หลังจากได้ทำความรู้จักกับ ‘ญาติ’ ของสวีฉีเฟิง และส่งเขาไปทำกิจธุระแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่นางจะต้องไปทำความรู้จักกับเหล่าข้าทาสบริวารของสามีที่แน่นอนว่าต่อไปนี้คนเหล่านั้นจะต้องเป็นข้าทาสบริวารของนางด้วยเช่นกัน
“นายหญิงเชิญที่เรือนกลางขอรับ”
ท่านพ่อบ้านซูโค้งกายชี้นำทางให้แก่นางอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ แต่เพราะเด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวตรงหน้านั้นครอบครองตำแหน่ง ‘นายหญิงสวี’ เขาที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ย่อมต้องแสดงให้บริวารทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่างเอาไว้ มิให้คนใต้ปกครองได้กำเริบเสิบสานไม่เคารพผู้เป็นนายได้ในภายภาคหน้านั่นเอง
“รบกวนท่านพ่อบ้านซูแล้ว”
จางเยว่เซียงเองนั้นก็ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน มาถึงวันนี้ความทรงจำร่างนี้แทบไม่มี แต่ความทรงจำของ ‘ตะวันฉาย’ นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง เพราะในยุคนี้นอกบ้านสามียิ่งใหญ่ ทว่าในบ้านภรรยาต้องควบคุมให้สงบ สามีจะแต่งอนุภรรยาอีกกี่นาง จะมีบุตรต่างภรรยาอีกกี่คน ผู้ที่เป็นภรรยาเอกเฉกเช่นนางจะต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้ และมิใช่เพียงต้อง ‘ได้’ แต่จะต้องดีที่สุดอีกด้วย
“พวกนางเหล่านี้คือสาวใช้ทั้งหมดที่จวนรอง ส่วนทางฝั่งนี้คือบ่าวชายกับคนงานทั้งหมดของจวนรองนี้ขอรับนายหญิง พวกเจ้ายังไม่เร่งคารวะนายหญิงเยว่เซียงอีก”
“คารวะนายหญิงเจ้าค่ะ/คารวะนายหญิงขอรับ”
สาวใช้หนึ่งแถวยาวเหยียดนับด้วยสายตาคร่าว ๆ คงเกินร้อยห้าสิบชีวิต กับบ่าวชาย และเหล่าคนงานอีกคงเกินสองร้อย จางเยว่เซียงแทบร้องไห้ด้วยถุงเงินที่เตรียมมาคงไม่พอแล้วเป็นแน่ ครั้นเมื่อหันกลับไปทางฟางปี้เหลียนก็ทำเอานางแทบอยากจะกัดลิ้นให้ตายเสียมากกว่าเดิม เมื่อด้านหลังนั้นเป็นหีบใหญ่ถึงสามใบ ฮือ...นั่นมันสินเดิมของนางถึงสองในห้าส่วนเชียวนะ!
“คุณหนูหน้าซีดหน้าเหลืองเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ”
ฟางปี้เหลียนนั้นไม่เข้าใจคนเค็มจนทะเลเรียกมารดาที่แลเห็น ‘ถุงของขวัญ’ มากมายก็คล้ายจะหน้ามืดตาลาย อยากจะแสร้งตายเพราะไม่อยากเสียเงินสักเหวินเดียว ทว่าเหลือบไปมองสายตาของเหล่าบริวาร และท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ซูแล้ว จางเยว่เซียงก็ตั้งสติใหม่แล้วท่องในใจว่า...
...สามีของข้ารวย!...
“เอาถุงของขวัญมาให้ข้าเถิดปี้เหลียน”
ทว่าเสียงคำสั่งนั้นแม้นฟังแล้วร้านก็ต้องจำเก็บอาการให้แนบเนียน หลายครั้งที่ฟางปี้เหลียนต้องกระตุ้นเตือนผู้เป็นนายสาวของตนว่า’ แจกของขวัญสิเจ้าค่ะคุณหนู’ ภายในใจของสาวใช้คนสนิทนั้นก็ให้แปลกประหลาดไม่หายที่หลังจากคุณหนูห้านางฟื้นขึ้นมาคราวนี้ช่างเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว และที่ชัดเจนที่สุดก็คงเป็น...
...ความตระหนี่นั้นช่างมีมากจนน่ากลัว...น่ากลัวจริง ๆ ...นะ...
และกว่าจะแจกจ่าย ‘ถุงของขวัญ’ จนทั่วครบทุกตัวคน ฟางปี้เหลียนก็ถึงกับต้องตรงเข้าไปพยุง ‘นายหญิง’ เลยทีเดียว แต่ทุกคนต่างคิดไปว่าหลังผ่านคืนเข้าหอมาเจ้าสาวนั้นย่อมจะมีอาการอ่อนเพลีย แข้งขาอ่อนแรงไปบ้างล้วนไม่แปลก หารู้ไม่ว่าที่จางเยว่เซียงแข้งขาอ่อนแรงหน้ามืดตาลายทั้งสิ้นล้วนเสียดายเงิน!!!
“คุณหนูเจ้าคะ ต้องการน้ำแกงหวานสักถ้วยหรือไม่”
พอพยุง ‘นายหญิงสวี’ มาส่งถึงในเรือนเอื้อมจันทร์แล้ว ฟางปี้เหลียนจึงสอบถึงของชอบที่หากอีกฝ่ายมีอาการหน้ามืดตาลายก็มักจะเรียกหาน้ำแกงหวานเสมอ ซึ่งหากเป็นคนในอดีตย่อมไม่แปลกที่จะเรียกหาน้ำแกงหวานหรือของหวานชนิดอื่น ทว่าจางเยว่เซียงวันนี้คือ ‘ตะวันฉาย’ คือนางร้ายข้ามภพ คนที่หากวันใดตึงเครียดจะต้องไปหา ‘ส้มตำรสแซ่บ’ กระแทกปากแก้เซ็งทุกครั้งไป แต่ที่แห่งนี้มันจะมีของที่นางอยากกินที่ใดกัน
...นางร้ายเป็นเศร้า...
“ไม่ต้องหรอกปี้เหลียน ข้าไม่หิว”
กล่าวตอบสาวใช้คนสนิทไปแล้วคนเสียดายเงินจนหมดแรงก็ทอดกายลงนอนซมยิ่งกว่าสุนัขป่วย เห็นแล้วฟางปี้เหลียนก็ชักจะร้อนใจไม่น้อย ปกติอยู่ที่จวนสกุลจางหากคุณหนูห้าเจ็บป่วย นางล้วนวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวฮูหยินหรือไม่ก็นายท่านจางโดยตรง หากแต่บัดนี้อยู่จวนรองสกุลสวี หากคุณหนูของนางเกิดเจ็บป่วยอาการไม่ดี ซึ่งอาจจะเกิดจากเหตุการณ์ที่คุณหนูห้าถูกฟาดศีรษะจนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นไปได้ คิดได้เช่นนั้นฟางปี้เหลียนก็คิดว่าต้องพึ่งพาท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ซูเสียแล้ว เพราะที่แห่งนี้นอกจากหนานเฉิงกั๋วกง และคุณหนูห้าของนางแล้ว ก็คงมีเพียงซูจิ้งเหยาผู้นั้นที่พอจะช่วยเหลือผู้เป็นนายของนางได้
“ปี้เหลียนเจ้าจะไปที่ใดหรือ?”
คนนอนสิ้นสภาพบนเตียงผงกศีรษะขึ้นมองสาวใช้ด้วยความสงสัยว่าฟางปี้เหลียนจะพุ่งออกไปที่ใดอีก ที่สำคัญนางกำลังคิดว่าไม่ได้กินส้มตำปูปลาร้ารสเด็ด แต่อาจพอจะหาสิ่งใดมาทดแทนกันได้อยู่บ้างกระมัง ก็จวนนี้มันจวนรองของหนานเฉิงกั๋วกงนี่นา อยากกินสิ่งใดคงไม่ยากเกินกำลังของคนแห่งจวนสวีเป็นแน่
“เอ่อ...อาเหลียนเกรงว่าคุณหนูอาจปวดศีรษะขึ้นมาอีกจึงคิดไปแจ้งกับท่านพ่อบ้านใหญ่ให้เขาตามหมอมาตรวจอาการคุณหนูเจ้าค่ะ”
ฟังแล้วจางเยว่เซียงจึงได้สติแล้วอยากตบตนเองให้มันสมองกระเด็นที่ปล่อยให้ความเสียดายทรัพย์สินเงินทองเข้าครอบงำพานทำให้อารมณ์ของตนเองดำดิ่งลงไปจนสาวใช้ที่รักนางดังน้องสาวร่วมสายโลหิตเช่นฟางปี้เหลียงห่วงใยกระวนกระวายเช่นนี้
...สมควรตายสักหมื่นครั้งเสียจริงเชียวจางเยว่เซียงเอ๊ย...
“ข้ามิได้ปวดศีรษะอีกหรอก อย่าได้ว้าวุ่นใจไป ข้าเพียงรู้สึกเพลียเล็กน้อย หากได้กินของรสชาติเผ็ดร้อนสักหน่อยรับรองว่าจะกลับมาสดชื่นแจ่มใสอีกครั้งอย่างแน่นอน”
คนอยากหาของรสจัดจ้านมากระแทกปากดับความเศร้าที่ต้องจ่ายสินเดิมไปถึงสามหีบ เร่งลุกขึ้นจากเตียงตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของสามีที่ตั้งอยู่มุมห้องชิดติดกับหน้าต่างบานหนึ่ง
“คุณหนูต้องการสิ่งใดบอกแก่ปี้เหลียนเถิดเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนสนิทเดินตามผู้เป็นนายสาวตัวน้อยไปที่โต๊ะเขียนหนังสือด้วยอีกคน ซึ่งพอทรุดนั่ง จางเยว่เซียงก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองลืมวิธีเขียนตัวอักษรเช่นชาวต้าเหลียงไปหมดแล้ว ไม่สิต้องเรียกว่าร่างนี้ไร้ค่าลืมแม้แต่วิธีตวัดปลายพู่กัน มือเรียวเอื้อมไปหยิบพู่กัน และหันไปที่แท่นหมึก พยายามเต็มที่รีดเค้นเพื่อความทรงจำออกมา
...จี๊ด...โครม!...
“คุณหนู!”
พอจางเยว่เซียงพยายามนึกทบทวนหนักเข้าความเจ็บจี๊ดในหัวก็พลันพุ่งกระแทกจนดวงตาของนางมืดมนไปจริง ๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งตนเองก็หงายหลังตกลงมาจากเก้าอี้เสียแล้ว
นอนนิ่งอยู่ที่พื้นครู่หนึ่งจึงรับรู้ได้ว่าตนเองถูกอุ้มขึ้นไปวางบนเตียง ได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวาย เสียงเรียกหาท่านหมอ เท่านั้นเองจางเยว่เซียงจึงได้ทราบว่าตนเป็นโรควูบไปเสียแล้ว
“อาฮ่าวเจ้าเร่งไปแจ้งแก่นายท่านว่านายหญิงเป็นลมหมดสติเดี๋ยวนี้เลย”
นางได้ยินเสียงท่านพ่อบ้านใหญ่สั่งการคนสนิทของสามี นางรู้สึกได้ถึงผ้าเปียกชื้นที่ฟางปี้เหลียนนำมาเช็ดหน้าเช็ดตา และเช็ดไปตามร่างกายพร้อมกับจัดการเปลี่ยนชุดใหม่ที่สวมสบายไม่รัดแน่นจนเกินไปให้ นางรับรู้ทุกอย่างในใจจึงเถียงไปว่าตนเองมิได้หมดสติ แต่สุดท้ายก็สุดจะรู้ว่าตนเองนั้นหมดสติไปจริง ๆ เมื่อใดกัน
สวีฉีเฟิ่งมาถึงจวนในอีกครึ่งชั่วยามต่อมาโดยมีท่านหมอฟางนั้นรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เขาตรงดิ่งไปที่เตียงแล้วทรุดลงนั่งแทนที่ท่านหมอชราด้วยหน้าตาตึงเครียดอยู่แปดส่วน
“กั๋วกงฟูเหรินเป็นอันใดกันแน่”
เพราะทราบมาว่านับจากช่วยนางขึ้นมาจากบึงบัวท้ายจวนท่านนายอำเภอจาง หรือบัดนี้คือท่านผู้ว่าจางล้วนเป็นท่านหมอฟางที่รักษา และดูแลภรรยาของเขามาโดยตลอดจนนางฟื้นคืนสติขึ้นมาจากความตายได้อีกครั้ง
“เรียนท่านกั๋วกง แต่เดิมข้าตรวจอาการของกั๋วกงฟูเหรินนั้นก็มีเพียงความทรงจำของนางไม่ปกติเนื่องจากศีรษะถูกฟาดโดยแรงหลายครั้ง แต่วันนี้ตรวจดูอีกครั้งจึงแน่ใจ บัดนี้ภายในศีรษะของกั๋วกงฟูเหรินมีโลหิตเสียก้อนหนึ่งขอรับ”
เรื่องเช่นนี้เป็นอาการปกติของคนที่ถูกของหนักฟาดอย่างแรงหลายครั้ง ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุรองนอกจากกระดูกตรงท้ายทอยหักจะทำอันตรายถึงแก่ชีวิต อาการมีโลหิตเสียตกค้างอยู่ในศีรษะก็เช่นกันที่น้อยคนนักจะรอดชีวิต นี่นับว่าจางเยว่เซียงนั้นหนีดวงความตายมาได้จึงทำให้นางยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้นานจวบจนถึงวันนี้
“ท่านหมอหมายความว่าท่านเองก็รักษาอาการเช่นนี้มิได้หรือ”
ยิ่งทราบถึงอาการร้ายแรงของผู้เป็นภรรยา ใบหน้าของสวีฉีเฟิ่งก็ยิ่งดำมืดไปด้วยเพลิงโทสะมากถึงเก้าส่วนแล้ว เพราะอาการเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง นางอาจจากเขาไปได้ตลอดเวลาหากได้รับแรงกระแทกเพิ่มไปอีก
“เกรงว่าคงมีเพียงแพทย์จากวังหลวงแล้วขอรับที่จะสามารถออกเทียบยา และคงมีเพียงคลังยาในวังหลวงที่จะมีตัวยาสลายก้อนเลือดเสียในศีรษะของกั๋วกงฟูเหรินได้”
ท่านหมอฟางอธิบายถึงการรักษา และออกเทียบยาที่พอจะค่อย ๆ สลายก้อนเลือดเสียที่ยังอยู่ในศีรษะของจางเยว่เซียงเท่าที่ความรู้ทางการแพทย์ของตนเองจะมี จากนั้นเขาจึงลากลับไป ผ่านไปอีกสองชั่วยาม คนบนเตียงจึงตื่นขึ้นมา
“น้องเซียงระวังหน่อย”
เขาเร่งลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปประคองคนตัวน้อยให้นางลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงด้วยกิริยาอ่อนโยน “พี่เฟิ่ง ขอน้ำ” เสียงที่เคยหวานใสดังระฆังเงินแหบแห้งชวนเห็นใจ เขาเร่งเทน้ำสะอาดใส่ถ้วยให้นางดื่มทว่าพอดื่มน้ำหมดถ้วยเท่านั้นที่ปลายจมูกเรียวสวยก็มีหยาดโลหิตสีดำพุ่งออกมาชวนขวัญผวา เดือดร้อนให้ต้องเรียกท่านหมอฟางกลับมาอีกครั้ง
“ซูจิ้งเหยาเร่งส่งคนไปเชิญท่านหมอฟางมาเดี๋ยวนี้! น้องเซียงเจ็บปวดตรงที่ใดหรือไม่ ปวดศีรษะไหม?”
สวีฉีเฟิ่งดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดสีคล้ำไปพลางก็สอบถามคนที่ยังนั่งงงงันปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดเลือด และจับกายนางพลิกซ้ายหันขวาด้วยความร้อนใจต่อไปอีกเป็นครู่ จนเมื่อท่านหมอผู้เฒ่ามาถึง จางเยว่เซียงจึงทราบว่าตนเองนั้นมีอาการเช่นไร ซึ่งหากเป็นโลกเก่าที่นางตายจากมาอาการเลือดเสียค้างอยู่ในสมองนี้จะร้ายแรงถึงแก่ชีวิตแต่ก็รักษาได้รวดเร็วด้วยการผ่าตัด ทว่าที่แห่งนี้เกรงว่าการแพทย์จะยังไม่ได้ก้าวหน้าถึงเพียงนั้น
“ซั่วเจาข้าต้องการชีวิตของเจ้าพ่อบ้านแซ่ฝู่ผู้นั้นเจ้าถือหนังสือนี้ไปมอบแก่ท่านพ่อตาให้ข้าสักหน่อย”
ในเมื่อคนของเขาวันนี้ต้องหลั่งเลือด ต้นเหตุก็สมควรต้องสละร่างกายให้เป็นอาหารว่างของอาลี่กับอาฟ่งแล้ว เพราะไม่ว่าคน สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยงมีเขาเป็นเจ้าของ ที่จะรังแกได้ย่อมมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น!
ตอนที่11หลังจากได้ทำความรู้จักกับ ‘ญาติ’ ของสวีฉีเฟิง และส่งเขาไปทำกิจธุระแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่นางจะต้องไปทำความรู้จักกับเหล่าข้าทาสบริวารของสามีที่แน่นอนว่าต่อไปนี้คนเหล่านั้นจะต้องเป็นข้าทาสบริวารของนางด้วยเช่นกัน “นายหญิงเชิญที่เรือนกลางขอรับ” ท่านพ่อบ้านซูโค้งกายชี้นำทางให้แก่นางอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ แต่เพราะเด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวตรงหน้านั้นครอบครองตำแหน่ง ‘นายหญิงสวี’ เขาที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ย่อมต้องแสดงให้บริวารทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่างเอาไว้ มิให้คนใต้ปกครองได้กำเริบเสิบสานไม่เคารพผู้เป็นนายได้ในภายภาคหน้านั่นเอง “รบกวนท่านพ่อบ้านซูแล้ว” จางเยว่เซียงเองนั้นก็ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน มาถึงวันนี้ความทรงจำร่างนี้แทบไม่มี แต่ความทรงจำของ ‘ตะวันฉาย’ นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง เพราะในยุคนี้นอกบ้านสามียิ่งใหญ่ ทว่าในบ้านภรรยาต้องควบคุมให้สงบ สามีจะแต่งอนุภรรยาอีกกี่นาง จะมีบุตรต่างภรรยาอีกกี่คน ผู้ที่เป็นภรรยาเอกเฉกเช่นนางจะต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้ และมิใช่เพียงต้อง ‘ได้’ แต่จะต้องดีที่สุดอีกด้วย “พวกนางเหล่านี้คือสาวใช้ทั้งหมดที่จวนรอง ส่วนทางฝั่งนี้คือบ่าวชายกับคนงานทั้งห
ตอนที่10ช่วงต้นยามอิ๋นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าพิโรธ อากาศเย็นสาดเข้ามากระทบคนไม่ชอบอากาศหนาวจนนางต้องตื่นขึ้นมา ก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ?” คนตัวโตที่เพิ่งปิดประตูลงด้วยกิริยาระวัง แต่คนบนเตียงนางก็ยังขยับกายตื่นลุกขึ้นมานั่งได้อยู่ดีเอ่ยถามขึ้น“มิได้เจ้าค่ะ ข้าตื่นเพราะเสียงฟ้าฝนด้านนอกที่แรงยิ่งนักนั่น ซ้ำละอองเย็นจากน้ำฝนก็สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าค่ะ” สวีฉีเฟิ่งหันไปก็เห็นจริงจึงเดินไปปิดมันลงเสียแล้วกลับมาปลดอาภรณ์ตัวนอกออกจนหมดเปลี่ยนมาเป็นเสื้อคลุมสวมใส่ในยามนอนเพียงตัวเดียว จากนั้นเขาก็เก็บนั่นเก็บนี่จนเรียบร้อยจึงเดินตรงไปที่เตียงสอดกายสูงใหญ่นั้นเบียดเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้จางเยว่เซียงจับสังเกตได้แล้ว ว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เป็นบุรุษที่มีระเบียบจัดอย่างที่สตรีบางคนยังต้องอับอายผู้หนึ่งเลยทีเดียว “พรุ่งนี้มีเวลาให้เจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน มะรืนหลังจากกลับไปยกน้ำชาให้แก่ท่านพ่อของเจ้าแล้ววันต่อไปพวกเราคงต้องเดินทางไปยังชายแดนแคว้นอี้ด้วยกัน เพราะการค้าที่นั่นมีปัญหาให้ข้าต้องไปดูแลแก้
ตอนที่9ผ่านไปครู่หนึ่งสภาพของ ‘นายท่าน’ ที่ปรากฏต่อหน้าติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนนั้นกลับช่างน่าอนาถอย่างยิ่ง ทว่าจะน่าอนาถเพียงใดพวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ากลืนความขบขันลงท้องเท่านั้น “มิต้องตามหมอแน่นะเจ้าคะ?” จางเยว่เซียงนั้นที่ยังแตกตื่นเอ่ยถามคนที่นอนหงายหนุนตักของนางอยู่ด้วยความกังวลที่เจ้าบ่าวของตนเองนั้นเลือดกำเดาพุ่งออกมาราวกับน้ำพุเมื่อครู่ไม่หาย อากาศที่แคว้นฉู่นี้ต่อให้ช่วงนี้เป็นฤดูฝนแต่ก็หนาวจนคนที่มาจากยุคที่อยู่ได้ด้วยเครื่องปรับอากาศยังรู้สึกเย็นสบายไม่ต้องเปิดหน้าต่างนอนเลยสักคืน แต่บางทีหนานเฉิงกั๋วกงผู้นี้เขาคงเป็นโรคร้อนในเป็นแน่จึงเลือดกำเดาออกง่ายเช่นนี้ “ไม่ต้องหรอกพวกเจ้าก็ไปนอนกันได้แล้วข้านอนพักสักครู่ก็หายดีแล้ว” ขืนต้องไปตามหมอกันกลางดึกด้วยสาเหตุผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นเลือดกำเดาไหล เห็นทีชื่อเสียงเลวร้ายที่สะสมมาถึงสิบปีคงได้มลายหายไปจนสิ้นเป็นแน่ สวีฉีเฟิ่งคิดในใจด้วยความทดท้อไม่หายเพราะเพียงต้องขายหน้าท่านพ่อบ้านใหญ่กับอีกหนึ่งสาวใช้กับหนึ่งคนสนิทนี้เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ใดกันแล้ว “ขอรับนายท่าน อาเหลียน อาฮ่าวตามข้ามา” ซูจิ้งเหยาเรียกคนรับใช้ชาย
ตอนที่8ดังนั้นเมื่อสวีฉีเฟิ่งเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเขาจึงขอตัวจากแขกที่คุ้นเคย เตรียมตัวไปหาเจ้าสาวในห้องหอจึงพบว่าเจ้าสาวคนงามของตนเองนอนหลับสนิทหมดสภาพไปเสียแล้ว “นายท่าน/นายท่าน” ติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนเห็นผู้เป็น ‘เจ้าบ่าว’ ถูกเพื่อนฝูงโดยแกนนำคือคุณชายตู้พากันมาส่งจนถึงหน้าประตูเรือนหอ ทว่าเจ้าสาวกลับยังนอนหลับได้ไม่ไหวติงเสียแล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงโค้งกายให้แก่ ‘นายท่าน’ จนศีรษะแทบโขกพื้นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าไปปลุก ‘เจ้าสาว’ ที่หลับประหนึ่ง ‘ซ้อมตาย’ เลยสักคน “ติงฮ่าวไปเตรียมน้ำ เจ้าปี้เหลียนสินะไปจัดเตรียมอาภรณ์ให้ข้า” ทว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นมิได้เดือดร้อนในเมื่อนางอยากจะหลับก็ให้หลับไปเขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กายกำยำปลดอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเนิบนาบโดยมีติงฮ่าวคอยช่วยเหลือผ่านไปครู่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เพียงเท่านั้นไม่มีอาภรณ์ใดอยู่ภายในอีกเลย “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ติงฮ่าวเจ้าพาปี้เหลียนไปส่งที่ห้องพักของนางด้วย พรุ่งนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเร่งเข้ามาที่เรือนนี้อีก” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนสนิทจัดการงานหน้าที่เสร็จแล้วรับคำสั่ง จากนั้นก็เร่งจากไปไม่อยู่ข
ตอนที่7และแล้ววันวิวาห์ยิ่งใหญ่ระหว่างคุณหนูห้าของท่านนายอำเภอจางและหนานเฉิงกั๋วกงสวีฉีเฟิ่งก็บังเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าของต้นเดือนหกนั้นแสนจะแจ่มใจเป็นใจต่อฤกษ์มงคลนี้เสียเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านเองต่างร่ำลือกันไปทั่วถึงการที่เจ้าสาวถูกเปลี่ยนไป แต่เพราะอำนาจและเงินทองของฝ่ายเจ้าบ่าวผู้ใดเล่าจะกล้าสงสัยความต้องการของเขา ดังนั้นพิธีต่าง ๆ จึงเริ่มดำเนินไปตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ฝ่ายเจ้าสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวนั้น จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย รวมทั้งสิ่งของที่ต้องใช้ในงานพิธี ร่วมไปกับสินเดิมซึ่งมีดังต่อไปนี้ หนึ่งนั่นก็คือเอี๊ยมแต่งงาน เป็นเอี๊ยมผ้าแพรสีแดง มีกระเป๋าเล็ก ๆ ตรงหน้าอกเสื้อ ปักคำว่า ‘แป๊ะนี้ไห่เล่า’ ซึ่งมีความหมายสื่อว่า อยู่กินกันจนแก่เฒ่าซึ่งจางเยว่เซียงนางก็เพิ่งได้ทดลองสวมดูว่าต้องแก้ไขหรือไม่ไปเมื่อวันก่อนนี้นี่เอง ชิ้นที่สองคือเชือกแดงผูกเอี๊ยม ติดตัวหนังสือ และมีแผ่นหัวใจสีแดงสำหรับติดเครื่องประดับเช่นไข่มุกหรือทองคำแท้ แล้วแต่ว่าฐานะของเจ้าบ่าว และเจ้าสาวจะร่ำรวยเพียงใด ซึ่งในกรณีของจางเยว่เซียงนับว่าเจ้าบ่าว แ
ตอนที่6...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... “นายท่าน” ซั่วเจามาพร้อมถุงผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตวัดพู่กันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ทั้งที่ก็เข้าสู่ต้นยามจื่อแล้วโดยแท้ สวีฉีเฟิ่งตวัดพู่กันลงไปบนตัวอักษรสุดท้ายแล้วจัดการพับเรียบร้อยเป็นจดหมายลับส่งออกไปกับพิราบสื่อสารสีขาวตัวอ้วนพี “เรียบร้อยดีทุกสิ่งใช่หรือไม่อาเจา” “เป็นไปตามบัญชาของนายท่านขอรับ” “ดี!” เรียวปากสวยเกินบุรุษแย้มยิ้มงดงามแล้วหยิบถุงผ้ามาเปิดออกเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่พูดสิ่งใด เดินออกจากห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสกุลสวีแล้วมุ่งตรงไปยังสวนด้านหลังเรือนดอกท้อก็พบกับกรงขนาดใหญ่ที่มีเสือดำตัวใหญ่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในถึงสองตัว “อาลี่” เจ้าตัวที่ใหญ่กว่าขยับหัวขึ้นดูแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมา กลับเป็นตัวที่เล็กกว่าที่ลุกขึ้นมาแล้วบิดตัวราวปวดเมื่อยอย่างยิ่ง แล้วเดินยักย้ายส่ายสะโพกมารับเอามือของมนุษย์คาบไปนอนแทะเล่นยังอีกมุมหนึ่งของกรงราวกับกินของว่างมื้อดึก ซึ่งพอส่ง อาหาร ‘ขบเคี้ยว’ ยามดึกให้เสือดำกำลังตั้งครรภ์เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งก็เดินไปล้างมือในอ่างด้านข้างที่บ่าวชายถือรอเอาไว้ “นายท่านจะกลับเรือนนอน