จื่อรุ่ยถึงกับตาสว่างและหายง่วงเมื่อราชครูจินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปรับน้ำเสียงให้นิ่งแต่อาการมือที่สั่นนั้นกลับปิดไม่มิด
“คุณชาย ท่านสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ”
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของอดีตคู่หมั้นของท่านหญิงเกิดจากโรคภัยหรือว่าสิ่งใดกันแน่ อีกอย่างมีบุรุษหมั้นหมายถึงสามครั้งแต่กลับมิได้แต่งงานด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันเจ้าไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ”
“พวกเขามิได้น่าสงสัยหรอกขอรับ ท่านต่างหากที่น่าสงสัย”
“อะไรนะ เจ้าพึมพำอะไร”
“เปล่าขอรับ คู่หมั้นคนแรกของท่านหญิงเป็นกองหน้ารักษาชายแดนใต้ เขาตายเพราะถูกข้าศึกฆ่าระหว่างออกรบ คนต่อมาเห็นว่าถูกสตรีที่เขาไปทำร้ายจิตใจเอาไว้วางยาพิษในสุราหลังจากที่เขาไปนัดดื่มเพื่อบอกลานาง ส่วนคนสุดท้ายเห็นว่ารักสตรีอื่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์เขาเลยพานางหนีเพราะเกรงกลัวความผิด”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางเลย โชคร้ายอะไรกันข่าวลือเหล่านั้นช่างเหลวไหลยิ่งนัก นางก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง ใช่แล้ว”
จื่อรุ่ยจับน้ำเสียงที่ระคนความดีใจได้เล็กน้อยซึ่งเขาไม่เคยเห็นจินอวี้หานใช้มาก่อน แต่เมื่อราชครูหันมามองหน้าจื่อรุ่ยก็รีบปรับสีหน้าและรีบรายงานต่อในทันที
“ข่าวลือที่ถูกกระพือออกไปเห็นว่าเป็นเหล่าสตรีในเมืองหยุนหนานที่เป็นคนปล่อย ท่านหญิงเป็นบุตรีคนเดียวของท่านอ๋องแน่นอนว่าย่อมมีสตรีหลายคนริษยา ดังนั้นข่าวเรื่องไฟไหม้เรือนพักของนางจึงเป็นชนวนเหตุสุดท้ายให้คนร่ำลือเรื่องนี้ ท่านอ๋องอยากให้นางได้พักผ่อนจากคำวิจารณ์นี้จึงได้ขอความช่วยเหลือมาทางฝ่าบาทขอรับ”
“เหตุใดข้าจึงไม่ทราบมาก่อนหน้านี้เล่า”
“คุณชาย ก็ท่านไม่เคยสนใจนางมาก่อน ท่านบอกเพียงว่าทำตามรับสั่งฮ่องเต้ให้จบสามเดือนแล้วส่งนางที่… น่ารำคาญกลับไปหยุนหนาน”
จินอวี้หานชะงักลงไป เขาจำได้แล้วว่าเคยพูดเช่นนั้นจริง ๆ ซึ่งเดิมทีเขาไม่ชอบเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว แต่เพราะนางเป็นพระราชนัดดาที่ฝ่าบาททรงรักและเอ็นดูจึงส่งเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาและคนสนิทของพระองค์ให้มาดูแลนาง แม้ว่าจะไม่เต็มใจรับแต่ก็ขัดพระบัญชาไม่ได้ ดังนั้นเรื่องของนางเขาจึงแทบไม่สนใจเลย
“ข้าจะนอนแล้ว”
“ขอรับ”
“ข้ารับปากท่านหญิงไว้ว่าหากนางทำตัวดี ๆ จะพานางออกไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย”
“เดินเล่นหรือขอรับ!”
จินอวี้หานหันไปมองจื่อรุ่ยที่ทำท่าตกใจราวกับถูกเขาสั่งโบย
“เจ้าข้องใจอันใด ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ”
“เปล่าขอรับ ท่าน… ไม่ได้พูดอะไรผิดแต่ว่า คุณชายท่านน่ะหรือที่จะไป…เดินเล่น”
“เจ้าเห็นข้าเป็นหลวงจีนไปแล้วหรืออย่างไร ข้าเองก็เป็นคนไปกินไปดื่มและเดินเที่ยวได้เหมือนคนทั่วไป เจ้าคอยดูนางข้าหลวงผู้นั้นให้ดีข้าไม่อยากให้นางไปเป็นตัวเกะกะ หากว่าเลี่ยงไม่ได้ข้าก็จะสั่งให้นางไปทำอย่างอื่น”
“ขอรับ”
สิบวันถัดมา
สิบวันมานี้หงหลินซินตั้งใจทำพิธีและสวดมนต์ครบตามเวลาโดยมิได้อิดออดจนท่านโหรหลวงเอ่ยปากชม เมื่อพิธีกรรมช่วงเช้าเสร็จหมดแล้วนางจึงเดินออกมาพบราชครูจินที่ยืนรออยู่ข้างนอกพร้อมกับรอยยิ้มที่อารมณ์ดี
“จินอวี้หานท่านมารอข้าเช่นนี้หรือว่าวันนี้...”
“ท่านหญิง! นี่ก็สายแล้ว ไปกินข้าวก่อนเถอะขอรับ”
จินอวี้หานส่งสัญญาณสายตาให้นางก่อนจะพูดอะไรเพิ่มเพราะเห็นว่าซานหวนชิงยืนฟังอยู่ หงหลินซินจึงรู้ทันทีว่าเขาไม่อยากให้นางข้าหลวงผู้นี้ฟังพวกเขาคุยกัน แม้ว่านางข้าหลวงซานจะถูกสั่งมิให้เข้าเรือนด้านใน แต่นางก็มักจะปรากฏตัวอยู่ทุกที่จนน่ารำคาญ
“อ้อ ได้สิข้าเองก็รู้สึกหิวมากเลยล่ะ”
“เชิญขอรับ"
หลินซินเดินตามราชครูจินไป ซานหวนชิงจะเดินตามไปแต่เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในเรือนองครักษ์หน้าประตูก็ยกดาบขึ้นมาขวางทันที
“ตรงนี้ท่านเข้าไม่ได้”
หวนชิงได้เพียงแค่ส่งสายตาโมโหไปให้ทหารหน้าประตูและเดินโมโหออกไปทันที เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใจแล้ว หลินซินที่เริ่มตื่นเต้นก็หันมาถามอวี้หานทันที
“ราชครูจินท่านมารอข้าเช่นนี้วันนี้จะพาข้าออกไปเที่ยวใช่หรือไม่”
“ท่านหญิงตั้งใจทำพิธี ดังนั้นข้าน้อยคิดว่าควรจะให้รางวัลกับท่านเล็กน้อย ว่าแต่ท่านอยากจะไปไหน”
“ข้าเบื่ออาหารเจที่วัดนี้เต็มทีแล้ว ท่านจะพาข้าออกไปกินอย่างอื่นได้หรือไม่”
“ท่านอยากกินอะไร”
“อืม ไม่รู้สิข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมืองหลวงมีอะไรน่ากินบ้าง แต่ข้าอยากลองทั้งหมดเลย เราออกไปกินข้างนอกได้หรือไม่"
“ย่อมได้ แต่ข้ามีข้อแม้”
“อะไรหรือ”
“ท่านต้องสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้เวลาออกไปข้างนอก”
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้านักหรอก”
“อีกอย่าง”
“ว่าอย่างไร”
“เราต้องเอาม้าไปและออกเส้นทางด้านหลัง ท่านยังอยากไปอยู่หรือไม่”
“ท่านหมายถึง ท่านจะแบกข้าออกไปอีกหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นครั้งนี้ข้าไม่ต้องแบกท่าน ก็แค่… อาจจะต้องขี่ม้าตัวเดียวกันลงไปท่านจะ…”
“ได้สิไม่มีปัญหา ครั้งก่อนข้าก็ขี่ม้าตัวเดียวกับท่านมาแล้วนี่ รีบไปเถอะข้าตื่นเต้นมากเลย”
“เช่นนั้นเชิญท่านหญิงทางนี้”
พวกเขาเดินออกทางประตูด้านหลังซึ่งเป็นเขตต้องห้ามของนางข้าหลวงอย่างซานหวนชิง เมื่อพวกเขาเดินออกมาได้ก็พบกับจื่อรุ่ยที่เตรียมม้าเอาไว้ให้
“เอ๊ะ แล้วนี่…”
“จื่อรุ่ยต้องอยู่ที่นี่เพื่อมิให้นางข้าหลวงผู้นั้นสงสัย สาวใช้ของท่านก็เช่นกัน ท่านมีปัญหาหรือไม่ที่เราจะต้อง...”
