บทที่ 15 สิ่งที่ไม่คาดคิด
นอกจากการเลี้ยงฉลองที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ในวันนี้ และได้มีการให้เด็กๆ กลับไปตามผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับอาหารจากที่นี่มาหลายวันแล้ว ได้มีโอกาสกลับมากินอาหารฝีมือของเย่หัวอีกครั้ง ส่วนสองสามีภรรยาก็อยู่คอยช่วยเหลือนางตลอดวัน จนสุดท้ายวันนี้ก็จบลงด้วยการที่เด็กหญิงและคนอื่นๆ ไม่มีเวลาแวะมาดูแปลงผักเลย
เนื่องจากเด็กๆ ที่แบ่งกลุ่มกันมาในแต่ละวันได้รับสิทธิพิเศษให้ทุกคนสามารถมากินด้วยกันทั้งหมด ส่วนผู้ใหญ่ก็มีแค่ไม่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นจำนวนคนเกือบร้อยชีวิตที่เด็กหญิงและผู้ช่วยไม่กี่คนต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน
และแม้ว่าคนอื่นๆ จะขันอาสาช่วยแต่นางก็ยืนกรานว่าจะทำด้วยตัวเอง
ที่สำคัญที่สุดนางยังทำอาหารเป็นชุดๆ มอบให้ไปยังคนแก่คนเฒ่าที่ไม่สามารถมาได้อีกหลายครัวเรือน ทำให้กว่ากว่าจะจบภารกิจในวันนี้เย่หัวแทบจะเหนื่อยตายเลยก็ว่าได้
แต่มันก็เป็นวันที่นางทั้งรู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมมากเช่นเดียวกัน
“ความรู้สึกแบบนี้สินะที่มึงเคยบอกกู...” ในตอนที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มที ในขนะที่หลังกำลังนอนพิงเจ้าสังอยู่ นางก็เปรยออกมาเบาๆ “ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ว่าถ้าหากสิ่งที่เราทำมันมีความหมายกับใครสักคนจริงๆ มันจะยิ่งทำให้สิ่งที่เราทำมันมีค่ากับตัวเรามากแค่ไหน ถึงกูจะยังไม่เข้าใจหลายๆ อย่างที่มึงพูดก็เถอะ แต่กูก็ดีใจนะที่มึงได้พากูมาที่โลกใบนี้”
“ขอบใจจริงๆ เพื่อน”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดลอยออกมาจากริมฝีปากบาง ก่อนที่สติของนางจะเลือนหายไปกับสายลม ไปยังดินแดนแห่งความฝันที่ยาวนานตลอดคืน
ส่วนผู้คนในหมู่บ้านเองก็เป็นอีกวันที่พวกเขามีความสุขมากเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาได้เล่นอย่างสนุกสนานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ทั้งเด็กๆ ยังนำอาหารบางส่วนที่เพียงพอให้พวกเขาได้ดื่มกิน ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขนาดอิ่มท้อง แต่ก็ยังดีกว่าการกัดกินเปลือกไม้รากไม้อย่างที่ผ่านมาไกลลิบ
โดยเฉพาะหมูก้อนทอดที่เหมือนจะเป็นอาหารง่ายๆ ที่มีส่วนผสมเพียงแค่มันฝรั่ง มันหวาน แล้วก็เนื้อหมูสับ แต่มันก็เป็นมื้ออาหารสุดวิเศษสำหรับพวกเขามากแล้ว
และที่สำคัญในอีกไม่กี่ปีต่อมา เจ้าหมูก้อนทอดนี้เอง ที่จะกลายมาเป็นอาหารสัญลักษณ์แห่งดินแดนแห่งนี้ไปโดยปริยาย...
“...” ในขณะที่ผู้คนมีความสุขก็ย่อมมีคนที่มีความทุกข์ความไม่พอใจอยู่เช่นเดียวกัน
หลังจากที่ผู้คนเข้านอนกันหมดแล้วจางเว่ยก็เดินออกมาจากบ้านเงียบๆ เข้าป่าออกไปไกลจากหมู่บ้านในระดับหนึ่ง แล้วระเบิดโทสะออกมาทำลายพื้นที่โดยรอบจนราบเป็นหน้ากลอง “ไอ้เด็กเวรนั่นยิ่งนับวันก็ยิ่งเป็นตัวปัญหา!”
ปั้ง!
เขาต่อยลงไปบนพื้นดินแรงๆ อีกครั้งเพื่อเป็นการระบายสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้
“ต้องให้ข้ารอจนถึงเมื่อไหร่กัน ทำไมไม่ให้ข้าฆ่ามันเสีย” ราวกับว่ากำลังพูดคุยอยู่กับใครสักคน แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
“...”
“ต้องรอวันที่ดวงจันทร์ทั้งสามดวงขึ้นพร้อมกัน...นั่นมันอีกสามเดือนเลยนะ”
“...”
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ที่ข้าจะได้ปกครองที่นี่!” เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจสุดขีด เขาอดทนมานานกว่าสิบปี แต่ในตอนที่ทุกอย่างควรจะสำเร็จกลับกลายมาเป็นว่าทุกอย่างกลับพังทลายลงด้วยฝีมือของเด็กผู้หญิงคนนั้น
ค่อก...
แต่ราวกับว่าความไม่พอใจของเขาก็ไปกระตุ้นโทสะของบางสิ่งบางอย่างที่เขากำลังสนทนาด้วยอยู่ อยู่ดีๆ เขาก็เข่าซุดลงสำลักเลือดออกมากองโต
“แค่กๆ...ข้าขออภัยท่านด้วย ข้าจะทำตามที่ท่านบอก”
“...”
.
.
.
ไกลออกไปจากที่ที่จางเว่ยกำลังระบายอารมณ์อยู่นั้น เจ้าสังที่มีเย่หัวนอนทับอยู่ก็หันมองไปยังทิศทางที่จางเว่ยอยู่ราวกับว่ามันมองเห็นทุกสิ่ง แต่มันก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไรนัก ก่อนที่จะละสายตาแล้วมามองความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจยิ่งกว่า...
แปลงมัน
ใช่แล้วสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจมากที่สุดแต่เป็นที่ที่ตัวมันให้ความสนใจมากที่สุด เนื่องจากแม้ในตอนนี้มันก็ยังสามารถสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายสวรรค์ที่เกิดขึ้นกับกอมันที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าพืชชนิดไหนๆ ที่มันเคยเห็น และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เจ้าพืชหัวแปลกๆ นั่นกำลังทำในสิ่งที่แม้แต่มันยังทำไม่ได้ นั่นก็คือการคืนชีวิตให้กับผืนดินที่เกือบจะตายไปแล้ว!
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง