ยุทธภพกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมายต่างใฝ่หาความเป็นนิรันดร์ หนึ่งในนั้นมีปีศาจน้อยรูปร่างอรชร นางคิดจะใช้ใบหน้างดงามเพื่อหลอกล่อบุรุษ ชีวิตของมนุษย์ก็เพียงแค่เอาไว้ใช้สั่งสมตบะของปีศาจ
ณ ป่าที่อยู่ลึกสุดของแผ่นดินใหญ่ มีกระแสธาราไหลผ่านจากป่าหนึ่งไปสู่อีกป่า เสียงสายน้ำสาดกระเซ็นดังสะท้อนไปพร้อมกับเสียงไหวของกิ่งไม้ สตรีนางหนึ่งกำลังเปลือยกายลงแช่น้ำในลำธารใส ปากก็พลางฮัมเพลงอย่างสบายอกสบายใจราวกับมีนางคนเดียวอยู่ในป่าแห่งนี้ น้ำเสียงไพเราะดังกังวานไปทั่วจนแว่วเข้าสู่โสตประสาทของผู้มาใหม่ ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งได้ยินของนางก็ราวกับต้องมนต์สะกด เขาเยื่อย่างตามเสียงของดรุณีน้อยเข้าไปใกล้ลำธาร ทันทีที่เขาสบเข้ากับเรือนร่างเปลือยเปล่าของเจ้าของเสียงหวาน ผิวขาวกระจ่างยามถูกแสงจันทร์กระทบชวนให้นึกหลงใหล เต้าอวบอิ่มทั้งสองใหญ่เกินขนาดรูปร่างที่เล็กของนางไปมากมาย ยอดปทุมถันสีสดชวนให้อยากลิ้มชิมรสดูสักครั้ง ฉับพลันฝีเท้าของชายหนุ่มก็เผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ทำให้ดรุณีที่กำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารได้ยินเข้าจึงตกใจ นางหันไปตามเสียง จึงเห็นว่ามีบุรุษแปลกหน้ายืนมองตนอาบน้ำอยู่ด้วยแววตาหลงใหล ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายเล็กสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นราวกับลูกกวาง เนื่องจากเสื้อผ้าถูกถอดทิ้งไว้ตรงโขดหินริมฝั่งแม่น้ำ บัดนี้ตัวของนางจึงไร้สิ่งใดมาปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ ได้แต่ใช้มือทั้งสองยกขึ้นบดบังเต้าอวบพร้อมกับหันหลังให้กับผู้มาใหม่ "ออกไปนะ!" ท่าทีใสซื่อของนางยิ่งทำให้ความเป็นชายของบุรุษแข็งขึงขึ้นมาขนัด เพียงชั่วพริบตาร่างสูงก็ขยับตัวเข้าไปใกล้แผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวในระยะประชิด มือสากลูบไล้หัวไหล่นวลเนียนที่ยังคงสั่นระริก สัมผัสจากฝ่ามือทำเอาร่างของดรุณีสั่นสะท้านยิ่งเข้าไป นางค้านเสียงแข็ง "ท่านจะทำอะไร อย่ามาแตะตัวข้า!" ทว่าชายหนุ่มมิได้สนใจคำห้ามปราบ สองแขนกำยำโอบรัดเอวบางก่อนที่ร่างสูงจะโน้มใบหน้าลงเพื่อกระซิบเสียงแหบพร่า "ออกท่องยุทธภพมาก็มาก ข้ายังมิเคยเห็นผู้ใดงดงามเช่นนี้" ฉับพลันปลายลิ้นก็ลากเลียไปทั่วใบหูขาวเนียนของคนที่อยู่ในอ้อมกอด สัมผัสชวนสยิวทำให้ดรุณีอดไม่ได้ที่จะขนลุกพอง ในแววตาฉายความหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ นางสั่นกลัวราวกับลูกแมวน้อยในกำมือของพยัคฆ์ มือสากของชายหนุ่มมากกำลังเริ่มสัมผัสไปทั่วเรือนร่างชวนหลงใหล ร่างบางรับรู้ได้ถึงความใหญ่โตที่กำลังถูไถร่องก้นของนางอย่างหื่นกาม ร่างบางดิ้นพล่านแต่กระนั้นพละกำลังกลับสู้แรงบุรุษไม่ไหว "ข้าขอร้องท่าน อย่าทำเช่นนี้เลย" เสียงกรีดร้องเริ่มดังขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งการกระทำ นางหวังแค่เพียงใครสักคนเผอิญผ่านมาแล้วช่วยนางได้ทัน ทว่าเสียงทุ้มใหญ่กลับดังขึ้นดับความหวังที่มีของนางไปจนหมดสิ้น "ร้องไปก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก มิสู้เก็บเสียงไว้คร่ำครวญใต้ร่างข้าไม่ดีกว่าหรือไง" เสียงหัวเราะดังขึ้นราวกับยินดีกับความสิ้นหวังของอีกฝ่าย สิ้นคำชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เริ่มจัดการกับเสื้อผ้าที่ดูเกะกะนักของตนออกไป เมื่อไร้สิ่งใดมาขว้างกั้นหนทางแห่งความสุข ความเป็นชายพลันตั้งโด่จ่ออยู่ที่ร่องก้นขาวนวลของร่างน้อย มือสากเต็มไปด้วยพละกำลังรีบรวบมือที่ปกปิดเต้าอวบทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วใช้ผ้าคาดเอวของตนมัดข้อมือบอบบางเพื่อไม่ให้ขัดขืน ก่อนจะฉุดลากร่างนั้นไปตรงโขดหินใหญ่ริมลำธาร เขาจัดท่าให้ร่างบางใช้มือค้ำโขดหินแล้วโก่งตูดมาทางเขา จนใจกลางความเป็นสาวปรากฏต่อสายตา กลีบร่องงดงามปิดสนิท ไม่รู้ว่าน้ำที่ซึมออกมาเป็นน้ำจากลำธารหรือน้ำกามจากความใคร่ ร่างสูงอดใจไม่ไหวใช้นิ้วแหวกกลีบร่องจนเห็นเนื้อสีแดงสดและยื้อพรหมจรรย์อยู่ข้างใน ชายหนุ่มย่อตัวลงก่อนจะฝั่งใบหน้าลิ้มชิมรสชาติของบุปผาที่บานสะพรั่งอย่างหยามใจ ปลายลิ้นลากเลียทั่วกลีบร่องก่อนจะแยงเข้าออกจนเรียกเสียงครางหวานของอีกฝ่าย "ท่านจอมยุทธ์ได้โปรดหยุดเถอะ ท่านอยากให้ข้าทำสิ่งใดข้าจะทำให้ท่านทุกอย่างเลย" นางร้องคร่ำครวญขอให้เขาเห็นใจทั้งน้ำตา ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบกลับมา เพียงเพราะอีกฝ่ายกำลังดูดเลียร่องบุปผาอย่างเอร็ดอร่อย สัมผัสจากลิ้นร้อนสร้างความเสียวซ่านเสียจนสองขาน้อยเริ่มสั่นไหว วินาทีนั้นเองที่อีกฝ่ายถอนใบหน้าออกจากบุปผาของสาวน้อย แล้วโน้มตัวโอบกอดร่างของนางที่กำลังยืนโก่งตูดให้ มือใหญ่เอื้อมไปบีบขย้ำเต้าอวบอิ่มพร้อมกระซิบเสียงแหบ "หัวนมเจ้าแข็งสู้มือถึงเพียงนี้จะให้ข้าหยุดจริงหรือ" ชั่วขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนลงมาต่ำเพื่อบดขยี้ติ่งบุปผาซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว หญิงสาวเริ่มส่งเสียงครางอีกครั้ง "อ๊า ไม่เอา..." เสียงครวญครางหวานดังสนั่นประสานกับเสียงไหลของน้ำในลำธาร ขาทั้งสองข้างสั่นระริกจนแทบยืนไม่ไหว จังหวะต่อมานางสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่รุกล้ำเข้ามาภายในกาย มันอึดอัดเสียจนทำให้ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างทรมาน "แค่นิ้วเดียวเจ้าก็ตอดรัดถึงเพียงนี้ ไม่อยากคิดถึงความรู้สึกตอนข้าสอดมันเข้าไปในร่องนี้เลย" เสียงแหบพร่าของบุรุษเอ่ยกระซิบข้างใบหูขาว ในขณะที่นิ้วเรียวใหญ่กำลังกระแทกเข้าออกช่องทางรักที่ฉ่ำไปด้วยน้ำใคร่ มืออีกข้างก็มิได้ปล่อยว่างไว้ พลางบีบขย้ำเต้าอวบสลับกับใช้นิ้วบดขยี้ยอดอกที่กำลังชูชันอย่างไม่คิดเห็นใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเจ็บ ผ่านไปไม่นาน เสียงร้องห้ามปราบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญคราง พร้อมด้วยดวงหน้าที่เริ่มแดงก่ำเพราะความใคร่ แววตาคู่งามคลอไปด้วยหยาดน้ำทอประกายหยาดเยิ้มจนบุรุษร่างใหญ่เห็นแล้วรู้สึกชอบใจ เขาออกแรงกระแทกนิ้วแกร่งของตนเข้าไปภายในร่องรักของอีกฝ่ายจนนางรู้สึกได้เพียงความเจ็บจุก "ท่านจอมยุทธ์ได้โปรด อ๊ะ....ปล่อยข้า" "ข้าจะปล่อยเจ้า หลังจากที่ข้าเสร็จสมกับร่องของเจ้าจนหนำใจแล้วเท่านั้น" ทันทีที่เขาพูดจบถ้อยคำนั้นก็ดึงนิ้วออกมาจากร่องรักของอีกฝ่าย ดวงตาหื่นกระหายจ้องมองน้ำใคร่สีใสที่ไหลเยิ้มติดปลายนิ้วออกมา ไม่รอช้าร่างสูงเริ่มใช้มือสาวความเป็นชายของตนให้พร้อมสำหรับศึกครั้งใหญ่ ก่อนจะจับปลายหัวดุ้นจ่อที่ช่องทางเปียกชื้นซึ่งบัดนี้กลับมาปิดสนิทเหมือนเดิมหลังจากที่เพิ่งโดนนิ้วของตนกระแทกไป ทันทีที่ทะลวงปลายหัวเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย กลับได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังขึ้นมา สัมผัสจากโพรงเนื้อนุ่มที่บีบรัดแกนกายทำให้ชายหนุ่มแทบจะหยุดหายใจไปพักหนึ่ง ยิ่งเห็นดวงหน้าที่หันมาอ้อนวอนขอความเห็นใจให้ตนหยุด ความงดงามของนางยิ่งไปกระตุ้นความหื่นกระหายเยี่ยงสัตว์ป่าจนแทบจะระเบิดออกมา สวบ ทันทีที่แท่งเนื้อลำใหญ่ทะลวงเข้าไปในช่องทางคับแคบ เจ้าของร่องแดงพลันส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด หยาดโลหิตเนื่องจากเยื่อพรหมจรรย์ฉีกขาดไหลซึมออกมาอาบลำท่อนของบุรุษร่างใหญ่ นางรับรู้ได้ถึงความใหญ่โตที่กำลังรุกล้ำภายในกายจนทำให้รู้สึกอึดอัด ความเจ็บแสบยามที่อีกฝ่ายขยับท่อนรักเข้าออกทำให้นางแทบจะกลั้นตาไว้ไม่ไหว สุดท้ายเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าน้อย ส่งผลให้หญิงสาวในตอนนี้ดูน่าสงสารจับใจ ทว่าชายหนุ่มกลับมิได้สนใจเสียงร้องครวญครางปานจะขาดใจของนาง เอวหนายังคงขยับสาวท่อนเอ็นเข้าออกร่องสวาทที่เริ่มบวมแดงอย่างหลงใหล ความเสียดเสียวจากช่องทางคับแคบที่บีบรัดทำเอาเขาอยากเสร็จสมเสียให้ได้ มือใหญ่ยึดสะโพกกลมมนของนางไว้ ก่อนจะกระแทกลำท่อนใหญ่เข้าออกร่องสาวอย่างดุดัน ความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจากแกนกายนั้นแล่นผ่านไปทั่วร่างของสาวน้อย นางรู้สึกจุกและเจ็บกับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ เสียจนขาทั้งสองข้างสั่นระริกแทบจะทรงตัวไม่ไหวอีกต่อไป เสียงหวานเจือไปด้วยความเว้าวอนเอ่ยขอร้องชายที่เสพสมกับร่องรักของนางอย่างบ้าคลั่ง "ท่านปล่อยข้าเทิด อ๊า..ข้าไม่ไหว..." แต่กระนั้นก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินคำพูดของนาง เขาในตอนนี้กำลังลุ่มหลงอยู่ในตัณหาจนมิสนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงเห็นเพียงว่าร่างน้อยที่ตนเสพสมด้วยเหมือนจะยืนต่อไปไม่ไหว แขนแกร่งจึงช้อนสองขาของนางขึ้นกลางอากาศ แล้วกระแทกร่องบวมแดงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่านี้ทำให้ความเป็นชายแทงเข้าไปภายในกายของหญิงสาวลึกขึ้นเรื่อย ๆ ร่างบางรู้สึกเสียวเสียจนใกล้จะเสร็จสมออกมา เพียงไม่นานนางก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่อัดแน่นเสียจนเต็มช่องท้อง มันรู้สึกดีเสียจนสองเท้าของนางจิกเกร็งกลางอากาศ นางกรีดร้องก่อนจะเสร็จสมตามอีกฝ่าย น้ำหวานสีใสถูกปลดปล่อยอาบย้อมแกนกายของบุรุษ เมื่อสัมผัสได้ถึงโพรงเนื้อที่ตอดรัดแกนกายตุบ ๆ บ่งบอกว่าร่างงดงามเสร็จสมเหมือนตนแล้วเช่นกัน ชายหนุ่มจึงถอนความเป็นชายของตนออกจากร่องรัก ดวงตาจับจ้องร่องที่บวมแดงซึ่งอาบย้อมไปด้วยน้ำกามสีขาวขุ่นอย่างพึงพอใจ เมื่อไม่มีท่อนเนื้อลำใหญ่คาอยู่ เบื้องล่างของหญิงสาวพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นมา