LOGINทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา...
แทนที่จะฝังเขี้ยวลงบนลำคอของกงหยางเหวิน ร่างของหมาป่าเขี้ยวเหล็กกลับชะงักกึกกลางอากาศอย่างรุนแรง
แผละ!
ก้อนหินที่ดูไม่มีพิษสงอะไรเลย พุ่งเข้ากระทบเป้าหมายอย่างแม่นยำราวจับวาง เบ้าตาข้างขวาของมัน แรงอัดกระแทกส่งผลให้ลูกตาของอสูรร้ายแตกกระจาย ของเหลวสีขุ่นข้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่บาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท
เอ๋งงงงงงงงงงงง!
มันไม่ใช่เสียงคำรามที่น่าเกรงขามอีกต่อไป แต่เป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดแสนสาหัส ร่างมหึมาของมันเสียการควบคุม ร่วงกระแทกลงบนพื้นห่างจากใบหน้าของกงหยางเหวินไปไม่ถึงหนึ่งคืบ พลังทำลายล้างจากการทิ้งตัวของมันทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน มันนอนดิ้นทุรนทุราย พยายามใช้กรงเล็บตะกุยใบหน้าของตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้
ฝูงหมาป่าที่เหลือชะงักงันไปพร้อมกัน พวกมันหยุดการคุกคามทันทีเมื่อเห็นจ่าฝูงของตัวเองต้องนอนร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของเหยื่อที่ดูอ่อนแอที่สุด
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้เองคือโอกาสทองที่สวรรค์ประทานให้
เจิ้งเฟิงเยวี่ยผู้ซึ่งเตรียมจะเข้าปะทะอยู่แล้วถึงกับตื่นตะลึงไปชั่วขณะกับภาพที่เห็น แต่สัญชาตญาณของยอดฝีมือก็ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ปล่อยให้ช่องว่างที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนี้หลุดลอยไป
“ฉัวะ!”
ราวกับสายฟ้าฟาดในคืนเดือนมืด ร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี ตวัดกระบี่ในมือเป็นประกายแสงสีเงินเย็นเยียบ สะบั้นลงบนลำคอของอสูรร้ายที่กำลังนอนดิ้นพล่านอย่างไร้การป้องกัน
คมดาบตัดผ่านชั้นผิวหนังอันเหนียวหนา และกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งเข้าไปได้อย่างหมดจด โลหิตสีดำคล้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เสียงร้องโหยหวนของหมาป่าเขี้ยวเหล็กเงียบหายไปในบัดดล เหลือเพียงร่างที่กระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไปตลอดกาล
ความเงียบกลับเข้ามาเยือนลานโล่งกลางป่าอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้ง กดดันยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก ฝูงหมาป่าที่เหลือยืนมองซากของจ่าฝูงด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะค่อย ๆ ถอยร่นไปทีละก้าว... ทีละก้าว... แล้วหันหลังวิ่งกลับเข้าสู่ความมืดของป่าลึกไปจนหมดสิ้น
ภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว...
กงหยางเหวินยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาไม่หยุดหย่อน เขามองซากอสูรที่อยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงแขนสลับกับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยืนหอบหายใจอยู่กลางวงล้อมแห่งความตาย ผมสีดำขลับของอีกฝ่ายปลิวไสวไปตามสายลม แผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างทระนงแม้จะบาดเจ็บนั้นดูราวกับเทพสงครามจุติลงมาก็ไม่ปาน
เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันกลับมามองเขา สายตาที่จับจ้องมานั้นเย็นชาเช่นเคย แต่ลึกลงไปในแววตานั้น กงหยางเหวินมองเห็นความสับสน ความประหลาดใจ และความสงสัยที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้
“มะ มันตายแล้ว?” หยางเหวินเอ่ยถามด้วยเสียงที่ยังสั่นเครือ เป็นคำถามโง่ ๆ ที่ทั้ง ๆ ก็เห็นคำตอบอยู่ตรงหน้าแล้ว
เจิ้งเฟิงเยวี่ยนิ่งไปนาน เขากวาดสายตามองก้อนหินเปื้อนเลือดที่ตกอยู่ใกล้ ๆ กับซากอสูร แล้วหันกลับมามองท่าทีที่ยังคงดูตื่นกลัวจนตัวสั่นของหยางเหวิน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง
“เมื่อครู่นี้เจ้าทำได้อย่างไร?”
คำถามนั้นทำให้หยางเหวินสะดุ้งเฮือก สมองที่เคยหยุดทำงานไปเริ่มกลับมาประมวลผลอีกครั้ง ทำได้อย่างไร? ข้าทำอะไร? ข้าแค่เตะขามั่ว ๆ ไปเท่านั้นเองไม่ใช่เรอะ!
‘ทำอะไรวะ?!’ เขาโอดครวญในใจ ‘ข้าแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าหินมันจะบินไปเข้าตามันพอดี จะให้ตอบว่าไงดี?! บอกไปว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะเหรอ คนอย่างเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองไม่มีทางเชื่อเรื่องฟลุก ๆ แบบนี้แน่!’
ในสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ แต่ในจังหวะสุดท้ายกลับใช้วิชาลับที่ดูคล้ายการเตะส่งเดช ปล่อยอาวุธลับที่เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา ๆ โจมตีจุดอ่อนของอสูรได้อย่างแม่นยำเพื่อสร้างโอกาสให้เขาได้ปลิดชีพมัน นี่มันคือยอดฝีมือที่ซ่อนตัวตนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ข...ข้า...” หยางเหวินอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ฟะ ฟลุกน่ะ! แค่ฟลุก! ข้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เลยเตะมั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง!”
เขาพยายามหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่สีหน้าของเจิ้งเฟิงเยวี่ยกลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
“ฟลุกหรือ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยแค่นเสียง “การโจมตีที่แม่นยำและเยือกเย็นถึงเพียงนั้น เจ้าบอกว่าเป็นเรื่องฟลุก?”
“ก...ก็ใช่น่ะสิ! ข้าเป็นแค่...”
ยังไม่ทันที่กงหยางเหวินจะได้แก้ตัวจบประโยค ร่างสูงของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยืนอย่างมั่นคงมาตลอดก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ดวงตาคมกริบคู่นั้นหรี่ปรือลง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้! เจ้าเป็นอะไรไป?” หยางเหวินร้องออกมาอย่างตกใจ
เจิ้งเฟิงเยวี่ยใช้กระบี่ค้ำยันร่างของตัวเองไว้ พยายามจะเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ทนพิษบาดแผลและความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป ร่างทั้งร่างของเขาทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น หมดสติไปในที่สุด
กงหยางเหวินอ้าปากค้าง มองภาพพระเอกของเรื่องที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่เบื้องหน้าสลับกับซากหมาป่าอสูรที่น่าสะพรึงกลัว
สถานการณ์เพิ่งจะคลี่คลายไปได้ไม่ถึงห้านาที แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะโยนปัญหาใหม่ที่ใหญ่หลวงกว่าเดิมมาให้เขาเสียแล้ว
ในดงลึกที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาไม่ถึง กงหยางเหวินกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งแห่งโชคชะตา เบื้องหน้าของเขาคือร่างของพระเอกที่นอนสลบไสลไม่ได้สติ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศเป็นเครื่องเตือนใจว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณร้องบอกให้เขาวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้เบื้องหลัง แต่เหตุผลกลับตะโกนสวนขึ้นมาว่าทำแบบนั้นไม่ได้
“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย “ถ้าทิ้งเจ้านี่ไว้ตรงนี้ แล้วมันดันตายขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็ เนื้อเรื่องทั้งหมดได้พังพินาศแน่! แล้วใครจะไปปราบลาสบอสกันเล่า! ถึงตอนนั้นโลกทั้งใบก็ถึงกาลอวสานอยู่ดี ข้าจะหนีไปไหนได้!”
มันคือตลกร้ายที่ขำไม่ออก เขาเป็นตัวประกอบฉากที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดจากพระเอก แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของพระเอกเอาไว้เสียเอง ราวกับหนูติดจั่น ไม่ว่าจะดิ้นรนไปทางไหนก็เจอแต่กับดักที่ตัวเองวางไว้
เขาคุกเข่าลงข้างร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือยาฟื้นฟูที่ได้มาจากระบบ เขาล้วงขวดยาเซรามิกขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา
“เอาล่ะ ต้องทำแผล” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางค่อย ๆ เลิกชายเสื้อสีดำของอีกฝ่ายขึ้นอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่สีข้าง ปากแผลยาวและลึกจนน่ากลัว โลหิตยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นอะไรน่าสยดสยองไปกว่าฉากในหนังเกรดบีอย่างเขาแล้ว ภาพนี้มันช่างกระตุ้นให้กรดในกระเพาะตีตื้นขึ้นมาเสียเหลือเกิน
เขาฝืนความรู้สึกพะอืดพะอม เปิดจุกขวดยาแล้วพยายามจะเทของเหลวสีเขียวลงบนบาดแผล แต่ด้วยความที่มือสั่นเป็นเจ้าเข้า ประกอบกับความมืดสลัว ทำให้ยาฟื้นฟูราคาระบบกว่าครึ่งขวดหกเรี่ยราดลงบนพื้นดินอย่างน่าเสียดาย
“เวรเอ๊ย!” เขาร้องลั่นอย่างเสียดาย ก่อนจะเปลี่ยนแผน “กินเข้าไปเลยน่าจะง่ายกว่า!”
เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด ง้างปากของบุรุษรูปงามที่กำลังหมดสติอยู่ แล้วกรอกยาที่เหลือทั้งหมดเข้าไปในปากอย่างทุลักทุเล โชคดีที่สัญชาตญาณของร่างกายยังทำงาน เจิ้งเฟิงเยวี่ยกลืนของเหลวนั้นลงไปเองโดยอัตโนมัติ
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก







