“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”
“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่
“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี้กันดูสักตั้ง”
“...”
“...”
“...”
“ปลูกหรือขอรับ มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันกว่าจะสามารถเก็บกินได้ มิสู้เอามาต้มกินไม่ดีกว่าหรือขอรับ” จางซิวที่อายุมากกว่าใครและเคยไปเที่ยวเล่นที่ไร่ของบิดามารดาในตอนเด็ก เขายังจำได้ว่ากว่าจะปลูกข้าวฟ่างข้าวสาลีจนสามารถเก็บเกี่ยวได้มันยาวนานคาบเกี่ยวกันสองฤดูเลยทีเดียว
“ในตอนแรกข้าเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทำได้ไหม เพราะข้าเพิ่งจะคิดมันได้เมื่อวานตอนเย็น และได้เตรียมพวกนี้ไปในตอนนั้น...”
“...”
“...”
“...?”
“...!!”
เด็กๆ คนอื่นๆ มองคุณหนูกับพวกพี่ๆ ที่โตกว่าด้วยความฉงนสงสัย และไม่เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกัน
สำหรับคนที่มีอายุมากกว่าสิบขวบที่ได้ฟังอาจจะพอเข้าใจได้ลางๆว่าคุณหนูพยายามช่วยเหลือพวกตนอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวมากนัก
แต่สำหรับเจ้าอ้วนจางต้าพัง จางซิว และจางหลัวต่างก็เบิกตากว้างขึ้นเมื่อมองไปยังกองมันมีเริ่มแตกหน่ออ่อนกลายๆ...
‘โตเร็วมาก!!’
ทั้งสามต่างก็ตกตะลึงไปกับความเร็วในการเติบโตของมันทั้งสองสีก็คือมันหวนกับมันฝรั่ง
“ถ้าหากทุกอย่างไม่เลวร้ายจนเกินไป และสามารถเป็นไปตามที่ข้าได้คิดเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดข้าก็คิดว่าสิ่งนี้ก็คงมากพอที่จะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านสามารถมีกินอิ่มท้องได้ไปจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย”
“ขอบคุณมากขอรับ!” จางซิวที่คิดได้และเข้าใจความตั้งใจของเด็กน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายปี ก็อดไม่ได้ที่จะทิ้งตัวคุกเข่าลงเอาหัวโขกพื้นเสียงดัง
“ขอบคุณมากขอรับ!!”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ!!”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่นักแต่คนอื่นๆ ก็ทำตามพี่ใหญ่ของกลุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกทุกคนรีบลุกขึ้นเร็วเข้า” เย่หัวที่เห็นภาพแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ “ถ้าไม่รีบลุกขึ้นข้าจะไม่ทำแล้วนะ!”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
“ตอนนี้พวกพี่ๆ รีบยกมันไปที่แปลงที่พวกผู้ใหญ่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเถอะ เดี๋ยวเราจะมาแบ่งงานกันอีกที” เย่หัวเป็นคนเดินนำไปยังแปลงสองแปลงขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ซึ่งน่าจะพอดีกับมันทั้งสองที่มีอยู่
ซึ่งในระหว่างที่แจกจ่ายแบ่งงานให้ทุกคนได้ทำกัน โดยมีพี่ๆ ที่อายุเยอะเป็นคนยกหัวมันทั้งสองไปกองไว้ตามจุดต่างๆ ของแปลงโดยแยกไปเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งปลูกมันหวานฝั่งหนึ่งปลูกมันฝั่ง
แต่ด้วยวิธีการปลูกมันทั้งสองชนิดเองเย่หัวไม่เคยทำมันมาก่อน เพียงแค่เห็นผ่านๆ ตาจากการดูวีดีโอในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ก็อาศัยการครูพักลักจำเอาจากวิชาการเกษตรที่เรียนมาสมัยเด็กรวมๆ เข้าด้วยกัน
กลายมาเป็นร่องมันที่ถูกยกสูงขึ้นเป็นแถวๆ แล้วขุดร่องตรงกลางของร่องที่ถูกยกขึ้นอีกที แล้วฝังหัวมันที่มีตากับรากงอกออกมาลงไปในร่องตรงกลางนั้น โดยที่ระยะห่างแต่ละหัวนั้นประมาณสิบชุนหรือหนึ่งฉื่อ เมื่อแต่ละแปลงยาวประมาณสองจั้งก็เท่ากับว่าแต่ละแปลงจะมีมันทั้งหมดยี่สิบหัว ซึ่งทางฝั่งมันฝรั่งนั้นมีทั้งหมดห้าแปลง ส่วนมันหวานที่หัวโดยเฉลี่ยโตกว่าจึงได้แค่สามแปลง
สุดท้ายปิดงานด้วยการที่เด็กๆ ช่วยกันไปตักน้ำในบ่อเล็กๆที่ถูกขุดไว้หลายวันแล้ว ทำให้พอมีน้ำขังอยู่มากพอที่จะรดมันทั้งหมดได้อย่างพอดิบพอดีและกว่าจะเสร็จก็ดวงตะวันบ่ายคล้อยมากแล้ว เย่หัวจึงให้เด็กๆ ไปล้างมือล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน
อาหารมื้อเย็นของวันนี้มีมีทั้งหมูต้มมันหวาน หมูก้อนทอด กินกับมันต้มหั่นแล้วตากแห้ง เพื่อเพิ่มรสชาติ ในส่วนนี้ที่เย่หัวค่อนข้างขัดใจอยู่มาก เพราะของที่เอาออกมาจากตู้เย็นได้ยังมีจำกัดจำเขี่ยแบบสุดๆ ครั้นจะไปฝึกฝนเพื่อให้ได้เปิดตู้เย็นได้มากขึ้นมันก็ไม่ใช่อะไรที่นางอยากทำสักเท่าไหร่ แถมเครื่องปรุงอย่างเกลือ พริกไทยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของหายากและมีราคาสูง ถูกควบคุมด้วยราชสำนัก
ไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านห่างไกลที่แห้งแล้งแบบนี้เลย...
“...”
แต่เมื่อมองเด็กๆ ที่กำลังกินอาหารด้วยดวงตาลุกวาวมันก็ทำให้นางทำได้แค่ผ่อนหายใจยาวๆ ยิ้มออกมา และทำเพียงแค่หวังว่าสิ่งที่ทุกคนลงทุนลงแรงไปในวันนี้จะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้มีอาหารมากพอที่จะไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก
ถึงจะไม่ได้พูดมันออกไป แต่นางก็เริ่มรู้สึกผูกพันกับผู้คนและหมู่บ้านแห่งนี้เข้าแล้ว
.................................
ฉื่อ 1 ฉื่อ = 10 ชุ่น (ราวๆ 1 ฟุต) 1 ฉื่อ = 10 นิ้ว (ราวๆ 1 ฟุต) จั้ง 1 จั้ง = 10 ฉื่อ 1 จั้ง = ประมาณ 3.3 เมตร
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง