ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาดุจสปอตไลท์บนเวทีละครโรงใหญ่ กงหยางเหวินยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้น อ้าปากค้าง สมองที่เคยภาคภูมิใจนักหนาว่าเฉียบแหลมเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ขึ้นสนิม มันหยุดทำงานไปดื้อ ๆ คำถามสั้น ๆ ที่หลุดจากปากของเจิ้งเฟิงเยวี่ยนั้นหนักอึ้งราวกับค้อนพันชั่งที่ทุบลงมากลางกระหม่อมของเขาจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
หนี! สัญชาตญาณร้องก้องอยู่ในหัว แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เขากำลังเผชิญหน้ากับพระเอกตัวเป็น ๆ ตัวละครที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาให้แข็งแกร่ง เยือกเย็น และไร้เทียมทาน แต่รัศมีกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวจริงนั้นมันน่าหวาดหวั่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้เป็นร้อยเท่า
“ข...ข้า...” เขาพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอที่แห้งผาก “ข้าเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงทางเข้ามาน่ะ พอดีได้ยินเสียงต่อสู้ก็เลย...”
คำโกหกกระท่อนกระแท่นหลุดออกจากปากไปอย่างไม่น่าให้อภัยที่สุดในสามโลก เขาหลบสายตาคมกริบคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปถึงจิตวิญญาณ เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาฉายแววเคลือบแคลงสงสัยอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนเขาจะบาดเจ็บหนักเกินกว่าจะมาเสียเวลาซักฟอกความจริงกับเด็กหนุ่มท่าทางไม่เอาไหนคนนี้
บรรยากาศที่ตึงเครียดราวกับเส้นเชือกที่กำลังจะขาดดำเนินไปได้เพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
ราวกับมีใครบางคนกดปุ่มปิดเสียงของโลกใบนี้ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องระงมพลันเงียบกริบ เสียงลมที่เคยพัดหวีดหวิวหยุดนิ่งไปดื้อ ๆ ความเงียบงันอันน่าขนลุกเข้าปกคลุมทั่วทั้งที่โล่งกลางป่า กลิ่นสาบของเลือดและกลิ่นดินชื้นหลังฝนดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างประหลาด
กงหยางเหวินรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว สัญชาตญาณบางอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตกำลังกรีดร้องเตือนภัยอย่างบ้าคลั่ง
เจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน เขาฝืนความเจ็บปวดที่บาดแผล ยันตัวตรง เอื้อมมือไปคว้ากระบี่ที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ดวงตาที่เคยจับจ้องหยางเหวิน บัดนี้กวาดมองเข้าไปในเงามืดของแนวป่ารอบตัวอย่างระแวดระวัง
“มีบางอย่างกำลังมา...” เขาพึมพำเสียงเบา แต่ในความเงียบสงัดเช่นนี้ มันกลับดังชัดเจนราวกับเสียงกระซิบของพญามัจจุราช
ครืด...
เสียงบางอย่างลากไปกับพื้นดินดังมาจากในเงามืด ตามมาด้วยเสียงคำรามต่ำในลำคอที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเสียงของหมาป่าตัวที่นอนตายอยู่หลายเท่า มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันเลือดเย็น และแรงกระหายอย่างบ้าคลั่ง
วินาทีต่อมา ดวงไฟสีแดงฉานคู่หนึ่งก็สว่างวาบขึ้นในความมืด ตามมาด้วยคู่ที่สอง คู่ที่สาม และอีกนับสิบ!
ดวงตาสีแดงฉานราวกับถ่านไฟนรกเหล่านั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเงามืด เผยให้เห็นร่างของฝูงหมาป่าสีเทาขนาดใหญ่ที่กำลังแยกเขี้ยวขาววับ น้ำลายเหนียวหนืดยืดไหลจากมุมปาก แต่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือตัวที่ยืนอยู่หน้าสุด
มันมีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปเกือบสองเท่า ขนทั้งตัวเป็นสีดำสนิทราวกับรัตติกาล กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกายของมันปูดโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัว และที่โดดเด่นที่สุดคือเขี้ยวคู่หน้าที่ยาวโง้งออกมาจากปาก มันสะท้อนแสงจันทร์จนเป็นประกายวาววับราวกับทำจากเหล็กกล้า...
หมาป่าเขี้ยวเหล็ก!
สมองของกงหยางเหวินกรีดร้องออกมาเป็นชื่อนั้น เขารู้จักมันดี รู้จักดียิ่งกว่าใครทั้งหมด เพราะมันคือมอนสเตอร์ที่เขาออกแบบขึ้นมาด้วยตัวเอง มันคือเพชฌฆาตที่จะปรากฏตัวในบทที่ 3 และมอบความตายอันน่าสยดสยองให้กับตัวประกอบที่ชื่อกงหยางเหวิน!
ธงมรณะของเขา! ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายมันก็ยังตามมาหาเขาจนเจอ!
