บทที่ 9 เงามืดในหมู่บ้านอันสงบสุข
“อิ่มกันหรือยัง” หลังจากที่กินมื้อเย็นไปจนอาหารเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำต้มก้นหม้อ เย่หัวก็ถามทุกๆ คนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะหินด้วยกันอยู่
“อิ่มแล้วขอรับ”
“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
“วันนี้อิ่มแปล้เลยคุณหนู”
“...”
“...”
ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน
“ถ้าอิ่มแล้วก็เหมือนเดิมนะ ช่วยกันเก็บล้างให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าไปเอาของหวานมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แค่ลำพังอาหารดีๆ ที่พวกเรากินไปก็มากพอดูแล้ว” จางซิวเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ
“ใช่แล้วขอรับ อาหารมื้อนี้รสดีมากๆ เลยขอรับ อาจจะรสดีที่สุดในชีวิตของข้าเลย ข้าเลยกินไปซะเต็มคราบคาดว่าน่าจะอิ่มไปยันพรุ่งนี้เลย” เด็กชายอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกับเย่หัวกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ข้ากินมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ถึงคุณหนูจะบอกว่าคุณหนูมีอาหารอยู่มากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหมดลงเมื่อไหร่...”
หลังจากนั้นหลายๆ คนก็เอ่ยเป็นทำนองคล้ายคลึงกัน ทำให้เย่หัวอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ นางอยากบอกเด็กๆ เหลือเกินว่านางมีของพวกนี้อยู่มากมายไม่จำกัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกไป เพราะเคยมีสำนวนที่กล่าวเอาไว้ว่า “คนไม่ผิดผิดที่ครอบครองหยก” ถึงที่นี่จะไม่มีใครคิดร้ายต่อนาง แล้วยังมี “เจ้าสัง” อีกตัวที่คอยปกป้องคุ้มครองนางอยู่ตลอด
นางก็ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แค่ลำพังความพลั้งเผลอใจสงสารเด็กๆ ที่ผอมแห้งแรงไม่มีในตอนที่ได้พบกัน ก็ไม่รู้ว่ามันจะนำพาภัยอันตรายมาให้เมื่อไหร่...
แต่ก็แน่นอนว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปนางก็จะยังทำเหมือนเดิม และไม่คิดที่จะเสียใจที่ทำลงไป!
“เอาเถอะถือว่าเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำถ้าหากไม่ติดอะไรเดียวข้าไปเอามาให้” ว่าแล้วร่างเล็กๆ ของเด็กวัยแปดขวบก็วิ่งแจ่นเข้าไปในบ้านด้วยความเปี่ยมสุข มิได้สนใจเสียงทัดทานที่ตามหลังมา
ซึ่งสุดท้ายก็จบลงด้วยเด็กๆ แต่ละคนมีเนื้อติดมือไปคนละกิโล มันฝรั่งกับมันหวานอย่างละถุงแล้วก็ลูกอมไปอีกคนละถุง โดยที่ไม่ลืมฝากของบางส่วนไปให้กับบ้านที่ไม่เหลือใครเนื่องจากการสูญหายหลังจากที่ขึ้นเขาไปหาของป่า
แน่นอนว่าเด็กๆ ไม่สามารถที่จะขนสิ่งเหล่านี้ไปได้ด้วยตนเองทั้งหมด เพราะเด็กหลายคนก็ยังตัวเล็กอยู่มากตามอายุ ครั้นจะให้ขนของหนักหลายชั่งกลับบ้านที่ไกลออกไปเกือบห้าลี้ก็เกินจำเป็น ทำให้ในทุกๆ วันหลังจากที่เข้ายามเย็นก็จะมีพวกผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของเด็กๆ มารอรับอยู่ที่ชายป่าไกลออกไป
ส่วนเหตุผลที่ถ้าหากไม่มีการจ้างวานงานแล้วล่ะก็ พวกผู้ใหญ่จะไม่กล้าเข้าใกล้ที่แห่งนี้อย่างเด็ดขาด เพราะหวาดกัวเจ้าตันตันยักษ์ที่แยกเขี้ยวมาทางพวกเขา
ซึ่งวันนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกๆ วันที่ควรจะเป็นวันดีๆ ของทุกคน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าสังยกหัวขึ้นมองไปทางกลุ่มผู้ใหญ่ที่มารับเด็กๆ โดยตีดวงตาของมันฉายประกายคมกล้มออกมาครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปนอนต่อ หลังจากที่ได้กินเนื้อสดๆ ไปสามสี่ชั่ง...
“ท่านพ่อ วันนี้คุณหนูให้พวกเราลองปลูกเจ้าหัวมันสองสีนี่ด้วยหละ” เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ จางต้าพังเองก็ได้รับวัตถุดิบดีๆ มาจากเย่หัวด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนกับทุกๆ ครั้งเมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นเขาก็จะเล่าให้บิดาของเขาฟังเสมอ “สนุกมากเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดีทั้งอยากช่วยให้พวกเราทุกคนในหมู่บ้านไม่อดหยาก คุณหนูราวกับเทพธิดาที่ลงมาโปรดหมู่บ้านพวกเราเลยนะขอรับ”
เด็กชายยื่นของที่ได้ดับมาจากคุณหนูของเขาให้แก่บิดาของตน พลางบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างออกรสออกชาติ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ใบหน้าของบิดาของตนนั้นบิดเบี้ยวเพียงใด
อื่ม...
ผู้เป็นบิดาที่หยุดเดินไปครู่หนึ่งเนื่องจากไม่อาจจะควบคุมโทสะที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา จนกระทั่งลูกชายของเขาเรียก ถึงได้ขานรับห้วนๆ ก่อนที่จะสาวเท้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เด็กชายงุงงงสงสัยในการกระทำอันแปลกประหลาดของบิดา
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เด็กชายเห็นได้เห็นบิดาของตนแสดงความโกรธออกมาขนาดนี้ เพราะโดยปกติแล้วบิดาของเขาจะเป็นคนใจดีแล้วยิ้มให้ผู้คนอยู่เป็นนิจ ซ้ำยังมักจะแจกจ่ายอาหารหรือสิ่งของจำเป็นให้กับผู้คนในหมู่บ้านอยู่เสมอ
การที่มีใครสักคนมาช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้อีกคนหนึ่งเช่นเย่หัว เขาก็คิดว่าบิดาของเขาควรจะต้องยินดีมิใช่หรือ...
“ท่านพ่อเป็นอะไรของเขากัน...”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง