10 ปีก่อน รัชสมัยของฮ่องเต้เซียงเหวิน ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียง 5 ปี ณ เมืองหลวงแคว้นต้าเซียง ในยุคที่ดูเหมือนจะสงบสุขร่มเย็น แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในราชสำนัก ไช่ไท่ฟู่ ราชครูผู้ทรงคุณธรรมและเปี่ยมด้วยปัญญา เป็นที่เคารพรักของราษฎรและขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ชีวิตของเขายึดมั่นหลักการแห่งคุณธรรมและความยุติธรรมมาตลอดตั้งแต่รัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไช่ไท่ฟู่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร่ำสอนหลักการปกครองที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นหลัก คำพูดของเขามีน้ำหนักในราชสำนัก การตัดสินใจของเขามักนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและสงบสุขแก่แคว้นต้าเซียง
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศมืดครึ้มอย่างแปลกประหลาดทั้งที่ไม่ใช่ฤดูฝน ทหารจากกรมอาญาจำนวนมากเคลื่อนพลไปล้อมจวนไช่ไท่ฟู่เอาไว้อย่างแน่นหนา เจ้ากรมอาญาเรียกทุกคนในจวนตระกูลไช่มารับราชโองการ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างมามุงดูว่าเกิดอันใดขึ้นที่จวนไท่ฟู่ซึ่งพวกเขาเคารพรัก
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ไช่ไท่ฟู่ที่ได้รับพระเมตตามาตลอดกลับทำให้เราผิดหวังนัก มีหลักฐานมากมายส่งมาให้เราพิจารณา กระทั่งการสืบสวนจบลงทำให้ทราบว่า ไช่ไท่ฟู่แอบติดต่อกับแคว้นศัตรูเพื่อก่อกบฏ เราในฐานะฮ่องเต้ไม่อาจนิ่งดูดาย จึงมอบอำนาจให้เจ้ากรมอาญาประหารไช่ไท่ฟู่ในทันที ส่วนคนในตระกูลให้เนรเทศไปยังชายแดนตะวันตกและยึดทรัพย์ทั้งหมดของจวนไท่ฟู่เข้าคลังหลวง จบราชโองการ”
ไช่เจิ้งผิงผู้เป็นราชครูได้แต่แหงนหน้ามองฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาจนแทบจะไหลริน เขาได้แต่คิดในใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงกล่าวหาเขาที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอดหลายปีได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“กระหม่อมไช่ไท่ฟู่ รับราชโองการ! ฮูหยิน ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ากับลูกต้องลำบาก”
“ฮือ… ท่านพี่… ข้าไม่โทษท่าน ฮึก..” หม่าซูร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเสียใจที่นางต้องมาทนเห็นผู้เป็นสามีกำลังจะถูกประหารไปต่อหน้าต่อตา
ทหารนายหนึ่งประหารไช่ไท่ฟู่ตามราชโองการ เสียงร้องไห้และหวีดร้องอย่างหวาดกลัวดังไปทั่วทั้งจวนตระกูลไช่ พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวถูกฆ่าจึงได้แต่ขอความเมตตาจากทหารไม่ให้ทำร้ายคนในตระกูล ถึงแม้จะเห็นว่าผู้นำตระกูลอย่างไช่ไท่ฟู่สิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาแล้วก็ตามที ฮูหยินไช่อย่างหม่าซูจำต้องปลุกปลอบใจตนเองให้เข้มแข็งที่สุดทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม ไช่เหมยฮวาในวัย 8 ขวบกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้นความเสียใจที่ต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รัก
ด้านนอกจวนตระกูลไช่ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างไท่ฟู่ผู้ซื่อสัตย์จะมีแผนก่อกบฏ เสียงพูดคุยดังไปทั่วบริเวณ
“เจ้าว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไปหรือไม่” ชาวเมืองคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าก็คิดว่ามันแปลก คนอย่างท่านไท่ฟู่ที่รักราษฎรมีหรือจะกล้าทำเช่นนั้น”
“น่าสงสารฮูหยินกับลูก ๆ ของท่าน ไม่น่าต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้”
เจ้ากรมอาญาใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงชาวเมือง เพียงแต่เขาเองก็จนใจที่ต้องทำตามหน้าที่ กว่าที่ฝ่าบาทจะออกราชโองการนี้ พวกเขาพยายามหาหลักฐานแก้ต่างให้กับไช่ไท่ฟู่อย่างเต็มกำลัง จนใจที่หลักฐานกลับมีแต่ชี้ความผิดของไช่ไท่ฟู่ ฮ่องเต้จึงได้ตัดสินใจเชื่อคำแนะนำของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเค่อและออกราชโองการนี้มา
“ทหาร! เข้าไปตรวจยึดทรัพย์สินภายในจวนเข้าคลังหลวง ส่วนพวกเจ้าที่เหลืออยู่ให้รอจนกว่าทหารจะนำทรัพย์สินออกมาจนหมด จากนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังชายแดนตะวันตกตามราชโองการ ตอนนี้อย่าได้ส่งเสียงดังและสร้างความวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงต้องสังหารพวกเจ้า” เจ้ากรมอาญาออกคำสั่งอย่างดุดัน
“ฮึก… ท่านแม่.. น้องชายอาการไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ” ไช่เหมยฮวากระซิบบอกมารดาทั้งที่น้ำตายังคงไหลรินอยู่
“ฮือ… ซิวเอ๋อ! เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิลูก ทำใจดี ๆ เอาไว้” หม่าซูลูบหัวลูบตัวบุตรชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้อาการป่วยกำเริบขึ้นมาเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านแม่ ข้าจะไปเอายาของน้องที่ห้องนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวากำลังจะลุกขึ้นแต่กลับถูกมือของมารดาดึงให้นั่งลงเสียก่อน นางจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างกังวล
“เจ้าอย่าเพิ่งไป แม่จะขออนุญาตเจ้าหน้าที่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะลำบาก”
“เช่นนั้นท่านแม่รีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าน้องจะทนไม่ไหว”
“เจ้าดูน้องเอาไว้ แม่จะรีบไปรีบมา” หม่าซูส่งบุตรชายให้บุตรสาวดูแลต่อ
หม่าซูลุกขึ้นไปย่อกายคำนับเจ้ากรมอาญาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี นางรีบเอ่ยปากขออนุญาตให้บุตรสาวไปนำยาของบุตรชายมาให้เขากินและยังชี้บอกให้เจ้ากรมอาญามองดูว่าบุตรชายนางอาการป่วยกำเริบจริง ๆ
“ได้ ข้าอนุญาต แต่ให้นางนำเพียงยาของบุตรชายเจ้ามาได้เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านเจ้ากรมมากเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้ลูกนำอย่างอื่นมานอกจากยา”
หม่าซูเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็รีบไปบอกไช่เหมยฮวาและรับร่างของบุตรชายที่ยังไม่ได้สติกลับมากอดเอาไว้ บ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่นึกสงสารฮูหยินกับคุณหนูและคุณชายที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี จนใจที่พวกเขาเป็นเพียงบ่าวในเรือนจึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้
ไช่เหมยฮวารีบวิ่งไปที่ห้องนอนน้องชายและนำยาในขวดกลับมาป้อนให้น้องชายอย่างทุลักทุเล ด้วยว่าตอนนี้ไช่ซิวนั้นสลบไปเสียแล้ว นางได้แต่บีบนวดตัวให้น้องชายได้สติขึ้นมาหลังได้รับยา
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทหารที่ค้นหาทรัพย์สินในจวนไท่ฟู่แปลกใจไม่น้อยที่ในจวนนี้แทบจะไม่มีของมีค่าใดอยู่เลย เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเอ่ยออกมาให้ตนเองเดือดร้อนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
“รองหัวหน้ากุ่ย เจ้านำทหารสิบนายพาคนทั้งหมดออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกทันที นี่เป็นเงินค่าใช้จ่ายระหว่างทาง รีบไปเสีย” เจ้ากรมอาญามอบตั๋วแลกเงินให้กับรองหัวหน้ากุ่ยหนึ่งร้อยตำลึงเป็นค่าเดินทางไปกลับ
“ขอรับท่านเจ้ากรม พวกข้าจะรีบไปรีบกลับขอรับ” กุ่ยเฟิงรับตั๋วแลกเงินมาเก็บไว้แล้วเลือกทหารคนสนิทอีกสิบคนให้ไปคุมตัวคนในตระกูลไช่ออกเดินทางทันที
เจ้ากรมอาญามองส่งกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกจากจวนตระกูลไช่ไปอย่างกังวลไม่น้อย ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าภายในจวนแทบไม่มีของมีค่าเลยสักชิ้น นี่จะใช่ตระกูลที่คิดก่อกบฏจริงหรือ? ตอนนี้เขาได้แต่ต้องกลับไปรายงานฝ่าบาทตามจริง
ข่าวเรื่องไช่ไท่ฟู่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่นาน องค์ชายรองอย่างเซียงเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของไช่ไท่ฟู่ไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย พระองค์คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้พระองค์มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้นจึงไม่อาจก้าวก่ายราชกิจของเสด็จพ่อได้ องค์ชายรองคิดถึงเด็กหญิงผู้ร่าเริงและเฉลียวฉลาดซึ่งเป็นบุตรสาวไช่ไท่ฟู่ พระองค์ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
การเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกเป็นไปอย่างยากลำบาก มีใครไม่รู้บ้างเล่าว่าที่นั่นเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น อีกทั้งชายแดนตะวันตกยังแห้งแล้งมากมาตลอดหลายปี แม้แต่ขุนนางที่นั่นยังต้องไปหาซื้อเสบียงยังต่างเมืองเพื่อเลี้ยงดูชาวเมืองมาหลายปี เงินจากราชสำนักยังถูกยักยอกระหว่างทางอยู่ทุกปี ทำให้ราษฎรในพื้นที่แถบนั้นต่างอดอยากปากแห้งและล้มตายจากความอดอยากเป็นจำนวนมากแทบทุกปี
สามเดือนต่อมา
กุ่ยเฟิงมาถึงเมืองชายแดนตะวันตกและส่งมอบนักโทษให้เจ้าเมืองพาพวกเขาไปหาที่อยู่ตามราชโองการ เขายังกำชับไม่ให้ทำร้ายคนเหล่านี้ด้วยเพราะตนเองก็นับถือไช่ไท่ฟู่มาตลอดหลายปี ยิ่งลูก ๆ ของไท่ฟู่ซึ่งยังเด็กนัก เขาเกรงว่าหากมีคนมารังแกฮูหยินกับลูก ๆ จะทำให้เหล่าขุนนางและบัณฑิตที่นับถืออดีตไท่ฟู่ไม่พอใจได้
งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้นขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ทั้งหมดกล่าวพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่เสียงดังไปทั่วทั้งจวน“พวกเจ้าอย่าทำให้ลูกสาวข้าตกใจสิ นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ อิงฮวาตามพ่อกับแม่ไปดูเรือนของเจ้ากัน พ่อสั่งคนให้จัดการเอาไว้อย่างดีเลย”“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากลับไปทำงานกันเถอะ ข้าจะพาลูกไปดูห้องของนางเอง ของที่ซื้อมาบนรถม้าก็นำไปให้คุณหนูที่เรือนด้วยเล่า” หม่านเซียงบอกทุกคนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยิน” ทุกคนยิ้มรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอิงฮวาเดินตามหลังท่านอาทั้งสองที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ของนางไปอย่างช้า ๆ นางมองดูจวนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่คิดว่าหลังจากอยู่หมู่บ้านเปียนจิ่วมานาน นางจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในจวนที่สุขสบายไม่ต่างจากครั้งยังเด็กอีกครั้งเรือนของอิงฮวาอยู่ติดกับเรือนหลัก ขนาดเรือนหลังนี
สามวันต่อมาวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า&r
10 ปีต่อมาไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให
ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อ
“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง“พว