Share

<5> หมาป่าอสูรโผล่มา

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-07 18:00:06

ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาดุจสปอตไลท์บนเวทีละครโรงใหญ่ กงหยางเหวินยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้น อ้าปากค้าง สมองที่เคยภาคภูมิใจนักหนาว่าเฉียบแหลมเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ขึ้นสนิม มันหยุดทำงานไปดื้อ ๆ คำถามสั้น ๆ ที่หลุดจากปากของเจิ้งเฟิงเยวี่ยนั้นหนักอึ้งราวกับค้อนพันชั่งที่ทุบลงมากลางกระหม่อมของเขาจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง

หนี! สัญชาตญาณร้องก้องอยู่ในหัว แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เขากำลังเผชิญหน้ากับพระเอกตัวเป็น ๆ ตัวละครที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาให้แข็งแกร่ง เยือกเย็น และไร้เทียมทาน แต่รัศมีกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวจริงนั้นมันน่าหวาดหวั่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้เป็นร้อยเท่า

“ข...ข้า...” เขาพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอที่แห้งผาก “ข้าเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงทางเข้ามาน่ะ พอดีได้ยินเสียงต่อสู้ก็เลย...”

คำโกหกกระท่อนกระแท่นหลุดออกจากปากไปอย่างไม่น่าให้อภัยที่สุดในสามโลก เขาหลบสายตาคมกริบคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปถึงจิตวิญญาณ เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาฉายแววเคลือบแคลงสงสัยอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนเขาจะบาดเจ็บหนักเกินกว่าจะมาเสียเวลาซักฟอกความจริงกับเด็กหนุ่มท่าทางไม่เอาไหนคนนี้

บรรยากาศที่ตึงเครียดราวกับเส้นเชือกที่กำลังจะขาดดำเนินไปได้เพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

ราวกับมีใครบางคนกดปุ่มปิดเสียงของโลกใบนี้ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องระงมพลันเงียบกริบ เสียงลมที่เคยพัดหวีดหวิวหยุดนิ่งไปดื้อ ๆ ความเงียบงันอันน่าขนลุกเข้าปกคลุมทั่วทั้งที่โล่งกลางป่า กลิ่นสาบของเลือดและกลิ่นดินชื้นหลังฝนดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างประหลาด

กงหยางเหวินรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว สัญชาตญาณบางอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตกำลังกรีดร้องเตือนภัยอย่างบ้าคลั่ง

เจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน เขาฝืนความเจ็บปวดที่บาดแผล ยันตัวตรง เอื้อมมือไปคว้ากระบี่ที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ดวงตาที่เคยจับจ้องหยางเหวิน บัดนี้กวาดมองเข้าไปในเงามืดของแนวป่ารอบตัวอย่างระแวดระวัง

“มีบางอย่างกำลังมา...” เขาพึมพำเสียงเบา แต่ในความเงียบสงัดเช่นนี้ มันกลับดังชัดเจนราวกับเสียงกระซิบของพญามัจจุราช

ครืด...

เสียงบางอย่างลากไปกับพื้นดินดังมาจากในเงามืด ตามมาด้วยเสียงคำรามต่ำในลำคอที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเสียงของหมาป่าตัวที่นอนตายอยู่หลายเท่า มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันเลือดเย็น และแรงกระหายอย่างบ้าคลั่ง

วินาทีต่อมา ดวงไฟสีแดงฉานคู่หนึ่งก็สว่างวาบขึ้นในความมืด ตามมาด้วยคู่ที่สอง คู่ที่สาม และอีกนับสิบ!

ดวงตาสีแดงฉานราวกับถ่านไฟนรกเหล่านั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเงามืด เผยให้เห็นร่างของฝูงหมาป่าสีเทาขนาดใหญ่ที่กำลังแยกเขี้ยวขาววับ น้ำลายเหนียวหนืดยืดไหลจากมุมปาก แต่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือตัวที่ยืนอยู่หน้าสุด

มันมีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปเกือบสองเท่า ขนทั้งตัวเป็นสีดำสนิทราวกับรัตติกาล กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกายของมันปูดโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัว และที่โดดเด่นที่สุดคือเขี้ยวคู่หน้าที่ยาวโง้งออกมาจากปาก มันสะท้อนแสงจันทร์จนเป็นประกายวาววับราวกับทำจากเหล็กกล้า...

หมาป่าเขี้ยวเหล็ก!

สมองของกงหยางเหวินกรีดร้องออกมาเป็นชื่อนั้น เขารู้จักมันดี รู้จักดียิ่งกว่าใครทั้งหมด เพราะมันคือมอนสเตอร์ที่เขาออกแบบขึ้นมาด้วยตัวเอง มันคือเพชฌฆาตที่จะปรากฏตัวในบทที่ 3 และมอบความตายอันน่าสยดสยองให้กับตัวประกอบที่ชื่อกงหยางเหวิน!

ธงมรณะของเขา! ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายมันก็ยังตามมาหาเขาจนเจอ!

ภาพฉากจบของตัวเองที่เขาเคยเขียนไว้ฉายซ้ำขึ้นมาในหัวเป็นภาพสโลว์โมชั่น ร่างกายถูกฉีกกระชาก เลือดสาดกระเซ็น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่หมดไปพร้อมกับความเจ็บปวดทรมาน

ฟางเส้นสุดท้ายที่ตรึงสติของเขาไว้ขาดผึงลงในที่สุด

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”

เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ไม่อาจระบุเพศได้ดังลั่นป่า มันเป็นเสียงกรีดร้องที่ออกมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดชนิดที่น่าจะทำให้แก้วหูของค้างคาวแถวนั้นแตกได้สบาย ๆ มันทำลายบรรยากาศน่าเกรงขามทั้งหมดลงจนหมดสิ้น

เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังตั้งสมาธิถึงกับสะดุ้ง หันมามองต้นเสียงด้วยแววตาเหลือเชื่อ ไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มท่าทางน่าสงสัยคนนี้จะปอดแหกได้ถึงเพียงนี้

สัญชาตญาณดิบสั่งให้กงหยางเหวินหันหลังกลับและวิ่งหนีทันที เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าพระเอกจะมองเขายังไง ไม่สนใจแล้วว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ขอแค่หนีให้พ้นจากตรงนี้ก็พอ

แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเกลียดเขาเข้าไส้ ในจังหวะที่เขากำลังจะออกตัววิ่งนั้นเอง เท้าของเขาก็ไปเกี่ยวกับรากไม้เจ้ากรรมที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้นอีกครั้ง

โครม!

ร่างของเขาล้มเจ้าคะมำหน้าทิ่มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ มันเป็นการล้มที่น่าอนาถ และไร้ศักดิ์ศรีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ เขานอนแผ่หลาอยู่บนพื้นดินเย็นเฉียบ สมองตื้อไปหมด ความเจ็บที่หัวเข่าเทียบไม่ได้เลยกับความเย็นเยียบที่แล่นจับขั้วหัวใจ

“หาที่ซ่อนซะ! อย่ามาเกะกะ!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตะคอกเสียงกร้าว เขาขยับมายืนบังร่างของหยางเหวินเอาไว้ กลิ่นคาวเลือดจากบาดแผลของเขาดูเหมือนจะยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณของฝูงอสูรให้บ้าคลั่งยิ่งขึ้น

“ขะ ขาข้า” หยางเหวินพยายามจะลุก แต่ร่างกายกลับสั่นเทาจนไม่มีแรง “ข...ขาข้าไม่มีแรงแล้ว” น้ำตาแห่งความกลัวไหลออกมาจากหางตาอย่างไม่อาจควบคุม

โฮกกกกก!

หมาป่าเขี้ยวเหล็กตัวจ่าฝูงคำรามก้อง มันไม่สนใจนักดาบหนุ่มที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่กลับจับจ้องไปยังเหยื่อที่นอนไร้ทางสู้อยู่บนพื้นด้วยแววตากระหายเลือด

มันสปริงตัวทะยานไปข้างหน้า กรงเล็บแหลมคมกางออก ร่างสีดำทมิฬของมันบดบังแสงจันทร์จนเกิดเป็นเงาทะมึนแห่งความตายที่ทาบทับลงบนร่างของกงหยางเหวิน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนหยางเหวินทำได้เพียงเบิกตากว้าง มองดูความตายที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง นี่คือจุดจบของเขาจริง ๆ หรือ?

กาลเวลาดูเหมือนจะยืดขยายออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด ในม่านสายตาของกงหยางเหวิน ภาพของหมาป่าเขี้ยวเหล็กที่กำลังทะยานเข้ามานั้นคมชัดทุกรายละเอียด เขามองเห็นหยาดน้ำลายที่สาดกระเซ็นจากคมเขี้ยวอันน่าสยดสยอง แววตาสีเลือดที่ลุกโชนไปด้วยจิตสังหารอันดิบเถื่อน และกรงเล็บที่กางออกพร้อมจะฉีกกระชากเนื้อหนังของเขาให้เป็นริ้ว ๆ ความตายอยู่ห่างจากเขาแค่เพียงปลายจมูกสัมผัส

ทว่าในเสี้ยววินาทีของความเป็นความตายนั้นเอง ร่างกายของเขาก็ขยับไปเองตามสัญชาตญาณดิบแห่งการเอาชีวิตรอด มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่สง่างาม ไม่ใช่กระบวนท่าต่อสู้ที่ล้ำเลิศ แต่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายที่น่าสมเพชที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้

ขาของเขาสะบัดเตะออกไปกลางอากาศอย่างสะเปะสะปะ เป็นเพียงปฏิกิริยาของคนที่พยายามจะถอยหนีจากสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้ได้แม้เพียงหนึ่งมิลลิเมตรก็ยังดี ปลายเท้าที่สวมรองเท้าหนังแห่งความว่องไวของเขากระทบเข้ากับบางสิ่งที่แข็งกระด้างบนพื้นดิน...

มันคือก้อนหินขนาดเหมาะมือที่วางอยู่ในตำแหน่งที่พอดิบพอดีราวกับมีใครบางคนจงใจจัดฉากเอาไว้

ฟิ้ว!

ก้อนหินก้อนนั้นถูกลูกเตะสิ้นหวังของกงหยางเหวินดีดส่งให้พุ่งแหวกอากาศไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ขนาดจิ๋ว มันหมุนคว้างเป็นเกลียวด้วยวิถีโคจรที่นักฟิสิกส์ที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจคำนวณได้ ตรงไปยังร่างของอสูรร้ายที่กำลังอ้าปากกว้างเตรียมขย้ำเหยื่อ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <35> แผนการสอบตก

    “ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <34> การทดสอบของเจิ้งเฟิงเยวี่ย

    กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <33> เมืองหลวงซีหยาง

    เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <32> ทางลัด

    เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <31> การเดินทาง

    ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <30> แพ้เกสรดอกไม้

    หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status