ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา...
แทนที่จะฝังเขี้ยวลงบนลำคอของกงหยางเหวิน ร่างของหมาป่าเขี้ยวเหล็กกลับชะงักกึกกลางอากาศอย่างรุนแรง
แผละ!
ก้อนหินที่ดูไม่มีพิษสงอะไรเลย พุ่งเข้ากระทบเป้าหมายอย่างแม่นยำราวจับวาง เบ้าตาข้างขวาของมัน แรงอัดกระแทกส่งผลให้ลูกตาของอสูรร้ายแตกกระจาย ของเหลวสีขุ่นข้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่บาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท
เอ๋งงงงงงงงงงงง!
มันไม่ใช่เสียงคำรามที่น่าเกรงขามอีกต่อไป แต่เป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดแสนสาหัส ร่างมหึมาของมันเสียการควบคุม ร่วงกระแทกลงบนพื้นห่างจากใบหน้าของกงหยางเหวินไปไม่ถึงหนึ่งคืบ พลังทำลายล้างจากการทิ้งตัวของมันทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน มันนอนดิ้นทุรนทุราย พยายามใช้กรงเล็บตะกุยใบหน้าของตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้
ฝูงหมาป่าที่เหลือชะงักงันไปพร้อมกัน พวกมันหยุดการคุกคามทันทีเมื่อเห็นจ่าฝูงของตัวเองต้องนอนร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของเหยื่อที่ดูอ่อนแอที่สุด
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้เองคือโอกาสทองที่สวรรค์ประทานให้
เจิ้งเฟิงเยวี่ยผู้ซึ่งเตรียมจะเข้าปะทะอยู่แล้วถึงกับตื่นตะลึงไปชั่วขณะกับภาพที่เห็น แต่สัญชาตญาณของยอดฝีมือก็ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ปล่อยให้ช่องว่างที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนี้หลุดลอยไป
“ฉัวะ!”
ราวกับสายฟ้าฟาดในคืนเดือนมืด ร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี ตวัดกระบี่ในมือเป็นประกายแสงสีเงินเย็นเยียบ สะบั้นลงบนลำคอของอสูรร้ายที่กำลังนอนดิ้นพล่านอย่างไร้การป้องกัน
คมดาบตัดผ่านชั้นผิวหนังอันเหนียวหนา และกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งเข้าไปได้อย่างหมดจด โลหิตสีดำคล้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เสียงร้องโหยหวนของหมาป่าเขี้ยวเหล็กเงียบหายไปในบัดดล เหลือเพียงร่างที่กระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไปตลอดกาล
ความเงียบกลับเข้ามาเยือนลานโล่งกลางป่าอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้ง กดดันยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก ฝูงหมาป่าที่เหลือยืนมองซากของจ่าฝูงด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะค่อย ๆ ถอยร่นไปทีละก้าว... ทีละก้าว... แล้วหันหลังวิ่งกลับเข้าสู่ความมืดของป่าลึกไปจนหมดสิ้น
ภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว...
กงหยางเหวินยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาไม่หยุดหย่อน เขามองซากอสูรที่อยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงแขนสลับกับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยืนหอบหายใจอยู่กลางวงล้อมแห่งความตาย ผมสีดำขลับของอีกฝ่ายปลิวไสวไปตามสายลม แผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างทระนงแม้จะบาดเจ็บนั้นดูราวกับเทพสงครามจุติลงมาก็ไม่ปาน
เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันกลับมามองเขา สายตาที่จับจ้องมานั้นเย็นชาเช่นเคย แต่ลึกลงไปในแววตานั้น กงหยางเหวินมองเห็นความสับสน ความประหลาดใจ และความสงสัยที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้
“มะ มันตายแล้ว?” หยางเหวินเอ่ยถามด้วยเสียงที่ยังสั่นเครือ เป็นคำถามโง่ ๆ ที่ทั้ง ๆ ก็เห็นคำตอบอยู่ตรงหน้าแล้ว
เจิ้งเฟิงเยวี่ยนิ่งไปนาน เขากวาดสายตามองก้อนหินเปื้อนเลือดที่ตกอยู่ใกล้ ๆ กับซากอสูร แล้วหันกลับมามองท่าทีที่ยังคงดูตื่นกลัวจนตัวสั่นของหยางเหวิน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง
“เมื่อครู่นี้เจ้าทำได้อย่างไร?”
คำถามนั้นทำให้หยางเหวินสะดุ้งเฮือก สมองที่เคยหยุดทำงานไปเริ่มกลับมาประมวลผลอีกครั้ง ทำได้อย่างไร? ข้าทำอะไร? ข้าแค่เตะขามั่ว ๆ ไปเท่านั้นเองไม่ใช่เรอะ!
‘ทำอะไรวะ?!’ เขาโอดครวญในใจ ‘ข้าแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าหินมันจะบินไปเข้าตามันพอดี จะให้ตอบว่าไงดี?! บอกไปว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะเหรอ คนอย่างเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองไม่มีทางเชื่อเรื่องฟลุก ๆ แบบนี้แน่!’
ในสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ แต่ในจังหวะสุดท้ายกลับใช้วิชาลับที่ดูคล้ายการเตะส่งเดช ปล่อยอาวุธลับที่เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา ๆ โจมตีจุดอ่อนของอสูรได้อย่างแม่นยำเพื่อสร้างโอกาสให้เขาได้ปลิดชีพมัน นี่มันคือยอดฝีมือที่ซ่อนตัวตนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ข...ข้า...” หยางเหวินอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ฟะ ฟลุกน่ะ! แค่ฟลุก! ข้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เลยเตะมั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง!”
เขาพยายามหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่สีหน้าของเจิ้งเฟิงเยวี่ยกลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
“ฟลุกหรือ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยแค่นเสียง “การโจมตีที่แม่นยำและเยือกเย็นถึงเพียงนั้น เจ้าบอกว่าเป็นเรื่องฟลุก?”
“ก...ก็ใช่น่ะสิ! ข้าเป็นแค่...”
ยังไม่ทันที่กงหยางเหวินจะได้แก้ตัวจบประโยค ร่างสูงของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยืนอย่างมั่นคงมาตลอดก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ดวงตาคมกริบคู่นั้นหรี่ปรือลง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้! เจ้าเป็นอะไรไป?” หยางเหวินร้องออกมาอย่างตกใจ
เจิ้งเฟิงเยวี่ยใช้กระบี่ค้ำยันร่างของตัวเองไว้ พยายามจะเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ทนพิษบาดแผลและความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป ร่างทั้งร่างของเขาทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น หมดสติไปในที่สุด
กงหยางเหวินอ้าปากค้าง มองภาพพระเอกของเรื่องที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่เบื้องหน้าสลับกับซากหมาป่าอสูรที่น่าสะพรึงกลัว
สถานการณ์เพิ่งจะคลี่คลายไปได้ไม่ถึงห้านาที แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะโยนปัญหาใหม่ที่ใหญ่หลวงกว่าเดิมมาให้เขาเสียแล้ว
ในดงลึกที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาไม่ถึง กงหยางเหวินกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งแห่งโชคชะตา เบื้องหน้าของเขาคือร่างของพระเอกที่นอนสลบไสลไม่ได้สติ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศเป็นเครื่องเตือนใจว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณร้องบอกให้เขาวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้เบื้องหลัง แต่เหตุผลกลับตะโกนสวนขึ้นมาว่าทำแบบนั้นไม่ได้
“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย “ถ้าทิ้งเจ้านี่ไว้ตรงนี้ แล้วมันดันตายขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็ เนื้อเรื่องทั้งหมดได้พังพินาศแน่! แล้วใครจะไปปราบลาสบอสกันเล่า! ถึงตอนนั้นโลกทั้งใบก็ถึงกาลอวสานอยู่ดี ข้าจะหนีไปไหนได้!”
มันคือตลกร้ายที่ขำไม่ออก เขาเป็นตัวประกอบฉากที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดจากพระเอก แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของพระเอกเอาไว้เสียเอง ราวกับหนูติดจั่น ไม่ว่าจะดิ้นรนไปทางไหนก็เจอแต่กับดักที่ตัวเองวางไว้
เขาคุกเข่าลงข้างร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือยาฟื้นฟูที่ได้มาจากระบบ เขาล้วงขวดยาเซรามิกขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา
“เอาล่ะ ต้องทำแผล” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางค่อย ๆ เลิกชายเสื้อสีดำของอีกฝ่ายขึ้นอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่สีข้าง ปากแผลยาวและลึกจนน่ากลัว โลหิตยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นอะไรน่าสยดสยองไปกว่าฉากในหนังเกรดบีอย่างเขาแล้ว ภาพนี้มันช่างกระตุ้นให้กรดในกระเพาะตีตื้นขึ้นมาเสียเหลือเกิน
เขาฝืนความรู้สึกพะอืดพะอม เปิดจุกขวดยาแล้วพยายามจะเทของเหลวสีเขียวลงบนบาดแผล แต่ด้วยความที่มือสั่นเป็นเจ้าเข้า ประกอบกับความมืดสลัว ทำให้ยาฟื้นฟูราคาระบบกว่าครึ่งขวดหกเรี่ยราดลงบนพื้นดินอย่างน่าเสียดาย
“เวรเอ๊ย!” เขาร้องลั่นอย่างเสียดาย ก่อนจะเปลี่ยนแผน “กินเข้าไปเลยน่าจะง่ายกว่า!”
เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด ง้างปากของบุรุษรูปงามที่กำลังหมดสติอยู่ แล้วกรอกยาที่เหลือทั้งหมดเข้าไปในปากอย่างทุลักทุเล โชคดีที่สัญชาตญาณของร่างกายยังทำงาน เจิ้งเฟิงเยวี่ยกลืนของเหลวนั้นลงไปเองโดยอัตโนมัติ
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข