“เมี๊ยว”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าขายังคงมองไปที่เจ้าแมวนิ่งๆ แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เจ้าขาพอจะมองออกว่าเจ้าแมวที่ส่งเสียงและสบตาอยู่นั้นเป็นแมวสามสีที่ตัวโตพอสมควร หางยาวเป็นพวงส่ายสะบัดไปมาก่อนร่างปุกปุยจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วกระโดดจากระเบียงลงมายืนบนพื้น
สี่เท้าค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาใกล้เจ้าขาเรื่อยๆโดยที่เจ้าขายังคงมองไปนิ่งๆอย่างทำตัวไม่ถูก จนเมื่อเจ้าก้อนขนตัวโตมาหยุดตรงหน้า เจ้าขาที่ได้สบตาสีเทาอมฟ้านั่นถึงได้ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ดวงตาโตคมกริบกับหน้านิ่งๆนั่นดูยังไงก็ไม่น่าเป็นมิตร แต่หางที่ส่ายไปมาทำให้เจ้าขารู้ว่าเจ้าตัวตรงหน้าไม่ได้ดุร้ายอะไรแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่เดินมาหาเธอง่ายๆแบบนี้
“สีสวยจัง แอบออกมาเที่ยวสินะเรา”
เจ้าขาทักทายเจ้าขนฟูตรงหน้า สบสายตาดุที่น่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัวก่อนจะยื่นมือออกไปให้ดม จมูกเล็กๆแตะลงที่ปลายนิ้วเพียงนิดก่อนจะละออกไปแล้วหันไปมองทางอื่นแทน เจ้าขายิ้มบางทั้งที่น้ำตายังคงไหลเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ก่อนจะถามเจ้าแมวตรงหน้าอีกครั้งราวกับว่ามันจะตอบตัวเองได้
“ชื่ออะไรเหรอ เจ้าสามสี”
เจ้าขาถาม ถือวิสาสะเรียกตามสีที่เจ้าแมวตรงหน้ามี ก่อนจะได้สายตามองแรงกลับมาแล้วมองเมินไปทางอื่นแทนไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีก เจ้าขาทำท่าคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงข้างบนฟ้าแล้วสรุปเอาเองอีกครั้ง
“อืม งั้นขอเรียกมูนแล้วกัน ตกลงมั้ย”
“เมี๊ยว”
คราวนี้เจ้าแมวหันมาร้องใส่ครั้งนึงราวกับรับรู้ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งบนตักจนเจ้าขาต้องรีบขยับตัวให้เจ้าขนปุยได้นั่งดีๆ ดวงตาสีสวยมองสบกับเจ้าขาก่อนที่เจ้ามูนจะยืดตัวขึ้นมาเกาะไหล่ไว้แล้วแลบลิ้นเลียน้ำตาบนแก้มเจ้าขาจนเธอตกใจ
“เจ้ามูน…”
เจ้าขาเรียกเจ้าขนปุยที่จ้องตาเธออยู่เสียงแผ่ว น้ำตาที่เหือดแห้งไปพลันเอ่อล้นออกมาอีกครั้งอย่างตื้นตันใจ ลิ้นเล็กๆไล้เลียที่แก้มเนียนก่อนจะเลื่อนลงมาเลียที่คอขาวจนเจ้าขาจั๊กจี้ แค่เพียงได้สบดวงตาใสกลมโตเจ้าขาก็ปล่อยน้ำตาไหลลงมาอีกครั้งแล้วกอดเอาเจ้าก้อนขนตัวโตไว้แน่น
“ฮึก ตัวแกอุ่นจังเลยมูน ขอกอดอีกนิดได้มั้ย”
เจ้าขาแนบหน้าลงกับขนนุ่มแล้วถูไถไปมาอย่างต้องการความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ยิ่งกอดก็ยิ่งอุ่นวาบในใจทั้งที่ไม่มีคำปลอบโยนใดๆออกมาสักนิด นอกจากเสียงร้องเล็กๆจากเจ้าขนฟูในอ้อมแขน
“รู้เหรอว่าเจ้าขาเศร้า ฮึก ขอบคุณนะที่มาหา เจ้าขาอยากเลี้ยงมูนไว้จังอยากมีมูนรอเจ้าขากลับบ้าน แต่มูนต้องมีเจ้าของแน่ๆเลยใช่มั้ย งั้นมาหาเจ้าขาบ่อยๆได้รึเปล่ามาเป็นเพื่อนกับเจ้าขานะ”
เจ้าขาขอร้องปนสะอื้น ทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวในอ้อมกอดตอบโต้ไม่ได้ แต่กลับอยากคุยด้วยราวกับได้เจอเพื่อนใหม่คนนึง
อาจจะเพราะเจ้าขาอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกจนไม่กล้ารบกวน มีครอบครัวที่ยุ่งจนไม่กล้าไปเพิ่มความวุนวายใจให้ ทุกความรู้สึกไม่ว่าจะดีหรือแย่เจ้าขาต้องจัดการมันด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
ยามนี้ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้ๆแม้จะพูดไม่ได้แต่เจ้าขากลับดีใจ จนอยากระบายทุกอย่างที่แสนเหนื่อยออกมาให้ฟังทั้งหมดเลย เพราะเจ้าขารู้ว่าถ้าพูดไปก็จะไม่เป็นไร
“เมี๊ยว”
เสียงร้องราวกับตอบรับคำขอนั่นทำให้เจ้าขายิ้มออกมาทั้งน้ำตา สองมือลูบขนนุ่มเบาๆกอดเจ้ามูนเอาไว้แนบอกอย่างไม่อยากละออกไปไหน สายลมแผ่วเบาพัดผ่านพาเอากลิ่นดอกไม้จากสวนข้างๆบ้านโชยมาให้หอมชื่นใจ แต่เจ้าขากลับชอบกลิ่นป่าที่ติดอยู่ตามตัวเจ้ามูนมากกว่า มันให้ความสบายใจและอบอุ่นราวกับถูกโอบกอดเอาไว้เลย
เจ้าขาเอนตัวพิงกำแพงด้านหลังก่อนจะลูบขนเจ้ามูนที่ขดตัวนอนบนตักแผ่วเบา เรื่องราวแสนเหน็ดเหนื่อยถูกเอ่ยออกมาเรื่อยๆแต่ไร้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเหมือนเก่า เพราะตอนนี้เจ้าขาสบายใจและโล่งใจมากๆที่ได้ระบายทุกอย่างออกไป แม้จะเหมือนพูดคนเดียวก็ตามที
รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเป็นอีกวันจนเจ้าขาพ่นลมหายใจอย่างเสียดาย ถึงจะอยากนั่งต่อแบบนี้อีกนานแค่ไหน แต่เจ้าขาก็ต้องไปทำงานแต่เช้าอยู่ดี
“อ่า ต้องนอนแล้วล่ะพรุ่งนี้เจ้าขาต้องไปทำงานแต่เช้า มูนก็ต้องกลับบ้านนะอย่าไปไหนไกลอีกรู้มั้ย ไม่งั้นเจ้าของมูนจะต้องเสียใจมากๆแน่เลยเอาไว้มาหาเจ้าขาอีกนะ”
เจ้าขาจับเจ้าตัวนุ่มออกจากตักให้ยืนตรงหน้า เจ้ามูนที่ถูกรบกวนการหลับลืมตามองอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะร้องประท้วงออกมาแล้วจ้องตาเจ้าขานิ่ง
“เมี๊ยว”
“ทำไมล่ะ ไม่กลับบ้านเหรอเจ้าขาต้องนอนแล้วนะ มูนเองก็ต้องกลับบ้านเดี๋ยวเจ้าของเป็นห่วงรู้มั้ย”
เจ้าขาบอกกับเจ้าขนฟูตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะนั่งยองๆมองตากลมใสนั่น แต่เจ้ามูนกลับยืนมองนิ่งไม่แม้จะขยับกายสักนิดจนเจ้าขาถอนหายใจ จะปิดประตูหนีแล้วปล่อยไว้ก็ใจร้ายไม่ลง
“เฮ้อ…งั้นถ้าเจ้าขาให้นอนด้วยกันคืนนึงเจ้าของมูนคงไม่ว่าหรอกเนอะ ตอนเช้าค่อยกลับละกัน”
“เมี๊ยว”
หลังจากนั้นตีรณาก็ยังคงฝันแบบเดิมจนแทบไม่เป็นอันนอนต้องให้คนคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจะเครียดจนไม่สบาย ทุกอย่างดูคล้ายจะปกติจนกระทั่งผ่านไปเป็นเดือนๆและถึงกำหนดคลอดลูกเตมินทร์ถือกำเหนิดมาด้วยความสมบูรณ์ทุกอย่างไม่มีอะไรน่ากังวลอย่างที่ตีรณากลัวสักนิด จากทารกน้อยก็เติบโตขึ้นมาจนได้สามเดือน และในคืนนั้นที่พระจันทร์เต็มดวงตีรณาถึงได้อุ้มลูกไปยืนชมแสงนวลตาด้วยกันอย่างสบายใจ เตชินทร์ที่เห็นว่าภรรยาลืมเรื่องร้ายๆได้แล้วก็สบายใจขึ้นมาก่อนจะยืนมองทั้งสองคนที่รักอย่างสุขใจ“เมี๊ยว…”เสียงร้องที่ทำเอาตีรณาสะดุ้งดังใกล้จนเธอตัวสั่นหวาดระแวง เตชินทร์รีบเข้ามากอดภรรยาเอาไว้ไม่ให้อีกคนตื่นกลัวเกินไปนัก ก่อนจะพากันหันมองต้นเสียงว่ามาจากไหน“เมี๊ยว”เสียงที่ดังใกล้จนเหมือนอยู่ตรงหน้าทำเอาตีรณาต้องก้มลงดูลูกชายที่อุ้มอยู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำเธอช็อคจนแทบโยนลูกทิ้ง ดีที่เตชินทร์ไวกว่ารีบคว้าเอาทารกในห่อผ้ามาอุ้มไว้เองแล้วก็ต้องตกใจตามเมื่อลูกที่ควรจะอยู่ในห่อผ้า กลับกลายเป็นแมวสามสีตัวเล็กจ้อยแทน“กรี๊ด คุณคะนั่นมันอะไร”“เฮ้ย! ลูกหายไปไหน คุณๆใจเย็นๆก่อนครับ”เตชินทร์ทั้งตกใจเรื่องลูกทั้
หากจะนับว่าเตมินทร์ต้องเผชิญกับเรื่องราวแสนประหลาดและน่าเหลือเชื่อมานานแค่ไหน ก็คงต้องย้อนไปตั้งแต่เตมินทร์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มันเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงสวยงามและตีรณาก็ชอบนั่งมองมันทุกครั้ง เพราะท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเธอจึงต้องปรับอารมณ์ตัวเองให้ผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ “เมี๊ยว…”เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตที่ตีรณาไม่ชอบมากที่สุดดังขึ้นมาจนต้องหันซ้ายขวามองอย่างหวาดระแวงทันที เพราะตอนเด็กเธอถูกแมวกัดจนเป็นแผลและจำฝังใจมาจนโต แมวจึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเธอทุกคนรู้ดี ตีรณายังไม่ทันได้ลุกเข้าบ้านก็เหลือบไปเห็นแมวสามสีตัวใหญ่ที่ขอบระเบียง มันกำลังร้องและจ้องเธออย่างน่าสงสาร ตามตัวมีร่องรอยบาดแผลจนเลือดไหลหยดลงบนพื้นไม่หยุด สร้างความหวาดกลัวให้ตีรณายิ่งกว่าเดิมจนต้องหวีดร้องออกมาเสียงดัง“กรี๊ด ออกไปนะไอ้แมวบ้า!”“เมี๊ยว!”“ออกไปนะ!”“เมี๊ยว!”ตุบ!“คุณ เป็นอะไรครับ ร้องทำไม”เตชินทร์ที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งออกมาดูภรรยาทันทีด้วยความเป็นห่วง พบว่าตีรณากำลังยืนร้องไห้จนตัวสั่นก็รีบเข้าไปกอดปลอบใจ ตีรณาซุกเข้าหาอกสามีด้วยความหวาดกลัว ภาพแมวที่เธอผลักจนร่วงลงไปจากระเบียงจนนอนแน่นิ่งทำเอาขาสั่นจ
“พี่เต เจ้าขาเหนื่อยแล้วนะคะ”เจ้าขาโอดครวญเมื่อถูกเตมินทร์เคี่ยวกรำมานานจนแทบไม่มีแรงยืน งานแต่งแสนหวานชื่นผ่านพ้นท่ามกลางความยินดีจากคนที่รักของทั้งสองฝ่าย แม้ครอบครัวจะไม่ได้สนใจชีวิตเจ้าขาหรือแม้แต่แม่ของเตมินทร์ที่วางท่ามากไปหน่อย แต่จากท่าทางวันนี้ใครมองดูก็รู้ว่าทั้งสองครอบครัวก็มีความสุขถึงจะไม่มากเท่าบ่าวสาวก็ตามแต่เจ้าขาก็ไม่คิดว่าเตมินทร์ที่เหนื่อยมาทั้งวันยิ่งกว่าเจ้าขาจะยังเหลือแรงมารังแกเจ้าขาได้มากขนาดนี้ แถมยังดูท่าว่าจะยาวนานจนเจ้าขาชักหวั่นใจแล้วจริงๆ“แต่พี่ไม่เหนื่อย เจ้าขาหอมมากพี่ทนไม่ไหวแล้ว”“อ้ะ แต่พี่เตพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะคะ เจ้าขาจะหนีกลับบ้านจริงๆด้วย”เจ้าขาขู่ออกมาทันทีเมื่อเตมินทร์เข้ามากอดรัดร่างกายจนส่วนแข็งขืนทิ่มแทงเธอจนร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ไม่บอกก็รู้ว่าเตมินทร์ต้องการมากขนาดไหน“ไม่เอาครับ”“งั้นก็พอสิคะ เจ้าขาง่วง”“โอเคครับ พี่ขอจูบก็ได้ แค่จูบ”เตมินทร์อ้อนวอนพลิกร่างบางหันกลับมารับจูบที่ร้อนแรงจนเจ้าขาแทบทรุด จมูกสวยได้กลิ่นที่เตมินทร์ชอบปล่อยออกมามอมเมากันทุกครั้งก็รับรู้ได้ว่าคนตัวโตขี้โกงอีกแล้ว เพราะเตมินทร์รู้ว่าเจ้าขาจะแพ้และโอนอ่อน
“สะ ใส่เข้ามา นะคะ อื้อ”“ขอร้องสิครับ”ต่อให้อยากกระแทกแค่ไหนแต่เตมินทร์ก็สนุกที่ได้แกล้งให้เด็กดีกลายเป็นเด็กใจแตกเมื่ออยู่บนเตียง เวลาเจ้าขาต้องการมากๆมันทำให้เจ้าขายั่วยวนโดยไม่รู้ตัวและเตมินทร์ก็ชอบแบบนี้เหลือเกิน“อยาก เจ้าขาอยากได้ของพี่เต ใส่เข้ามานะคะ”“ใส่ให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะคนดี”สวบ!!“อ๊าาา”“ซี้ดด อ่าส์”สองเสียงครางประสานด้วยความเสียดเสียวที่ตีตื้นทันทีเมื่อแท่งร้อนกดเข้าไปจนมิดด้าม ก่อนจะดังขึ้นต่อเนื่องผสมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเมื่อเอวสอบสวนกระแทกเข้าออกอย่างเร่าร้อนรุนแรงราวคนอดอยาก เตียงกว้างไหวโยกกระทบผนังจนดังแบบที่ใครผ่านมาก็รู้ได้ไม่ยากว่าคนในห้องกำลังร่วมรักกัน แต่เพราะตอนนี้ทั้งคู่อยู่ตามลำพังเลยไม่ต้องสนว่าใครจะมาได้ยิน อยากทำรุนแรงแค่ไหนหรืออยากไปทำตรงไหนในบ้านก็ทำได้ตามใจและเพราะแบบนั้นเตมินทร์เลยจัดหนักทุกครั้งที่เป็นวันหยุด ทุกที่ในบ้านถูกใช้เพื่อสนองความใคร่จนแทบไม่มีที่ไหนไม่ถูกใช้เป็นที่รองรับอารมณ์ของทั้งคู่ เหมือนยามนี้ที่เตมินทร์พาเจ้าขามาตรงระเบียงนอกห้องนอนที่มีแสงจันทร์สาดส่องจนเจ้าขาหน้าแดงตัวแดงด้วยความเขิน เหมือนระลึกถึงวันแรกที่ได้เจอกัน และเ
“พี่เต วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนี่คะ”เจ้าขาถามขึ้นเมื่อหันไปเห็นพระจันทร์ที่ส่องแสงสว่างนวลตาอยู่บนฟ้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเป็นวันแบบนี้เตมินทร์จะต้องกลายเป็นแมวเหมือนเคย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งคู่หลงลืมเรื่องนี้ไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่คบกันและอยู่ด้วยกันตลอดเวลา จนลืมสังเกตว่าวันไหนที่มีพระจันทร์เต็มดวงบ้าง ที่เแน่ๆเตมินทร์ไม่ได้กลายเป็นเจ้ามูนให้เจ้าขาช่วยกลับคืนร่างสักครั้งตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา จนวันนี้ที่เจ้าขาเผลอเหม่อมองพระจันทร์ถึงเอะใจขึ้นมาได้“ใช่ครับ”เตมินทร์ที่ปีนขึ้นมาบนเตียงตอบรับด้วยสีหน้าปกติไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร เจ้าขามองอย่างงุนงงจนต้องถามออกมาอีกรอบ“แล้วทำไมพี่ถึงยังไม่เป็นเจ้ามูนล่ะคะ”“อ่า นั่นสิลืมไปเลยนะเนี่ย”เตมินทร์ที่นึกขึ้นได้ก็ชะงักก่อนจะหันมามองเจ้าขาด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน แต่พอนึกถึงเงื่อนไขที่เป็นแบบนี้ได้ก็ยิ้มกริ่ม ในใจฟูฟ่องจนแทบเก็บอาการไม่มิดแต่ก็ยังคงทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วมองเจ้าขาที่ทำหน้าสงสัยด้วยความเอ็นดูต่อไป“ไม่ตกใจเลยเหรอคะ”“แล้วหนูตกใจอะไรครับ อยากให้พี่เป็นแมวเหรอ หืม”เตมินทร์แกล้งถามกลับพลางท
“ช่วยส่งเอกสารการประเมินงานทุกอย่างของเจ้าขามาให้เลขาผมด้วยนะครับ ต่อไปผมจะป็นคนสอนและประเมินงานแฟนผมเอง เจ้าขาจะไม่ได้มาทำที่แผนกนี้แล้ว”เตมินทร์มองท่าทางหวาดกลัวนั่นอย่างพอใจก่อนจะสั่งออกมาด้วยท่าทางที่กดดันเหมือนเดิม ตอนนี้แค่อยากแสดงตัวให้ชัดเจนไปก่อนแต่ถ้ายังมีใครกล้ามาแตะเจ้าขาลับหลังอีกล่ะก็ เตมินทร์ไม่คิดจะเก็บไว้เหมือนกัน“อ้อ ค่ะ ได้ค่ะคุณเตมินทร์ จะรีบจัดการให้เลยค่ะ”ปัณณดาผงกหัวตอบรับด้วยอาการลนลาน แม้จะตกใจที่เตมินทร์ประกาศสถานะกับเจ้าขาออกมาแต่ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองกำลังจะซวยที่แอบนินทาเจ้าขามานาน ตอนนี้หากเตมินทร์หรือเจ้าขาปล่อยผ่านไม่ว่าอะไรเธอก็ยินดีทำทั้งนั้น เตมินทร์ไม่ได้สนใจท่าทางหวาดกลัวเพราะถือว่านี่คือการเตือนให้รู้แล้วว่าสถานะเจ้าขาคืออะไร หลังจากนี้ก็ถ้ายังกล้าก็คงต้องไปหางานใหม่เอา ร่างสูงจูงมือเจ้าขาที่ตกใจกับการประกาศโต้งๆแบบนั้นของเตมินทร์กลับห้องทำงานทันที ก่อนที่เจ้าขาจะรีบถามออกมาทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในที่ส่วนตัวแล้ว“พี่เต ทำไมไปประกาศแบบนั้นล่ะคะ”“ก็พี่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าขาเป็นแฟนพี่ เป็นของพี่ไงครับ นี่พี่ว่าจะขึ้นป้ายประกาศบนบอร์ดบริษัทด