่ารักสามีอย่างเขาหรือไม่ แต่ไหล่เล็กที่พยายามปกป้องเขาในตอนนั้น รวมถึงท่าทีเอาเรื่องกับคนคิดร้ายต่อสามีของเธอก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีที่มีภรรยาเช่นจางซิ่วอิง
“แล้วเคยคิดจะหย่ากับภรรยาขี้โรคแบบฉันหรือเปล่าคะ?”เธอถามออกไปตามตรง ในขณะที่มือยังคงแกะผ้าพันแผลของเขาออกอย่างตั้งใจ
หยางซีห่าวอายุเพียงยี่สิบปี หากเขาสามารถรักษาแผลที่ขาหายและเดินได้ปกติ เมื่อกลับเข้ากรมอนาคตของเขาคงไปได้อีกไกล และสามารถเลือกผู้หญิงมาอยู่เคียงข้างที่ดีกว่าหญิงสาวหน้าตาขลาดเขลา แถมยังดูอมโรคแบบเธอได้
“ไม่เคย! และไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”หยางซีห่าวปฎิเสธขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องคิด แม้จะแต่งงานกันโดยไร้รัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเห็นแก่ตัวทอดทิ้งภรรยาให้เป็นหม้ายเลยสักครั้ง อีกอย่างเขาล่วงเกินเธอไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ชีวิตนี้ไม่ว่าอย่างไรจางซิ่วอิงก็จะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง
“ก็ดีค่ะ”หญิงสาวยิ้มบาง เธอรู้สึกพึงพอใจกับคำตอบและท่าทางหนักแน่นจริงจังของสามีตอนพูดประโยคนั้นไม่น้อย
เมื่อผ้าพันแผลถูกคลายออกจนหมด เผยให้เห็นแผลสดที่ยังมีเลือดไหลซึมบางจุด เนื้อบริเวณขอบค่อนข้างแห้งลงบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่แห้งสนิทดี ขนาดผ่านเวลามาสักพักแล้วยังสภาพนี้ เธอไม่อยากจินตนาการถึงตอนแรกที่ปฐมพยาบาลเลยว่าจะน่าสยดสยองเพียงใด และหยางซีห่าวคงผ่านความทรมานมาไม่น้อยเลย
จุดที่ลึกสุดของบาดแผลหากกะด้วยสายตาก็คงจะลึกถึงหนึ่งข้อนิ้วกว่า ๆ เห็นจะได้ ส่วนความยาวนั้นกินพื้นที่ตั้งแต่ส่วนน่องอ้อมมาทางส่วนหัวเข่าด้านหน้าและยาวขึ้นมาเกือบครึ่งของต้นขา ยังดีที่เขาถูกฝึกอย่างหนักร่างกายจึงมีกล้ามเนื้อแน่นทุกส่วน หากเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แผลลึกขนาดนี้ไม่แน่ว่าคงอาจเห็นกระดูกไปแล้วก็ได้
นัยน์ตาคู่สวยร้อนผะผ่าวทันทีที่สำรวจบาดแผลอย่างละเอียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากแผลตรงหน้า “คุณเจ็บมากไหมคะ?”