ภาพฉากจบของตัวเองที่เขาเคยเขียนไว้ฉายซ้ำขึ้นมาในหัวเป็นภาพสโลว์โมชั่น ร่างกายถูกฉีกกระชาก เลือดสาดกระเซ็น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่หมดไปพร้อมกับความเจ็บปวดทรมาน
ฟางเส้นสุดท้ายที่ตรึงสติของเขาไว้ขาดผึงลงในที่สุด
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ไม่อาจระบุเพศได้ดังลั่นป่า มันเป็นเสียงกรีดร้องที่ออกมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดชนิดที่น่าจะทำให้แก้วหูของค้างคาวแถวนั้นแตกได้สบาย ๆ มันทำลายบรรยากาศน่าเกรงขามทั้งหมดลงจนหมดสิ้น
เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังตั้งสมาธิถึงกับสะดุ้ง หันมามองต้นเสียงด้วยแววตาเหลือเชื่อ ไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มท่าทางน่าสงสัยคนนี้จะปอดแหกได้ถึงเพียงนี้
สัญชาตญาณดิบสั่งให้กงหยางเหวินหันหลังกลับและวิ่งหนีทันที เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าพระเอกจะมองเขายังไง ไม่สนใจแล้วว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ขอแค่หนีให้พ้นจากตรงนี้ก็พอ
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเกลียดเขาเข้าไส้ ในจังหวะที่เขากำลังจะออกตัววิ่งนั้นเอง เท้าของเขาก็ไปเกี่ยวกับรากไม้เจ้ากรรมที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้นอีกครั้ง
โครม!
ร่างของเขาล้มเจ้าคะมำหน้าทิ่มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ มันเป็นการล้มที่น่าอนาถ และไร้ศักดิ์ศรีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ เขานอนแผ่หลาอยู่บนพื้นดินเย็นเฉียบ สมองตื้อไปหมด ความเจ็บที่หัวเข่าเทียบไม่ได้เลยกับความเย็นเยียบที่แล่นจับขั้วหัวใจ
“หาที่ซ่อนซะ! อย่ามาเกะกะ!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตะคอกเสียงกร้าว เขาขยับมายืนบังร่างของหยางเหวินเอาไว้ กลิ่นคาวเลือดจากบาดแผลของเขาดูเหมือนจะยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณของฝูงอสูรให้บ้าคลั่งยิ่งขึ้น
“ขะ ขาข้า” หยางเหวินพยายามจะลุก แต่ร่างกายกลับสั่นเทาจนไม่มีแรง “ข...ขาข้าไม่มีแรงแล้ว” น้ำตาแห่งความกลัวไหลออกมาจากหางตาอย่างไม่อาจควบคุม
โฮกกกกก!
หมาป่าเขี้ยวเหล็กตัวจ่าฝูงคำรามก้อง มันไม่สนใจนักดาบหนุ่มที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่กลับจับจ้องไปยังเหยื่อที่นอนไร้ทางสู้อยู่บนพื้นด้วยแววตากระหายเลือด
มันสปริงตัวทะยานไปข้างหน้า กรงเล็บแหลมคมกางออก ร่างสีดำทมิฬของมันบดบังแสงจันทร์จนเกิดเป็นเงาทะมึนแห่งความตายที่ทาบทับลงบนร่างของกงหยางเหวิน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนหยางเหวินทำได้เพียงเบิกตากว้าง มองดูความตายที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง นี่คือจุดจบของเขาจริง ๆ หรือ?
กาลเวลาดูเหมือนจะยืดขยายออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด ในม่านสายตาของกงหยางเหวิน ภาพของหมาป่าเขี้ยวเหล็กที่กำลังทะยานเข้ามานั้นคมชัดทุกรายละเอียด เขามองเห็นหยาดน้ำลายที่สาดกระเซ็นจากคมเขี้ยวอันน่าสยดสยอง แววตาสีเลือดที่ลุกโชนไปด้วยจิตสังหารอันดิบเถื่อน และกรงเล็บที่กางออกพร้อมจะฉีกกระชากเนื้อหนังของเขาให้เป็นริ้ว ๆ ความตายอยู่ห่างจากเขาแค่เพียงปลายจมูกสัมผัส
ทว่าในเสี้ยววินาทีของความเป็นความตายนั้นเอง ร่างกายของเขาก็ขยับไปเองตามสัญชาตญาณดิบแห่งการเอาชีวิตรอด มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่สง่างาม ไม่ใช่กระบวนท่าต่อสู้ที่ล้ำเลิศ แต่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายที่น่าสมเพชที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้
ขาของเขาสะบัดเตะออกไปกลางอากาศอย่างสะเปะสะปะ เป็นเพียงปฏิกิริยาของคนที่พยายามจะถอยหนีจากสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้ได้แม้เพียงหนึ่งมิลลิเมตรก็ยังดี ปลายเท้าที่สวมรองเท้าหนังแห่งความว่องไวของเขากระทบเข้ากับบางสิ่งที่แข็งกระด้างบนพื้นดิน...
มันคือก้อนหินขนาดเหมาะมือที่วางอยู่ในตำแหน่งที่พอดิบพอดีราวกับมีใครบางคนจงใจจัดฉากเอาไว้
ฟิ้ว!
ก้อนหินก้อนนั้นถูกลูกเตะสิ้นหวังของกงหยางเหวินดีดส่งให้พุ่งแหวกอากาศไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ขนาดจิ๋ว มันหมุนคว้างเป็นเกลียวด้วยวิถีโคจรที่นักฟิสิกส์ที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจคำนวณได้ ตรงไปยังร่างของอสูรร้ายที่กำลังอ้าปากกว้างเตรียมขย้ำเหยื่อ
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข