จางซิ่วอิงหายไปในครัวไม่นานอย่างที่เธอว่าไว้ ก่อนจะกลับมาพร้อมข้าวขาวเรียงเม็ดสวยร้อน ๆ สองจาน กับอาหารจานผัดหนึ่งจาน และต้มอีกหนึ่ง วันนี้เธออยากกินหมูสามชั้นต้มพร้อมน้ำจิ้มแซ่บซี๊ดเหมือนโลกก่อนจึงทำเพิ่มขึ้นมาอีกจาน เมื่ออาหารพร้อมสรรพบนโต๊ะแล้ว ร่างบางจึงเดินไปเข็นรถให้สามีที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงให้มาทานข้าวด้วยกัน
กลิ่นอาหารลอยคลุ้งเต็มบ้านจนกระทบเข้ากับจมูกของหยางซีห่าว กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“ฉันมีเวลาทำอาหารไม่มาก เลยมีแต่อาหารง่าย ๆ คุณลองทานดูนะคะ ว่าถูกปากหรือเปล่า?”เสียงใสกล่าวกับสามีขณะที่พาเขาไปยังโต๊ะอาหาร
แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปบ้างเพราะต้องออกแรงมาก รถเข็นในยุคนี้ไม่ได้สะดวกหรือเข็นเองได้เหมือนยุคที่เธอจากมา การเคลื่อนย้ายจึงต้องออกแรงมากหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะเธอเต็มใจ สำหรับสาวสองที่ตายมาแล้วชาติหนึ่ง การได้อยู่ร่วมบ้าน ได้ดูแลคนรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอเต็มใจทำ
“ผมไม่เรื่องมากอยู่แล้ว คุณนั่งเถอะ”หยางซีห่าวเป็นทหารที่ถูกฝึกมาอย่างหนัก ภารกิจเสี่ยงตายล้วนผ่านมาไม่น้อย อาหารการกินล้วนเป็นเรื่องยากลำบาก ฉะนั้นอาหารที่ภรรยาทำมีหรือจะไม่ถูกปาก
นัยน์ตาคมกวาดมองอาหารที่คนเป็นภรรยาพึ่งกล่าวว่ากลัวจะไม่ถูกปากเขาอย่างนึกทึ่ง มีแต่จานเนื้อทั้งนั้น แถมหน้าตาอาหารก็นับได้ว่าไม่ได้หาได้ทั่วไป ผัดผักที่ถูกผัดด้วยน้ำมันจนใบสีเขียวมันวาวใช่ว่าทุกบ้านในชนบทจะกล้าใช้น้ำมันสิ้นเปลืองเช่นนี้ แล้วไหนจะหมูสามชั้นต้มชิ้นยาวที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำกับน้ำจิ้มสีแดงจัดดูแปลกตานั่นอีก ดูอย่างไรก็น่าทานกว่าโรงอาหารในค่ายเป็นไหน ๆ
จางซิ่วอิงยิ้มบางให้กับคนทานง่าย อย่างน้อยเขาไม่ได้ตำหนิว่าเธอฟุ่มเฟือยหลังจากเห็นอาหารบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเนื้อ ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้พอดีจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณมียามาด้วยหรือเปล่าคะ?”
“อยู่ในกระเป๋าครับ”
หยางซีห่าวมองร่างบางที่ค่อนข้างสดใสมีชีวิตชีวากว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันมากทีเดียว ย่างก้าวของภรรยานั้นแน่วแน่มั่นคงอย่างที่เขาเองไม่เคยเห็น แถมยังดูแข็งแรง ไหล่บางที่เหยียดตรงไม่ได้ห่องุ้มต่างจากตอนนั้นที่อ่อนแอราวกับจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ
หญิงสาวจัดยาให้สามีเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาอีกครั้ง ดวงตาคู่เรียวเหลือบมองหน้าของคนรักครั้งหนึ่ง ก่อนจะคีบหมูสามชั้นต้มที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำวางบนข้าวของสามีอย่างใส่ใจ
“ทานข้าวให้อิ่มท้องเสียก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวฉันจะขอดูแผลของคุณหน่อย ส่วนคุณสงสัยอะไรค่อยถามในตอนนั้นนะคะ” ริมฝีปากได้รูปวาดยิ้มเบาบาง มองสบตาของสามีด้วยแววตาใสซื่อ ก่อนจะลงมือคีบอาหารทานด้วยความหิวโหย ร่างกายนี้คล้ายกำลังฟื้นฟู เมื่อเริ่มคุ้นชินกับมื้ออาหารที่ตรงเวลาแล้ว พอวันนี้เลยมื้ออาหารมาเพียงเล็กน้อยก็หิวจนตาลายเสียแล้ว
รอยยิ้มของภรรยาในวันนี้ช่างต่างจากที่ผ่านมาจนพาลให้หัวใจแกร่งสั่นไหว มือหนากำตะเกียบแน่น ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารตรงหน้าเพียงเงียบ ๆ
ทว่าทันทีที่อาหารคำแรกเข้าปากรสชาติแปลกใหม่ แต่กลมกล่อมละมุนลิ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ส่วนน้ำจิ้มรสจัดที่ใช้ทานคู่กับหมูสามชั้นต้มนั้นก็เปรี้ยวเผ็ดและมีรสเค็มตามมาเล็กน้อย ชายหนุ่มนึกทึ่งกับรสมือของภรรยาไม่น้อย เขารู้สึกชื่นชอบอาหารทุกจานบนโต๊ะ แม้แต่ข้าวขาวที่อยู่ตรงหน้ายังอร่อยอย่าบอกใคร
จางซิ่วอิงที่เห็นสามีขยับตะเกียบโกยอาหารเข้าปากเร็วขึ้นก็รู้สึกพอใจ แม้อาหารจะเป็นเพียงแค่ผัดผักใส่หมูง่าย ๆ ที่ไม่ได้ปรุงรสอะไรมากมายเขายังทานโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ทานง่ายเสียจริง
หลังมื้ออาหารจบลงหญิงสาวจึงให้สามีทานยาหลังอาหาร ส่วนเธอเก็บจานไปล้าง พร้อมทั้งจะเข้าครัวไปต้มน้ำขิงมาดื่มก่อนนอนสักหน่อย เพราะรู้สึกถึงอากาศที่ค่อนข้างหนาวกว่าทุกวัน
“ดื่มน้ำขิงหน่อยสิคะ!”จางซิ่วอิงยื่นแก้วน้ำขิงที่มีไอร้อนลอยอยู่ให้สามี ส่วนอีกมือก็ถือของตัวเองแก้วหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเรียกกล่องปฐมพยาบาลออกมาจากในมิติ จัดเตรียมผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าของสามีที่ซื้อเตรียมไว้วางเรียงบนที่นอนอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นจึงไปเอาน้ำอุ่นใส่กะละมังถือมาไว้ในห้องนอนเพื่อให้สามีได้เช็ดเนื้อเช็ดตัว
หยางซีห่าวถูกภรรยาเข็นเข้ามาภายในห้องนอน กลิ่นหอมภายในห้องที่เป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นกายเธอลอยมากระทบจมูกจนเผลอสูดเข้าจนเต็มปอด อันที่จริงไม่ใช่เพียงห้องนี้ที่เปลี่ยนไป เขาสังเกตได้ตั้งแต่เข้ามาในรั้วบ้านแล้ว ทุกสิ่งทั้งรอบบริเวณบ้าน ในบ้านและห้องนี้ล้วนไม่เหมือนเดิม
ชายหนุ่มมองสิ่งที่ภรรยาจัดเตรียมไว้รอก็รู้สึกอุ่นซ่านในอก ก่อนจะเหลือบมองร่างบอบบางที่กำลังเข็นรถของเขามาหยุดอยู่ข้างเตียงด้วยความรู้สึกขอบคุณ ตลอดเวลาที่ปฎิบัติหน้าที่สิ่งที่เขาห่วงที่สุดคือ จางซิ่วอิง
เพราะเธอทั้งบอบบางและขี้กลัว ทั้งยังเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่ดูภรรยาในตอนนี้สิ จางซิ่วอิงทั้งดูแข็งแรงและสดใสกว่าทุกครั้งที่เขาพบเจอ ไมได้ดูขี้โรคแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ก็บรรเทาความรู้สึกผิดในใจชายหนุ่มลงไปมากทีเดียว
“คุณเช็ดตัวเองได้ไหมคะ? หรืออยากให้ฉันช่วย”
“ผมทำเองได้ครับ คุณไปอาบน้ำเถอะ”อากาศเย็นขึ้นมากแล้ว เขาเกรงว่าหากร่างบางอาบน้ำช้ากว่านี้จะทำให้เธอล้มป่วยเอาได้ ส่วนเรื่องทำความสะอาดร่างกายนั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
จางซิ่วอิงส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนจะหยิบชุดสำหรับเปลี่ยนและผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมปิดประตูเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับสามี
หลังจากชายหนุ่มเปลื้องผ้าออกจนหมดแล้ว ผิวกายแกร่งเต็มไปด้วยบาดแผลจากการเสียสละ มีทั้งแผลที่หายดีแล้วและแผลที่พึ่งจะแห้งเมื่อไม่นานมานี้ แต่ที่หนักสุดเห็นว่าจะเป็นขาขวาที่ยังคงมีเลือดซึมออกมาจากบาดแผลจนทะลุออกมานอกผ้าพันแผล
มือหนาหยิบผ้าผืนเล็กนุ่มมือขึ้นมาบิดน้ำ ก่อนทำความสะอาดเนื้อตัวจนสะอาดอย่างรวดเร็ว เขาหยิบชุดที่ภรรยาเตรียมไว้ให้ขึ้นมาใส่ สัมผัสเย็นสบายของเนื้อผ้าแม้จะไม่ได้ดีเลิศเช่นคนในเมืองใส่ แต่ก็นับว่าภรรยานั้นใส่ใจไม่น้อย ทั้งขนาดยังพอดีกับตัวเขามากทีเดียว พลันริมฝีปากหยักยกยิ้มมีความสุข
“คุณ! ฉันเข้าไปได้ไหมคะ?”มือเรียวเคาะลงบนประตูสองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตสามี
“เข้ามาเถอะครับ”
จางซิ่วอิงเปิดประตูเข้ามาก็เป็นตอนที่สามีนั้นจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่ในชุดใหม่ที่เธอเตรียมไว้ให้ นับว่าเธอเก่งกาจไม่น้อยที่สามารถกะเกณฑ์ขนาดเสื้อผ้าจากความทรงจำได้พอดิบพอดีเช่นนี้ พลันหญิงสาวหยิบเก้าอี้มาวางตรงหน้าเขา ก่อนจะยกท่อนขาข้างขวาขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้โดยมีเจ้าตัวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจึงช่วยเบาแรงเธอได้มาก
“ฉันขอดูแผลหน่อยนะคะ ระหว่างนี้คุณมีอะไรอยากถามฉันไหม?”หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับไว้อยู่ตลอดเธอเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของเขาก็เดาเอาว่าคนเป็นสามีคงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เสียงหวานจึงเปิดประเด็นขึ้นทันที
หยางซีห่าวมองภรรยาที่กำลังพับขากางเกงเขาขึ้นทีละทบอย่างใจเย็น ก่อนจะหยิบกล่องยาลักษณะแปลกตามาไว้ข้าง ๆ ใช้กรรไกรสีเงินวาววับที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ค่อย ๆ ตัดผ้าพันแผลอันเก่าออกจากขาของเขาอย่างระมัดระวัง
“คุณดู…เปลี่ยนไปนะ”เสียงทุ้มถามออกไปในที่สุด
จางซิ่วอิงหยุดมือ เธอเหลือบมองสีหน้าของสามีครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มเบาบางแล้วจัดการแผลของเขาต่อ “แล้วแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”
เธอตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะร่วมหัวจมท้ายกับเขา แต่ก็ต้องการแน่ใจเสียก่อนว่าซีห่าวในตอนนี้นั้นรู้สึกอย่างไรกับภรรยาคนนี้ของเขากันแน่ เพราะทั้งเขาและเธอในตอนนี้นั้นช่างแตกต่างจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น เพียงแต่…”ยอมรับว่าการกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจและนึกทึ่งกับหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะภรรยา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อตัวเธอเองและครอบครัวของเราไม่ใช่หรืออย่างไร
จางซิ่วอิงได้ฟังน้ำเสียงติดขัดของคนเป็นสามีก็ยิ้มขำ ก่อนจะช้อนนัยน์ตาขึ้นมองสบกับดวงตาคู่นั้นของเขาช้า ๆ แล้วถามประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สามี! คุณเชื่อใจฉันไหมคะ?”
ภายในบ้านหลังสีขาวขนาดกลางในย่านการค้าสำคัญ เสียงหัวเราะพูดคุยของคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ช่วยทำให้บรรยาของบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นไม่น้อยในช่วงเช้าอากาศสดใสจางซิ่วยืนมองหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อยของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณแม่ยังสาวนับวันยิ่งสวยขึ้นจนผิดหูผิดตาตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว หลังจากที่เจ้าสองแสบเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน สามีอย่างหยางซีห่าวที่ขยันบอกรักภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ขยันมากขึ้นอีกหลายเท่า จนผ่านไปสองเดือนเจ้าหัวผักกาดหัวที่สามก็ถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของเธอในที่สุด“ผมต้องไปแล้วครับ คุณก็อย่าหักโหมนะครับ ผมเป็นห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยเตือนภรรยาประโยคเดิมเช่นทุกวัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่น ทั้งแววตาที่มองภรรยานั้นอ่อนโยนกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไหน ๆเพราะภรรยาของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องความขยันขันแข็ง ในแต่ละวันเธอทั้งทำงานนอกบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก
จางซิ่วอิงยังต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ทำให้ลูกน้อยทั้งสองต้องอยู่กับเธอด้วย หยางซีห่าวก็เช่นกัน เขาทำเรื่องลางานถึงหนึ่งเดือนเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยทั้งสองด้วยตนเอง“เด็ก ๆ ป้ามาแล้ววววว!!”เยว่ผิงอันส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาในห้องเสียอีก เธอเข้ามาเยี่ยมหลาน ๆ พร้อมกับสามีที่ถือของพะรุงพะรังตามหลังมาจางซิ่วอิงยิ้มให้กับคนเห่อหลานทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะให้สามีรับข้าวของเหล่านั้นและนำไปเก็บไว้ก่อน“ผมฝากดูแลเธอและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”หยางซีห่าวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล วันนี้เขากับพี่ภรรยามีธุระที่ต้องไปสะสางจึงต้องฝากเธอกับลูกไว้กับพี่สะไภ้เสียก่อนจางซิ่วอิงยังไม่หายดีนัก ส่วนลูกทั้งสองแม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแต่การมีคนคอยช่วยเหลือย่อมดีกว่า เขาไม่อยากให้ภรรยาเหนื่อยจนเกินไป“ไปจัดการ
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างโปร่งแสงไปอย่างแรงจนผมยาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม จางซิ่วอิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที เธอเข้าใจว่าคุณยายรับรู้ความปรารถนาของเธอแล้วจึงเอ่ยพรข้อที่สามออกไป“พรข้อสุดท้ายฉันขอให้ฉันและลูก ๆ ปลอดภัยค่ะ ขอโอกาสให้ฉันได้คลอดพวกเขา ให้พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตบนโลกอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”คำอ้อนวอนปนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวลอยหายไปตามสายลม ก่อนจะได้รับรู้ได้ถึงลมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านร่างของเธอไปอย่างรวดเร็ว สายลมแรงนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอเอาไว้ต่างหาก“พรของหล่อนถูกใช้หมดแล้วนะ ต่อจากนี้ยายขอให้หล่อนมีชีวิตที่ดี”เสียงของหญิงชราดังแว่วอยู่ไกล ๆ จางซิ่วอิงพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทว่าเมื่อมองไปยังหน้าห้องคลอดที่มีร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ กลับเห็นเด็กชายหญิงหน้าตาน่ารักยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่
ซ่งเฟยหลงประกาศกร้าวพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังผู้ก่อเหตุทั้งหมด อันธพาลสี่คนที่ถูกจ้างมาให้คอยช่วยเหลือหวงไฉ่หง เมื่อเห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารพร้อมปืนก็หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นเหนือหัว ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นตามคำสั่ง แม้แต่หวงไฉ่หงเองที่เป็นเพียงชาวบ้านชนบทมีหรือจะกล้าขัดขืนพันโทซ่งเฟยหลงย้ายมาประจำการที่นี่ในวันนี้ซึ่งเขาไปรายงานตัววันแรก พอเรียบร้อยแล้วก็เจอเข้ากับลูกน้องเก่าอย่างหยางซีห่าวกำลังออกจากค่ายพอดี เขาจึงขอติดรถออกมาด้วยเพื่อหาบ้านพักชั่วคราว ระหว่างรอทำเรื่องขอบ้านพักสวัสดิการ ซึ่งหยางซีห่าวก็รับปากว่าจะพาไปดูบ้านพัก แต่ขอไปรับภรรยาที่กำลังท้องแก่เสียก่อน แต่เมื่อรถเข้ามาจอดภาพเหตุการณ์อุกฉกรรจ์นี้ก็ทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่งมาจากรถที่จอดอยู่อีกด้านทว่าจากที่ซ่งเฟยหลงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่แล้ว เพราะลูกน้องอย่างหยางซีห่าวรีบวิ่งไปประคองหญิงท้องแก่ พร้อมตะโกนเรียกชื่อภรรยาดังลั่น“ซิ่วอิง ภรรยา!”
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจางซิ่วอิงก็อุ้มท้องเจ้าหัวผักกาดมาได้จนถึงแปดเดือนแล้ว เพราะขนาดท้องที่ใหญ่กว่าปกติของคุณแม่ลูกแฝดทำให้การเดินเหินค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยปกติแล้วการมาทำงานของจางซิ่วอิงจะต้องมีพี่ชายหรือสามีอยู่ด้วยเพื่อคอยระมัดระวังหากเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ทว่าเมื่อวานโรงงานผลไม้กระป๋องของเธอที่อยู่ต่างเมืองมีปัญหาพี่ชายอย่างจ้าวคุนจึงรับอาสาไปดูแทนส่วนสามีนั้นติดภารกิจตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงเขาทำภารกิจนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ต้องอยู่ต่ออีกนิดเพื่อทำเรื่องลาหยุดงานมาดูแลเธอจนกระทั่งคลอด ซึ่งคนเป็นภรรยาเองก็เข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไรจากคนเป็นสามี เพราะอย่างไรวันนี้เธอก็ตั้งใจจะมาทำงานวันสุดท้ายอยู่แล้ว ท้องเธอโตมากและใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปทำงานคงไม่สะดวกนัก หลังจากนี้จึงตั้งใจว่าจะให้พี่สะไภ้เอางานส่วนของเธอมาให้ที่บ้านแทนจางซิ่วอิงเดินไปยังลานจอดรถโดยมีพี่สะไภ้คอยประคองอย
“ฉุนเหรอคะ?” คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาแม่บ้านซุนคิดหนัก หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม พยายามนึกถึงอาหารแต่ล่ะจานว่าเธอทำผิดพลาดที่ตรงไหนกัน มีส่วนผสมอะไรที่ผิดแปลกหรือพิศดารจึงได้ทำให้เจ้านายอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงเช่นนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ว่าอาหารของป้าซุนไม่ดี แต่ว่าฉันได้กลิ่นแล้วรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ”หญิงสาวกล่าวขอโทษแม่บ้านทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอเห็นแก่ความทุ่มเทของป้าซุนที่พยายามรังสรรอาหารหลากหลายอย่างเพื่อเอาใจเธอ แต่กลิ่นแบบนั้นเธอไม่สามารถทนได้จริง ๆแม่บ้านวัยกลางคนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็คิดหนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นทีฝีมือการทำอาหารของเธอคงตกเสียแล้ว พลันวิ่งเข้าไปเตรียมยาดมและยาหอมมาให้กับเจ้านายเพื่อบรรเทาอาการเยว่ผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกันกับคู่หมั้นหนุ่มพอฟังอยู่ไม่ไกลนั้นรู้สึกแปลกใจกับน้องสาวขึ้นมาในทันที อาหารบนโต๊ะนั้นแน่นอนว่าล้วนเป็นอาหารอย่างดี ถูกรังสรรขึ้นมาจนหน