น้ำกามสีขาวขุ่นที่อัดแน่นอยู่ในร่องแดงฉ่ำเมื่อครู่ไหลย้อนออกมาก่อนจะหยดลงสู่ลำธาร ไม่ทันที่นางจะได้พักหายใจ ร่างของนางก็ถูกอุ้มไปนอนถ่างขาบนโขดหิน หญิงสาวในตอนนี้ราวกับอาหารจานใหญ่ที่บุรุษตรงหน้ารอจะเชยชิมจนแทบทนไม่ไหว เขายังคงจับจ้องกลีบร่องที่แดงช้ำเนื่องจากการกระทำสัตว์ป่าเมื่อครู่ของตนอย่างหยามใจ ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มที่อาบย้อมไปด้วยหยาดเหงื่อของคนตัวน้อยในเวลานี้ ช่างให้ความรู้สึกเย้ายวนจนความเป็นชายที่เพิ่งสงบไปกลับมามีแรงอีกครั้ง ร่างสูงไม่รอช้าที่จะเสียบแกนกายเข้าไปในร่องรักแดงช้ำ ก่อนจะเสพสมกับนางเสียจนพอใจ เสียงเนื้อกระทบกันอย่างลามกดังติดต่อกันกินเวลากว่าหนึ่งชั่วยามได้ บัดนี้หญิงสาวที่ถูกขืนใจในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นนั่งคร่อมบนตัวบุรุษตัว นางขยับสะโพกกลมมนชวนให้ผู้คนลุ่มหลงเพื่อขย่มแทงเนื้อที่ถูกนางปลุกขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงครวญครางราวกับหยาดน้ำค้างหวานดังอย่างเร่าร้อนยามที่ท่อนเนื้อกระแทกลึกเข้าไปถึงจุดเสียว "อ๊า ดีเหลือเกินท่านจอมยุทธ์" นางยิ่งเร่งขยับเอวราวกับควบขี่ม้าในศึกสงคราม เมื่อใกล้เห็นปลายทางแห่งฝันอยู่เบื้องหน้า สองมือก็บีบขย้ำเต้าอวบอิ่มของตนเพื่อระบายความใคร่ เพียงชั่วพริบตาภายในช่องท้องก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นวาบที่ทำเอาร่างบางถึงกับตาลอย "อ๊า...ดีเหลือเกิน" ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเพียงแค่เสียงน้ำในลำธารไหล ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังมีเสียงหอบหายใจของใครบางคนดังขึ้นมา แต่เพียงไม่นานเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบลง หญิงสาวมองบุรุษที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ร่างตนด้วยแววตาเย้ยหยัน นางลุกขึ้นจากร่างของบุรุษผู้นั้น ทันทีที่แกนกายหลุดออกจากร่องแดงฉ่ำ น้ำรักสีขาวขุ่นก็ไหลออกมา น้ำกามพวกนั้นเปรอะเปื้อนเรียวขาทั้งสองข้างแต่ร่างบางกับไม่ได้สนใจที่จะเชยชม สีหน้าหวาดกลัวที่เคยพบหรือแม้กระทั่งหยดน้ำตาก็ไม่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนางเลย ดวงตาคู่งามฉายแววดูถูกเมื่อมองบุรุษซึ่งบัดนี้หายใจโรยริน ร่างกายซูบผอมมีเพียงหนังหุ้มกระดูกราวกับโดยภูตผีดูดกินวิญญาณ แววตาที่เบิกกว้างจนเห็นเส้นเลือดไร้ร่องรอยแห่งความอาจหาญของจอมยุทธ์ เขาในตอนนี้ราวกับคนที่ใกล้จะสิ้นใจ หากไม่เห็นว่ายังมีลมหายใจไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว "เจ้าโง่นี่ เพียงเท่านี้ก็หมดแรงเสียแล้ว" มันใช้ได้ที่ไหน! นางอุตส่าห์ใช้รูปโฉมงดงามของตนหลอกล่ออย่างสุดความสามารถ คิดว่าจะได้เสพสุขยันเช้า ที่ไหนได้ ยังไม่ถึงสองชั่วยามสารรูปก็เป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ไร้ความสามารถ...ช่างไร้ความสามารถเสียจริง! ตัวนางเป็นถึงปีศาจดอกเหมยที่อาศัยการร่วมรักกับบุรุษเพื่อบำเพ็ญตบะ แต่บุรุษที่นางเจอแต่ละคนช่างไร้น้ำยา จะไม่ให้นางหงุดหงิดได้อย่างไร เสียนเปานะเสียนเปา เมื่อใดกันที่เจ้าจะเจอบุรุษที่ทนมือทนตีนเจ้าได้ แค่สักวันสองวันก็ถือว่าหายากมากแล้ว จะให้เขามาร่วมเสพสุขกับเจ้าทั้งชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้เสียหรอก ร่างบางได้แต่สบถกับตัวเองอยู่ในใจ พลางมองร่างที่นอนแน่นิ่งของชายที่เพิ่งจะร่วมรักกับตนไปเมื่อครู่นี้ เมื่อสองชั่วยามก่อนเขายังมีกำลังวังชา แต่บัดนี้กลายเป็นหนังตากแห้ง ฉับพลันเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น ช่างเถิด...สำหรับชีวิตที่ยืนยาว นางจะมาสนใจบุรุษที่ลุ่มหลงในราคะพวกนี้ไปไย พวกเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรมันก็เรื่องของพวกเขา ร่างบางหายใจฟึดฟัดก่อนจะใช้เท้าเตะบุรุษที่นอนนิ่งบนโขดหินจนกลิ้งตกน้ำ คนผู้นี้ปล่อยให้ตายเสียก็ดี หากสตรีที่เขาล่วงเกินมิใช่นางแต่เป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งคงน่าสงสารไม่น้อย หญิงสาวพลางจ้องมองร่างที่ลอยไปกับน้ำก่อนจะกระโดดลงจากโขดหินเพื่อไปชำระร่างกายที่ลำธารใหม่อีกครั้ง หลังจากที่หยิบเสื้อผ้าของตนมาใส่ นางก็เดินหายเข้าไปในความมืดของรัตติกาลต้นไม้ของป่าซิงเฉียงกินพื้นที่ไปหลายร้อยลี้ เสียงสายลมเย็นและเสียงนกกระจิบกำลังสอดผสานและขับขานกลายเป็นท่วงทำนองดนตรี กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนลอยโชยไปทั่วทุกสารทิศ แสงแดดจากตะวันยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านทางปากถ้ำจนกระทบใบหน้างดงามของดรุณีที่กำลังหลับใหล แสงนั้นแยงตาจนร่างบางที่กำลังฝันหวานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ อย่างขัดใจ ทว่าความเหนื่อยล้าจากศึกหนักที่ผ่านทำให้ร่างน้อยลุกขึ้นไม่ไหว เสียนเปาทำได้เพียงหันหลังให้กับแสงแดดนั้นแล้วนอนขดตัวหลับตาอีกครั้งฉับพลันเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหน้าปากถ้ำ พร้อมกับเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคย "ยังไม่ตื่นอีกหรือ"ดรุณีน้อยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะตอบอีกฝ่าย นางหลับตาพริ้มแสร้งทำว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดหวังเหว่ยมองร่างเล็กที่ขดตัวอยู่บนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนอย่างจำนน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบเขา ก็ทำใจกล้าโกรธนางไม่ลงเหมือนเก่า ฉับพลันร่างสูงก็สาวเท้าตรงเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย พลางใช้มือลูบหัวน้อย ๆ เพื่อปลอบประโลมนางเสียนเปาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้น เพียงไ
เสียนเปารู้สึกเหมือนโดนท้าทายอำนาจ นางจึงก้มลงกัดอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวทันที คราวนี้หวังเหว่ยเหมือนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ใบหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาอีก มีเพียงมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เป็นเวลานานกว่าเสียนเปาจะรู้สึกพอใจแล้วจึงถอนเขี้ยวออกจากลำแขนของชายที่พยายามกักขังนาง ดวงหน้างดงามเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างดื้อรั้นไม่ยอมพ่าย หวังเหว่ยมองท่าทีลำพองใจของร่างบางก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "คราวนี้ตาข้ากัดเจ้าบ้างแล้ว" "ว่ายังไงนะ...?" ยังไม่ได้ทันจะสิ้นเสียงของร่างบาง เบื้องหน้าของเสียนเปาพลันมีเงาดำโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างทั้งยังสั่นระริกเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบงำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ว่าจูบนี้ของหวังเหว่ยไม่มีความปรานีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต้องการและความกระหายอยาก ยามที่ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อควานหาความหวานและไล่ต้อนลิ้นน้อยจนหมดทางถอย ทำเอาเสียนเปารู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยจนต้องหนีบเรียวขาเ
รัตติกาลล่วงเลยผ่านไปไวราวกับสายน้ำ หลังจากที่วุ่นอยู่กับการถอนพิษครึ่งค่อนคืนนั้นเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว เสียนเปานั่งมองใบหน้าของหวังเหว่ยซึ่งในเวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับสนิทอยู่ ตามหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีไข้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะบรรจงซับเหงื่อให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เสียนเปาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของหวังเหว่ย นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาตอนหลับเจ้าก็ดูจะไม่มีพิษมีภัย เหตุใดพอตื่นขึ้นมาถึงได้ชอบกวนประสาทข้านักเสียนเปาคิดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ฉับพลันนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ปากถ้ำเพื่อนำผ้าเช็ดหน้าไปรองน้ำฝนที่ไหลลงมาตามหิน ก่อนจะเดินย้อนกลับมาเช็ดตัวที่ร้อนผ่าวให้อีกฝ่ายในทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนหวังเหว่ยที่หมดแรงแล้วหลับไปพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่ามือเนียนนุ่มที่กอบกุมมือของตนเองไว้แน่น พร้อมสัมผัสเย็นชื้นจากผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ดูเหมือนคนตัวน้อยจะเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าหวังเหว่ยได้สติ
"เจ้าเป็นอะไร!" เสียนเปารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ สีหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้แลดูเจ็บปวดนักทั้งที่ตามเนื้อตัวของเขาไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ แต่เพียงไม่นานนางก็รู้ต้นต่อที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่าย"กู่พิษ"สีหน้าของเสียนเปายิ่งดูไม่ดีเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่นางรับรู้ได้ว่าหวังเหว่ยกำลังเจ็บปวดเป็นที่สุด ตามกรอบหน้าอาบย้อมไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชื้น ริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเลือดขบเม้มเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหวตั้งแต่ตอนไหนกัน...อี้จางหมิ่นเมื่อนึกถึงตัวการที่วางพิษ เสียนเปาก็ขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดเริ่มกระอักโลหิตขึ้นมาอีกครั้ง ความโกรธชั่ววูบของนางพลันมลายหายไปเหลือเพียงแค่ความห่วงใยปรากฏในสายตา"เจ้าทนไหวหรือไม่ เราเข้าไปหลบในถ้ำข้างหน้าก่อน"แม้หวังเหว่ยจะเจ็บแต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาพยักหน้ารับคำร่างบางก่อนจะปล่อยให้นางพยุงร่างเขาเข้าไปในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลเสียงน้ำหยดลงมาจากหินย้
จู่ ๆ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในคุกอีกครั้ง เสียนเปาทำได้เพียงเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเจ้าของคำถามดี นางรู้สึกประหม่าเมื่อหวังเหว่ยหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ดวงตาคู่นั้นราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในจนนางไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่เป็นหวังเหว่ยเองเอ่ยตัดบทไปเอง "ไปกันเถอะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว" สิ้นคำร่างสูงก็เดินนำออกไป เสียนเปาเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามหลังอีกฝ่าย ระหว่างทางทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันตอนนี้ทั้งคู่หลบหนีออกมาจากจวนสกุลอี้ได้อย่างไม่ลำบาก และทั้งสองกำลังเดินเรียบไปตามตอกมืดเล็ก ๆ มุมหนึ่งของเมือง ระหว่างทางเดินหวังเหว่ยเองก็เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและเดินก้มหน้าราวกับไม่อยากสบตากับเขา หวังเหว่ยรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเปิดหัวข้อสนทนา "หลังออกจากหั่งโจวแล้วเจ้าจะไปที่ใด""ตูเถา"เสียนเปามิได้คิดปิดบังจุดหมายของตนกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หวังเหว่ยขมวดคิ้ว "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน"หากเจ้าเคยได้ยินน่ะสิแปลก เพราะตูเถาที่นางเพิ่งพูดถึ
หลังจากคืนนั้นที่หวังเหว่ยและเสียนเปาถูกจับมาขังในคุกใต้ดินวันเวลาก็ผ่านมาถึงสามวันเศษ ตกดึกในคืนที่เมืองหั่งโจวมีลมพายุแรง สายลมกรรโชกราวกับจะพัดบ้านเรือนลอยหายไปทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอกซอยใดล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถนนหนทางไร้ผู้คนเดินเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แม้กระทั่งย่านที่เคยคึกคักบัดนี้หลงเหลือแค่เพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ สาเหตุที่ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะพายุที่ไม่ทราบที่มาลูกนี้กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งที่สองสามวันก่อนท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลยแท้ ๆ ทว่าในคุกที่มืดและชื้นแฉะ กลับไม่รู้ถึงภัยธรรมชาติร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอก นักโทษที่โดนทารุณต่างเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับสนิท ในคุกมีเพียงเสียงน้ำหยดจากบนเพดานหินและเสียงลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ ความเงียบผิดจากปกติธรรมดาช่วยเสริมบรรยากาศทำให้คุกนี้ดูน่าวังเวง มันเงียบสงัดราวกับที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทว่าในส่วนที่ลึกสุดของคุกแห่งนี้ หากลองเงียหูฟังให้ดีจะพบว่ามีเสียงของคนสองคนกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ราวกับการที่พวกเขาถูกจับมาขังที่นี่ไม่ได้สร้างความหวาด