“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ
“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน
“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจ
ไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง
“พวกเราไปดูป่าด้านนี้กันเถิดเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะมีอาหารให้เราพอเก็บเกี่ยวบ้าง”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ คุณหนู” บ่าวไพร่รีบกล่าวรับคำทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าคุณหนูพวกเขารู้ได้อย่างไร แต่พวกเขาเชื่อใจคุณหนูของตนเองซึ่งอ่านตำรามาตั้งแต่ยังเล็ก
ไช่เหมยฮวาเดินนำไปเกือบสองเค่อ ก่อนที่นางจะเห็นใบเผือกแห้งตายเป็นบริเวณกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มน้อย ๆ ค่อย ๆ กว้างขึ้นบนใบหน้าของเด็กหญิงวัย 8 ขวบอย่างอดไม่ได้ นางรีบหันไปบอกทุกคนที่ตามมาอย่างร่าเริง
“พวกท่านมาดูนี่เจ้าค่ะ ข้าจะขุดให้ดูว่าเผือกในดินสามารถนำไปย่างหรือต้มกินได้”
ไช่เหมยฮวานั่งลงและใช้เสียมเล็กที่เตรียมมาขุดรอบ ๆ ใบเผือกอย่างไม่เร่งร้อนเพราะกลัวว่าเสียมจะทำให้หัวเผือกของนางเสียหาย บ่าวไพร่ต่างเข้ามารุมดูว่าคุณหนูของพวกเขากำลังขุดสิ่งใดในดินที่แห้งแล้งตรงหน้า
ไช่เหมยฮวาค่อย ๆ ขุดจนดินที่แข็งเริ่มร่วนซุย จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงหัวเผือกขึ้นมาจากดินให้ทุกคนดูพร้อมรอยยิ้ม
“พวกพี่เห็นใบเผือกแห้งนี้หรือไม่เจ้าคะ หากเจอใบแบบนี้ให้ขุดรอบ ๆ อย่างระวังแล้วค่อยดึงหัวเผือกออกมาเจ้าค่ะ ห้ามกินดิบเด็ดขาดนะเจ้าคะ หากไม่มีน้ำให้ต้มก็ใช้วิธีย่างไฟเอา ก่อนลงเขาเราหาฟืนกลับไปด้วยก็ใช้ได้แล้ว”
“ว้าว คุณหนูมีความสามารถจริง ๆ เจ้าค่ะ พวกเรารีบช่วยกันขุดเร็วเข้า” เสี่ยวหลิวปรบมือเปาะแปะพร้อมกับชมคุณหนูของนางยกใหญ่ ตอนนี้พวกนางมีความหวังในการใช้ชีวิตบนพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้แล้ว
ลุงปันแย้มรอยยิ้มบางออกมาและสั่งชายหนุ่มที่มาด้วยกันกระจายตัวออกตามหาใบเผือกตามที่คุณหนูบอก พวกเขาก้มหน้าก้มตาขุดเผือกออกมาได้คนละเกือบครึ่งตะกร้าในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ถึงแม้จะดูช้าไปบ้างเพราะดินที่แห้งแข็ง แต่เมื่อพวกเขาเห็นหัวเผือกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่พอจะใช้ประทังชีวิตตรงหน้า กำลังใจของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอีกโข
ไช่เหมยฮวามองดูบ่าวไพร่ที่ขุดเผือกได้มากกว่าตัวเองก็ไม่คิดอะไรมาก นางรู้ดีว่าเรี่ยวแรงของเด็กอย่างนางขุดเผือกขึ้นมาได้หลายหัวก็นับว่าไม่เลวแล้ว เมื่อได้หัวเผือกสิบกว่าหัว ไช่เหมยฮวาก็เดินผ่านทุกคนเข้าไปยังพื้นที่ด้านในป่าต่อเผื่อว่านางจะพบอาหารอีก เพราะความชื้นที่นางสัมผัสได้เล็กน้อย อาจทำให้นางหาแหล่งน้ำเพื่อประทังความหิวโหยของทุกคนได้ นางรู้ดีว่าน้ำนั้นสำคัญต่อการใช้ชีวิตมากแค่ไหน หากไม่มีน้ำกินจริง ๆ ภายในเวลาไม่กี่วัน ทุกคนคงอดตายเป็นแน่
ไช่เหมยฮวาเดินลึกเข้าไปเกือบครึ่งชั่วยาม กระทั่งถึงบริเวณที่นางสัมผัสได้ถึงความชื้นที่มากกว่าด้านนอกทางเดินที่ผ่านมา ไช่เหมยฮวามองภาพตรงหน้าก็เห็นเพียงลำธารแห้งขอดและซากปลาตายเกลื่อนจนเหลือแต่กระดูกเต็มไปหมด ความสิ้นหวังเริ่มกัดกินใจดวงน้อย ๆ ของไช่เหมยฮวา แต่ด้วยนางเป็นคนไม่ย่อท้อ ร่างเล็กของไช่เหมยฮวาจึงเดินไปยังใจกลางลำธารเพื่อสำรวจดูว่าพอจะมีตาน้ำให้นางขุดลงไปบ้างหรือไม่ อย่างน้อยนางก็ยังมีหวังอยู่ว่าจะสามารถหาแหล่งน้ำสักแห่งหนึ่งเพื่อให้ทุกคนนำไปดื่มกินประทังความหิวได้
บ่าวไพร่ที่กำลังขุดเผือกไม่รู้เลยว่าคุณหนูของพวกเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าที่ลุงปันจะรู้ว่าคุณหนูไม่อยู่แล้วก็เป็นตอนที่พวกเขานั่งพักเหนื่อยหลังจากขุดเผือกนานถึงสองชั่วยาม
“มีใครเห็นคุณหนูบ้างหรือไม่?” ลุงปันตะโกนถามหนุ่มสาวที่มาด้วยกันเสียงดัง
“ข้าไม่เห็นนะท่านลุง” เสี่ยวหลิวที่ขุดเผือกเพลินจนลืมดูแลคุณหนูร้องบอก
“ข้าก็ไม่เห็นขอรับท่านลุง” คนอื่น ๆ หันรีหันขวางตอบกลับเสียงดัง
“แย่แล้ว! ไม่รู้ว่าคุณหนูจะเป็นอะไรไปหรือไม่ พวกเรารีบแยกย้ายกันออกตามหาคุณหนูเร็วเข้า ระหว่างทางก็เก็บฟืนใส่ตะกร้าไปด้วยเล่าจะได้ไม่เสียเที่ยว” ลุงปันสั่ง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านลุง” ทุกคนรับคำแล้วรีบแยกย้ายกันตามหาทันที
ไช่เหมยฮวาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนร้อนรนใจเพียงใด นางกำลังขุดตาน้ำที่มีอากาศผุดออกมาตรงหน้าอย่างขะมักเขม้นจนลืมเวลา จากรูอากาศเล็ก ๆ ที่นางสัมผัสถึงความชื้นได้ ตอนนี้นางขุดหลุมกว้างถึงหนึ่งวาและค่อย ๆ ขุดลึกลงไปเรื่อยจนเริ่มมีน้ำผุดออกมาแล้ว ยิ่งเห็นน้ำซึมออกมาจากหลุมที่ขุด ไช่เหมยฮวาก็ยิ่งเร่งมือขุดให้ลึกมากขึ้น นางมั่นใจว่าที่แห่งนี้จะต้องกลายเป็นบ่อน้ำธรรมชาติได้แน่หากนางขุดมันให้ลึกลงไปอีกสักหลายจั้ง
สองชั่วยามผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในที่สุดไช่เหมยฮวาก็สามารถขุดบ่อน้ำเล็ก ๆ ขึ้นมาได้จริง ๆ ถึงแม้ตอนนี้นางจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและนั่งหอบอยู่ด้านข้างก็ตามที แต่น้ำที่นางลองชิมดูกลับทำให้ไช่เหมยฮวาสดชื่นขึ้นเป็นกอง นางนั่งพักอยู่ตรงนั้นนานถึงสองเค่อ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากที่ไกล ๆ ไช่เหมยฮวาจึงนึกได้ว่าตนเองไม่ได้บอกใครก่อนมา ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงนางแย่แล้ว
“ข้าอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ!!!” ไช่เหมยฮวารีบร้องตอบกลับเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสี่ยวเฉาได้ยินเสียงคุณหนูของเขาก็รีบร้องเรียกสหายที่ตามหาอยู่ไม่ไกลให้ไปส่งข่าวบอกคนอื่น ๆ ว่าคุณหนูอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ก่อนที่เขาจะวิ่งไปยังบริเวณที่ได้ยินเสียงคุณหนูของเขาอย่างรวดเร็ว
“แฮ่ก ๆ คุณหนูไม่เป็นอะไรนะขอรับ” เสี่ยวเฉามองสำรวจคุณหนูของเขา
“ข้าไม่เป็นอะไรพี่เสี่ยวเฉา ขอโทษที่ไม่ได้บอกพวกท่านก่อนเจ้าค่ะ”
“คุณหนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ แล้วคุณหนูมาที่นี่คนเดียวทำไมกัน”
“พี่ดูสิว่านั่นอะไร” ไช่เหมยฮวาชี้นิ้วเล็ก ๆ ไปยังบ่อน้ำบ่อน้อยของนางพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้
“โอ้ นั่นมันน้ำนี่นา คุณหนูขุดขึ้นมาเองหรือขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะ หากพี่เสี่ยวเฉายังพอมีแรงอยู่ ข้ารบกวนพี่ช่วยขุดให้กว้างและลึกกว่านี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่าน่าจะมีน้ำมากพอให้พวกเรานำกลับลงไปใช้กินได้บ้าง”
“ได้ขอรับคุณหนู ท่านพักผ่อนก่อน ข้าจะขุดต่อเอง” เสี่ยวเฉาวางตะกร้าเอาไว้ข้างที่นั่งพักของไช่เหมยฮวาก่อนจะลงมือขุดด้วยเสียมเล็ก ๆ ของนาง
งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้นขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ทั้งหมดกล่าวพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่เสียงดังไปทั่วทั้งจวน“พวกเจ้าอย่าทำให้ลูกสาวข้าตกใจสิ นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ อิงฮวาตามพ่อกับแม่ไปดูเรือนของเจ้ากัน พ่อสั่งคนให้จัดการเอาไว้อย่างดีเลย”“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากลับไปทำงานกันเถอะ ข้าจะพาลูกไปดูห้องของนางเอง ของที่ซื้อมาบนรถม้าก็นำไปให้คุณหนูที่เรือนด้วยเล่า” หม่านเซียงบอกทุกคนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยิน” ทุกคนยิ้มรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอิงฮวาเดินตามหลังท่านอาทั้งสองที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ของนางไปอย่างช้า ๆ นางมองดูจวนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่คิดว่าหลังจากอยู่หมู่บ้านเปียนจิ่วมานาน นางจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในจวนที่สุขสบายไม่ต่างจากครั้งยังเด็กอีกครั้งเรือนของอิงฮวาอยู่ติดกับเรือนหลัก ขนาดเรือนหลังนี
สามวันต่อมาวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า&r
10 ปีต่อมาไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให
ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อ
“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง“พว