“เช่นนั้นหมายความว่า ข้าไปกับท่านสองคนงั้นหรือ”
“ใช่ ท่านยังอยากไปอยู่หรือไม่ หากว่าท่านเปลี่ยนใจในตอนนี้ข้าจะได้ให้จื่อรุ่ยเอาม้าไปเก็บแล้วเราก็กลับไปกินอาหารเจที่ท่านเบื่อนั่นอีกครั้ง”
เมื่อเขาพูดเรื่องอาหารขึ้นมานางก็ตัดสินใจได้ในทันที เรื่องอะไรจะทิ้งโอกาสดีงามเช่นนี้ แม้ว่าจะออกไปกับเขาเพียงสองคนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่เพราะถึงอย่างไรจินอวี้หานก็ปกป้องนางได้อยู่แล้ว และยังดีกว่าที่จะไปหลายคนให้นางข้าหลวงของฮองเฮาสงสัยอีกด้วย
“รีบไปกันเถอะข้าเริ่มหิวแล้ว หากว่าข้าหิวมากกว่านี้ข้าคงกระโดดกัดหูท่านกินก่อนแน่ ๆ”
“หึ เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว”
เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าโดยง่ายก่อนจะรีบขึ้นตามมาและเริ่มควบม้าออกจากบริเวณหลังเขามุ่งหน้าลงเขาไปตามเส้นทางที่เป็นเส้นทางหาฟืนของพวกชาวบ้าน
“ให้ตายสิทิวทัศน์หลังเขานี้ก็งดงามมาก ๆ เลยเหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อนนะ”
“เอาไว้ก่อนกลับเข้าอารามข้าจะพาท่านแวะก็แล้วกัน ยามอาทิตย์อัสดงแสงจะงดงามมากกว่านี้ท่านคงจะชอบ”
“จริงหรือ ท่านสัญญา… แล้วนะ”
นางเผลอหันไป แม้ว่าจะสวมผ้าปิดหน้าครึ่งหนึ่งแต่ริมฝีปากก็เกือบจะชนเข้ากับใบหน้าของจินอวี้หานที่อยู่ด้านหลัง เขาผ่อนฝีเท้าม้าลงอีกหน่อยเพราะตกใจเมื่อนางหันมา หัวใจของเขาเต้นรัวไม่ต่างกับนาง
“ท่านหญิง…”
นางเองก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะค่อย ๆ กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อมองเขาชัด ๆ หัวใจนางเต้นรัวถี่จนกลัวว่าเขาจะได้ยิน ใบหน้าที่ได้รูป จมูกที่คมของจินอวี้หานอยู่ใกล้แค่ลมหายใจกั้นและตอนนี้เขาก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาหานางใกล้ ๆ
“ท่านหญิง ท่านอย่าดิ้นมากเพราะม้าอาจจะตกใจได้”
“ข้า!! ข้าไม่ได้ดิ้นสักหน่อยข้าก็แค่…ว้าย!!”
นางตกใจเมื่อม้าของเขาน่าจะเดินตกหลุมหรือเดินผิดเส้นทางจนเผลอคว้ารอบคอของเขา ผ้าปิดปากตกลงไปพร้อมกับเสียงหัวใจของราชครูหนุ่มที่ได้ยินชัดเจนว่าหัวใจของเขาก็เต้นแรงพอ ๆ กับนาง ไม่นานเขาก็หันมากระซิบอีกครั้ง
“เหมือนว่าข้าจะเตือนท่านแล้วว่าอย่าดิ้นเพราะหวังจื่ออาจจะตกใจได้แต่ดูแล้วท่านน่าจะตกใจง่ายกว่าเจ้าหวังจื่อนี่อีกนะ…หงหลินซิน”
ห้องอาบน้ำ “มาแล้ว ๆ อวี้หยวนเจ้าอย่าเล่นขี้โกงมานี่เลยยังไม่ได้ขัดหลังเดี๋ยวท่านแม่จะบ่นเอาได้นะมานี่เร็ว ๆ เข้าพ่อจะขัดหลังให้”“ท่านพ่อเบา ๆ ขอรับ แม่นมชอบใช้บวบนั่นมาขัดให้ข้ามันเจ็บมากแต่ข้าก็อดทน แม่นมหลงบอกว่ามันจะทำให้คราบไคลที่สกปรกออกไปได้”“แม่นมพูดถูกต้องแล้ว พ่อรับปากว่าจะทำเบา ๆ”“แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ท่านแม่อาบน้ำให้ข้าจะเบามือมากกว่านี้เยอะเลย ข้าอยากจะอาบน้ำกับท่านแม่อีกขอรับ”มือของอวี้หานชะงักไปเล็กน้อยและหันไปมองหน้าลูกชายที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำและลอยของเล่นในสระกว้างแต่ไม่ทันสังเกตแววตาตึงเครียดของบิดาที่มองมาที่เขา“เจ้า... เคยให้ท่านแม่อาบน้ำให้งั้นหรือ”“ขอรับ”“แล้วนางอาบกับเจ้านานหรือไม่”“ก็นานนะขอรับ”“แล้วแม่ของเจ้า…”“ท่านแม่ทำไมหรือขอรับ”“แม่ของเจ้าถอดชุดหรือไม่ตอนที่อาบน้ำให้เจ้า”“ถอดขอรับ นางสวมเพียงชั้นในและอาบน้ำให้ข้า”“ตอนไหน”“ก็ตอนที่ท่านพ่อไปประชุมในวังหลวง”“กี่ครั้ง”“ก็… บ่อยอยู่นะขอรับ ท่านพ่อ…ท่านถามเช่นนี้ทำไม โอ๊ย!!”“อวี้หยวน! เจ้าเป็นผู้ชายนับจากนี้ไปนอกจากแม่นมและข้าเจ้าห้ามอาบน้ำกับท่านแม่ของเจ้าอีกเข้าใจหรือไม่”“ทำไมเล่าข
ห้าเดือนถัดมา หงหลินซินคลอดลูกชายได้เกือบสองเดือนแล้วเมื่อท่านอ๋องส่งข่าวมาให้จินอวี้หานทราบว่ากำลังจะเดินทางมาเยี่ยมพวกเขาที่เมืองหลวง ตอนนางคลอดจำได้ว่าองค์รัชทายาทกับพระชายามาเยี่ยมพร้อมกับมอบหยกประดับและดาบที่ทำจากทองเล็ก ๆ มามอบให้เป็นของรับขวัญหลานชาย“ไหน หลานข้าเล่าอยู่ที่ใด”“ท่านพ่อพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หลินซินกำลังให้นมอยู่ข้างใน”“งั้นหรือ เหนื่อยเจ้าแล้วนะอวี้หาน เห็นบอกว่าเจ้าตัวเล็ก “อวี้หยวน” ตัวแสบร้องกวนทั้งคืนแล้วยังไม่ยอมอยู่ห่างอกมารดาด้วยงั้นหรือ แม่นมสามคนก็เอาไม่อยู่ช่างร้ายกาจจริง ๆ”“พ่ะย่ะค่ะติดแม่เอาเรื่องเหมือนกัน กว่าที่หลินซินจะได้พักก็ตอนที่อวี้หยวนหลับพ่ะย่ะค่ะ”“เลี้ยงยากเอาการเหมือนเจ้าเลยนะนี่ ตอนที่จินฮูหยินคลอดเจ้าออกมาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นหล่าจินน่ะต้องวิ่งเต้นหาหมอและแม่นมมาช่วยนาง เฮ้อ… มาตอนนี้ดูแล้วลูกชายจะได้เจ้ามาเต็ม ๆ เลยนะ เพราะตอนที่ซินเอ๋อร์คลอดนางแทบจะไม่กวนมารดาของนางเลย”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าน่ะอยู่เห็นเจ้าคลอด ตอนนั้นเหล่าจินรีบกลับมาที่จวนเพราะทราบว่าฮูหยินคลอดบุตรชาย ตัวเจ้ากลมเหมือนแป้งทำขนม พวกเร
หลังจากเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปกว่าสามเดือน ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งองค์ชายสี่ “หมิงหรงผิงจวิ้น” ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแห่งชิงโจว หลังจากนั้นก็เริ่มให้องค์รัชทายาทดูแลเรื่องราชกิจบ้านเมืองและมอบตราพยัคฆ์ซึ่งเดิมทีเป็นของแม่ทัพจ้าวหนานเซิ่ง กลับมาให้องค์รัชทายาทดูแล “พระชายาซ่างกวนฉินเลื่อนยศเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนแม่ทัพซ่างผู้เป็นบิดาก็เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกององครักษ์เกราะขาวแทนองค์รัชทายาท”“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงลดบทบาทหน้าที่ลงไปมากแล้วสินะเจ้าคะ ท่านพี่แล้วท่านเล่าได้เลื่อนยศกับเขาด้วยหรือไม่”“ข้าน่ะหรือ ที่จริงก็อยากเป็นแค่ราชครูเช่นเดิมอยู่หรอกแต่ว่าฝ่าบาทกับท่านพ่อไม่ยอม ดังนั้นจึงต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีแทนใต้เท้าหลี่ที่ขอลาออกไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านเกิด”“ใต้เท้าหลี่ ข้าได้ข่าวว่าเขานำเถ้ากระดูกของหลี่ชิงเหมยกลับซางโจวบ้านเกิดด้วยเห็นว่าจะพาไปฝังที่เดียวกับมารดาของนาง”“ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวเล็กนี่ดิ้นเก่งไม่เบาเลย เมื่อคืนข้าลูบท้องเจ้าดูยังถูกเขาถีบตั้งหลายครั้ง ข้าสงสารเจ้าเหลือเกินแล้วฮูหยิน”“อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ไม่เป็นไรเจ้าค่ะตอนนี้ท่านพ่อก็กลับไปที่หนานหย
จวนราชครู “อาจารย์ท่านจะมาตั้งสำนักอยู่ที่เมืองหลวงจริง ๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าก็ไม่เหงาแล้ว”“แน่นอนนี่เสี่ยวซิน ข้ากับอาจารย์ตกลงกับท่านอ๋องเอาไว้แล้ว จากเมืองหลวงถึงหนานหยางไม่ได้ไกลมากหากว่าเจ้าทะเลาะกับเจ้าศิษย์เขยนั่นเมื่อไหร่ข้าก็จะพาเจ้าหนีกลับหนานหยางได้ทันที”“อะแฮ่ม… พวกเจ้าเสียมารยาทจริง ๆ อาซินเจ้าต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ารออวี้หานอยู่เขาบอกว่าจะพาคนมาพบท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือเสี่ยวซิน”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นอย่างไรพวกเขามาแล้ว เอ๊ะ… สุ่ยเฉียนคงงั้นหรือ”“ใครหรือ”“เอ่อ…”จินอวี้หานและจื่อรุ่ยพาตัวสุ่ยเฉียนคงที่แต่งกายสุภาพด้วยชุดบัณฑิตสีขาวเดินตามพวกเขามาด้านหลัง สร้างความประหลาดใจให้กับหลินซินไม่น้อยเพราะจากนายบำเรอกลายเป็นบัณฑิตเช่นนี้ก็ทำให้สุ่ยเฉียนคงดูดีขึ้นไม่น้อย“นี่อาจารย์เต๋อหราน จากนี้ท่านรับปากว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คอยช่วยดูแลสำนักที่เมืองหลวง”“ข้าน้อยสุ่ยเฉียนคงคารวะท่านอาจารย์เต๋อหราน จากนี้หากว่ามีสิ่งใดสั่งสอนหรือชี้แนะโปรดแนะนำได้เต็มที่ ศิษย์จะตั้งใจศึกษาวิถีแห่งปราชญ์และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางอีกขอรับ”“อืม ดีแล้ว ดียิ่งนักต้าจื่
หลินซินถึงกับยืนไม่อยู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ จินอวี้หานรีบพยุงนางเอาไว้ทันทีแม้ว่าเขาเองก็จะตกใจไม่น้อยไปกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้เช่นกัน“อะไรนะ นางตั้งครรภ์หรือ”"ใช่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจแต่ว่าระหว่างทางนางจะอาเจียนอยู่หลายครั้งแต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ แต่ข้าแยกไปที่อารามหย่งอันจึงได้ให้นางมากับพวกท่านแทนก็เลยไม่ทันได้บอก“ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำร้ายนาง…”“ไม่หลินซิน ท่านไม่ผิดอะไรเลยตลอดจนถึงตอนที่นางตัดสินใจบุตรในครรภ์ของนางยังปลอดภัยอยู่”“ใช่แล้วเสี่ยวซินเจ้าอย่าได้โทษตัวเองเป็นอันขาดนะ เรื่องนี้นางต่างหากที่คิดจะเอาชีวิตเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”“ข้าจะพาท่านกลับไปพักที่จวน”หลินซินทำได้เพียงกอดรอบคอของเขาเอาไว้เพื่อให้จินอวี้หานอุ้มนางกลับไปก่อนจะบอกลาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น อาจารย์และต้าจื่อตามท่านอ๋องกลับไปพักในวังตามคำสั่งของฝ่าบาทพร้อมกับเปิดตำหนักหลวงให้กับสำนักเทียนหลางได้พักผ่อนคืนนี้จวนราชครู “เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่”“ข้าจะพาท่านมาแช่น้ำอุ่นและจิบชาเพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอ อีกอย่างจะได้ทำแผลให้ท่านด้วย”“แผลนี่น่ะหรือ ไม่ได้มากเท่าใดนักหรอกอวี้หานข้าควรจะรู้สึกเช่นไรดี”“เรื่องใดหรือ
ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปที่คุกหลวงแล้ว เหลือเพียงหลี่ชิงเหมยที่ถูกจับอยู่ในรถม้า เสนาบดีหลี่เมื่อเห็นหน้าลูกสาวก็ได้แต่คร่ำครวญเพราะนางบาดเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของข้าล่ะนี่ ผู้ใดทำเจ้ากันเหมยเอ๋อร์”“นางเจ้าค่ะ… นางทำร้ายข้าเจ้าค่ะท่านพ่อ นางช่างร้ายกาจนัก ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ”เสนาบดีหลี่เซินหันไปมองหงหลินซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จินอวี้หานก็เริ่มทำให้เขาเกิดความโกรธขึ้นมา ซึ่งจินอวี้หานรู้ดีและรีบเดินออกมากันเขาเอาไว้“เจ้าหรือ เหตุใดต้องทำร้ายลูกสาวข้า นาง...”“เสนาบดีหลี่!! ฟังข้าพูดก่อนเถอะขอรับ”“ราชครูจิน ท่านคงมิได้เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่คู่หมั้นท่านทำทุกเรื่องหรอกนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพียงเท่านี้เหมยเอ๋อร์ก็ช้ำใจเพราะท่านมามากพอแล้ว”“ท่านเสนาบดีเองก็คงไม่ได้หลงเชื่อทุกสิ่งที่บุตรสาวท่านพูดโดยที่ไม่ฟังความจริงที่เกิดขึ้นหรอกกระมัง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าคนเช่นข้าไม่เคยให้ร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะกับสตรีเช่นนาง”“ข้า…เอ่อ คือว่า…”“ท่านพ่อ!! อย่าไปเชื่อพวกเขา ราชครูจินเองก็ทำร้ายข้าด้วยเช่นกัน”“อะไรนะ ท่าน!”“คุณหนูหลี่เหตุใดท่านไม่พูดให้จบ