เสียงใสสั่นเครือเล็กน้อย หญิงสาวพยายามอดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ดวงตาเรียวทอดมองใบหน้าของสามีนิ่ง
หยางซีห่าวไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมคำถามทั่ว ๆ ไปที่ออกมาจากปากของภรรยาถึงทำให้เขารู้สึกอุ่นซ่านในอกได้มากขนาดนี้ หรือเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อย หรือบาดเจ็บก็ไม่มีใครเคยถามคำถามนี้กับเขากัน
และเมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่เรียวที่มีหยดน้ำตาคลอหน่วยของภรรยาก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เธอมีต่อเขา ริมฝีปากหยักยิ้มตอบภรรยา พลางพยักหน้าลงเล็กน้อย เพื่อให้เธอเริ่มลงมือกับแผลของเขาได้เลย “ผมทนไหวครับ”
ชายชาติทหารแม้จะเจ็บก็ต้องอดทนและผ่านไปให้ได้ไม่ใช่หรือ…
“ฉันจะเบามือที่สุดนะคะ”จางซิ่วอิงยิ้มรับ ก่อนจะหยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมาราดลงบนบาดแผลจนทั่ว เธอเหลือบมองใบหน้าสามีที่กำลังอดทนต่อความเจ็บปวดจนใบหน้าแดงก่ำ กรอบหน้าคมเข้มนั้นมีเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด
โชคดีว่าแผลของหยางซีห่าวนั้นได้รับการดูแลมาอย่างดีจากหมอในค่าย จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หญิงสาวจึงทำเพียงแค่ล้างให้สะอาดและทาเบตาดีนให้เขาจนทั่ว จากนั้นจึงใช้ผ้าสีขาวสะอาดปิดแผลไว้ แต่ไม่ได้หนาเท่าตอนแรก เพื่อให้บาดแผลไม่ชื้นจนเกินไป
“ความจริงแล้ว ตอนที่คุณไม่อยู่…ฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่งค่ะ”เรื่องนี้นับว่าหนักใจมากทีเดียวที่จะต้องเปิดเผยให้เขารู้ในตอนนี้ แต่หญิงสาวก็อยากลองเดิมพันดูสักครั้ง อย่างไรหลังจากนี้เธอยังต้องนำของในมิติออกมาขายเรื่อย ๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพ เธอไม่อยากต้องหาเรื่องโกหกเขาในทุกวันที่มีสิ่งของแปลกใหม่โผล่ขึ้นมาในชีวิตประจำวัน แม้จะหวั่นใจมากแต่เธอเลือกแล้ว…ที่จะบอกความจริง
ชีวิตคู่หากมีความลับต่อกันแต่แรก…ต่อไปการโกหกก็คงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถึงเขาจะยอมรับไม่ได้หรือมองว่าเธอเป็นภูตผีก็คงต้องยอมรับ
แถบนี้เป็นชนบทถึงจะถูกสั่งห้ามเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ หรือแม้แต่การเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ไม่มีให้เห็น แต่ชาวชนบทส่วนมากยังคงมีความเชื่อเรื่องภูตผีอยู่มากทีเดียว ถ้าหากสามีมองว่าเธอเป็นผีสางขึ้นมาแล้วยอมรับไม่ได้ขึ้นมา เธออาจจะถูกจับไปถ่วงน้ำได้ในไม่ช้า
เมื่อเห็นว่าสามียังคงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เธอจึงเล่าต่อในทันที
“ตอนนั้นวิญญาณของฉันล่องลอยจนไปพบกับคุณยายใจดี ท่านให้มิติที่มีสินค้าจากอนาคตอย่างไม่จำกัด ทั้งยังทำแบบนี้ได้ด้วย และคุณยายก็ให้ฉันกลับมาเกิดอีกครั้ง”ไม่พูดเปล่าทว่าหญิงสาวหยิบกล่องยาขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ ก่อนจะทำให้มันหายไปในอากาศภายในชั่วพริบตาเท่านั้น จากนั้นจึงเรียกแอปเปิ้ลลูกใหญ่สดใหม่น่าทานออกมาแล้ววงลงบนมือหนาของสามี
จางซิ่วอิงเลือกโกหกในบางส่วนเพื่อให้สามีเข้าใจง่ายขึ้น อีกอย่างเธอก็รู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย หากรู้ว่าภรรยาของเขาคือวิญญาณจากอนาคตมาสิงร่าง ไม่รู้ว่าสามีจะยังรับได้อยู่หรือไม่ แต่ในส่วนของมิติอย่างไรเธอก็ต้องบอก เพราะหากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน วันหนึ่งเขาก็ต้องรู้อยู่ดี ซึ่งหากเก็บไว้มีแต่จะทำให้เธอเองรู้สึกอึดอัดเปล่า ๆ
“…”กล่องยาที่หายไปในอากาศอย่างรวดเร็วนั้น จากนั้นก็มีแอปเปิ้ลผลใหญ่กว่ากำปั้นของเขาโผล่ขึ้นมาบนมือของภรรยา และเธอก็วางมันลงบนมือของเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้นัยน์ตาคมตื่นตะลึงจนอ้าปากหวอโดยไม่รักษาท่าทีนิ่งขรึมอย่างที่ชอบทำ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนโลกมีสิ่งนี้ และนี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันเต็มสองตาเช่นนี้
เมื่อเห็นสามีสติหลุดไปแล้ว ก้อนเนื้อในอกพลันบีบรัดรุนแรง ก่อนไหล่บางจะค่อย ๆ ลู่ลงพร้อมกับขอบตาแดงก่ำเริ่มมีหยาดน้ำตาคลอหน่วยและร่วงไหลอาบแก้มในที่สุด “ถ้าคุณกลัว คุณจะหย่ากับฉะ…”
“ผมขอโทษ…เพราะผมที่ทิ้งคุณให้โดดเดี่ยว นอนป่วยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ผมเป็นสามีที่แย่มากจริง ๆ”เขายอมรับว่าตกใจกับสิ่งตรงหน้า แต่กลับรู้สึกเสียใจมากกว่าที่เขาเป็นสามีไม่เอาไหนได้ขนาดนี้ ถ้าหากว่าภรรยาเขาไม่ได้รับโอกาสให้ฟื้นขึ้นมา เธอคงนอนสิ้นใจอยู่ภายในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง และเขาเชื่อว่าคงไม่มีใครเข้ามาดูเธอในตอนนั้นอย่างแน่นอน กว่าเขาจะกลับมาเจอก็คงเป็นอีกสามเดือนต่อจากนี้
“คุณไม่กลัวที่ฉันเป็นแบบนี้เหรอคะ?”คิ้วคู่เรียวขมวดเข้าหากัน เอ่ยปากถามสามีออกมาอย่างนึกแปลกใจ
เห็นสีหน้าภรรยาแล้วใบหน้าหล่อเหลาจึงระบายยิ้มอบอุ่น ก่อนจะคว้ามือเรียวขึ้นมากุมไว้ แล้วสบตากับภรรยากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ผมกลัวจะไม่มีคุณมากกว่า แล้วตอนนั้นคุณคงรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ผมขอโทษ เป็นผมที่ผิดต่อคุณ…ภรรยา”หยางซีห่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น เมื่อก่อนเขายอมรับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับภรรยามากนัก แต่ตอนนี้เมื่อเธอเล่าว่าตอนนั้นผ่านความตายมาอย่างไร กลับทำให้หัวใจแกร่งนึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ แต่คุณอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณไปทำงานหาเงินมาให้ฉันนี่คะ คุณอุตส่าห์ออกไปเสี่ยงชีวิตเพื่อฉัน ฉันจะโทษคุณได้อย่างไร”
“แต่ผม…”
เมื่อเห็นคนเป็นสามียังจมอยู่กับการคิดโทษตัวเอง จางซิ่วอิงจึงเอ่ยขัดขึ้น
“เราเริ่มต้นกันใหม่นะคะ ภรรยาคนนี้จะอยู่เคียงข้างคุณเอง”
นัยน์ตาคมเหลือบมองขาข้างที่ถูกผ้าพันไว้ ก่อนจะตอบกลับภรรยาไปอย่างเจียมตัว “แต่ผมกำลังจะเป็นชายพิการ”
ตอนนี้เขาไม่สามารถหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้อีกแล้ว ทั้งยังเป็นภาระให้ภรรยาต้องคอยดูแลอีกต่างหาก
“บาดแผลนี้เหรอคะ? สำหรับฉันแล้วคุณเป็นวีรบุรุษต่างหาก แล้วอีกอย่างมีฉันอยู่ทั้งคน ฉันจะไม่ยอมให้คุณพิการแน่นอน เชื่อใจฉันนะคะ”
จางซิ่วอิงพลิกฝ่ามือหงายขึ้นเป็นฝ่ายกอบกุมมือสามีไว้แทนแล้วออกแรงบีบเบา ๆ ใบหน้าสวยวาดยิ้มกว้างส่งให้คนเป็นสามี
“ขอบคุณครับภรรยา เรามาเริ่มต้นใหม่กันครับ”
กลับมาบ้านครั้งนี้แม้ขาข้างหนึ่งจะใช้การไม่ได้ แต่การที่ภรรยาเปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจมากกว่าทุกครั้งที่กลับมาเสียอีก นัยน์ตาคมมองใบหน้าของภรรยาด้วยแววตาลึกซึ้ง จางซิ่วอิงคือภรรยาและครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามี และเขาจะรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีที่สุด
หลังจากปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว คนเป็นภรรยาจึงเก็บอุปกรณ์ทั้งกะละมังและผ้าพันแผลใช้แล้วจนเรียบร้อย ช่วยสามีลุกจากรถเข็นแล้วพยุงเขาขึ้นเตียงนอน ก่อนจะออกไปเดินตรวจตราประตูหน้าต่างอย่างเช่นทุกวัน แล้วกลับเข้าห้องนอน ว่าเมื่อเข้ามากลับเห็นสามียังคงนั่งรออยู่
“ยังไม่นอนเหรอคะ?”
“ผมรอนอนพร้อมภรรยาครับ”
จางซิ่วอิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะขึ้นเตียงไปนอนเคียงข้างสามี ด้วยความรู้สึกหวานล้ำ “ฝันดีค่ะสามี”
“ฝันดีครับ ภรรยา”
ภายในบ้านหลังสีขาวขนาดกลางในย่านการค้าสำคัญ เสียงหัวเราะพูดคุยของคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ช่วยทำให้บรรยาของบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นไม่น้อยในช่วงเช้าอากาศสดใสจางซิ่วยืนมองหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อยของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณแม่ยังสาวนับวันยิ่งสวยขึ้นจนผิดหูผิดตาตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว หลังจากที่เจ้าสองแสบเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน สามีอย่างหยางซีห่าวที่ขยันบอกรักภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ขยันมากขึ้นอีกหลายเท่า จนผ่านไปสองเดือนเจ้าหัวผักกาดหัวที่สามก็ถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของเธอในที่สุด“ผมต้องไปแล้วครับ คุณก็อย่าหักโหมนะครับ ผมเป็นห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยเตือนภรรยาประโยคเดิมเช่นทุกวัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่น ทั้งแววตาที่มองภรรยานั้นอ่อนโยนกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไหน ๆเพราะภรรยาของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องความขยันขันแข็ง ในแต่ละวันเธอทั้งทำงานนอกบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก
จางซิ่วอิงยังต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ทำให้ลูกน้อยทั้งสองต้องอยู่กับเธอด้วย หยางซีห่าวก็เช่นกัน เขาทำเรื่องลางานถึงหนึ่งเดือนเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยทั้งสองด้วยตนเอง“เด็ก ๆ ป้ามาแล้ววววว!!”เยว่ผิงอันส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาในห้องเสียอีก เธอเข้ามาเยี่ยมหลาน ๆ พร้อมกับสามีที่ถือของพะรุงพะรังตามหลังมาจางซิ่วอิงยิ้มให้กับคนเห่อหลานทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะให้สามีรับข้าวของเหล่านั้นและนำไปเก็บไว้ก่อน“ผมฝากดูแลเธอและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”หยางซีห่าวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล วันนี้เขากับพี่ภรรยามีธุระที่ต้องไปสะสางจึงต้องฝากเธอกับลูกไว้กับพี่สะไภ้เสียก่อนจางซิ่วอิงยังไม่หายดีนัก ส่วนลูกทั้งสองแม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแต่การมีคนคอยช่วยเหลือย่อมดีกว่า เขาไม่อยากให้ภรรยาเหนื่อยจนเกินไป“ไปจัดการ
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างโปร่งแสงไปอย่างแรงจนผมยาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม จางซิ่วอิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที เธอเข้าใจว่าคุณยายรับรู้ความปรารถนาของเธอแล้วจึงเอ่ยพรข้อที่สามออกไป“พรข้อสุดท้ายฉันขอให้ฉันและลูก ๆ ปลอดภัยค่ะ ขอโอกาสให้ฉันได้คลอดพวกเขา ให้พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตบนโลกอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”คำอ้อนวอนปนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวลอยหายไปตามสายลม ก่อนจะได้รับรู้ได้ถึงลมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านร่างของเธอไปอย่างรวดเร็ว สายลมแรงนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอเอาไว้ต่างหาก“พรของหล่อนถูกใช้หมดแล้วนะ ต่อจากนี้ยายขอให้หล่อนมีชีวิตที่ดี”เสียงของหญิงชราดังแว่วอยู่ไกล ๆ จางซิ่วอิงพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทว่าเมื่อมองไปยังหน้าห้องคลอดที่มีร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ กลับเห็นเด็กชายหญิงหน้าตาน่ารักยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่
ซ่งเฟยหลงประกาศกร้าวพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังผู้ก่อเหตุทั้งหมด อันธพาลสี่คนที่ถูกจ้างมาให้คอยช่วยเหลือหวงไฉ่หง เมื่อเห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารพร้อมปืนก็หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นเหนือหัว ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นตามคำสั่ง แม้แต่หวงไฉ่หงเองที่เป็นเพียงชาวบ้านชนบทมีหรือจะกล้าขัดขืนพันโทซ่งเฟยหลงย้ายมาประจำการที่นี่ในวันนี้ซึ่งเขาไปรายงานตัววันแรก พอเรียบร้อยแล้วก็เจอเข้ากับลูกน้องเก่าอย่างหยางซีห่าวกำลังออกจากค่ายพอดี เขาจึงขอติดรถออกมาด้วยเพื่อหาบ้านพักชั่วคราว ระหว่างรอทำเรื่องขอบ้านพักสวัสดิการ ซึ่งหยางซีห่าวก็รับปากว่าจะพาไปดูบ้านพัก แต่ขอไปรับภรรยาที่กำลังท้องแก่เสียก่อน แต่เมื่อรถเข้ามาจอดภาพเหตุการณ์อุกฉกรรจ์นี้ก็ทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่งมาจากรถที่จอดอยู่อีกด้านทว่าจากที่ซ่งเฟยหลงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่แล้ว เพราะลูกน้องอย่างหยางซีห่าวรีบวิ่งไปประคองหญิงท้องแก่ พร้อมตะโกนเรียกชื่อภรรยาดังลั่น“ซิ่วอิง ภรรยา!”
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจางซิ่วอิงก็อุ้มท้องเจ้าหัวผักกาดมาได้จนถึงแปดเดือนแล้ว เพราะขนาดท้องที่ใหญ่กว่าปกติของคุณแม่ลูกแฝดทำให้การเดินเหินค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยปกติแล้วการมาทำงานของจางซิ่วอิงจะต้องมีพี่ชายหรือสามีอยู่ด้วยเพื่อคอยระมัดระวังหากเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ทว่าเมื่อวานโรงงานผลไม้กระป๋องของเธอที่อยู่ต่างเมืองมีปัญหาพี่ชายอย่างจ้าวคุนจึงรับอาสาไปดูแทนส่วนสามีนั้นติดภารกิจตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงเขาทำภารกิจนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ต้องอยู่ต่ออีกนิดเพื่อทำเรื่องลาหยุดงานมาดูแลเธอจนกระทั่งคลอด ซึ่งคนเป็นภรรยาเองก็เข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไรจากคนเป็นสามี เพราะอย่างไรวันนี้เธอก็ตั้งใจจะมาทำงานวันสุดท้ายอยู่แล้ว ท้องเธอโตมากและใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปทำงานคงไม่สะดวกนัก หลังจากนี้จึงตั้งใจว่าจะให้พี่สะไภ้เอางานส่วนของเธอมาให้ที่บ้านแทนจางซิ่วอิงเดินไปยังลานจอดรถโดยมีพี่สะไภ้คอยประคองอย
“ฉุนเหรอคะ?” คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาแม่บ้านซุนคิดหนัก หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม พยายามนึกถึงอาหารแต่ล่ะจานว่าเธอทำผิดพลาดที่ตรงไหนกัน มีส่วนผสมอะไรที่ผิดแปลกหรือพิศดารจึงได้ทำให้เจ้านายอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงเช่นนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ว่าอาหารของป้าซุนไม่ดี แต่ว่าฉันได้กลิ่นแล้วรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ”หญิงสาวกล่าวขอโทษแม่บ้านทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอเห็นแก่ความทุ่มเทของป้าซุนที่พยายามรังสรรอาหารหลากหลายอย่างเพื่อเอาใจเธอ แต่กลิ่นแบบนั้นเธอไม่สามารถทนได้จริง ๆแม่บ้านวัยกลางคนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็คิดหนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นทีฝีมือการทำอาหารของเธอคงตกเสียแล้ว พลันวิ่งเข้าไปเตรียมยาดมและยาหอมมาให้กับเจ้านายเพื่อบรรเทาอาการเยว่ผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกันกับคู่หมั้นหนุ่มพอฟังอยู่ไม่ไกลนั้นรู้สึกแปลกใจกับน้องสาวขึ้นมาในทันที อาหารบนโต๊ะนั้นแน่นอนว่าล้วนเป็นอาหารอย่างดี ถูกรังสรรขึ้นมาจนหน