ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย
“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”
“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย
“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”
“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”
สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อย่างน้อยก็ยังมีถังใส่สักหน่อยก็ไม่เลวนัก
ไช่เหมยฮวาที่ตัวเล็กที่สุดถูกสั่งให้นั่งพักรออยู่ที่เดิม เพราะลุงปันกลัวว่านางจะหายไปอีกจึงกำชับเอาไว้ ไช่เหมยฮวาจึงได้แต่ลองเดินสำรวจใกล้ ๆ ตาน้ำก่อนหน้านี้เผื่อว่าจะพบกับตาน้ำอีกอัน พวกนางจะได้ขุดตาน้ำเมื่อขึ้นเขาครั้งหน้า
สองชั่วยามต่อมา ลุงปันกับคนอื่น ๆ มีถังและกระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่น้ำที่ขุดได้จำนวนไม่น้อย พวกเขาเร่งมือกรอกน้ำที่ขุดตาน้ำได้ลึกเกือบสองจั้งเพื่อจะได้ไม่ลงจากเขาช้าเกินไป อย่างไรตอนนี้ก็ใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ถึงแม้น้ำที่ขุดมาได้จะไม่ได้มากมายนัก อย่างน้อยพวกเขาก็พอจะมีน้ำกินกันอีกหลายวัน
“คุณหนู พวกเรารีบลงเขากันเถิดขอรับ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะเป็นห่วง น้ำของคุณหนูพวกข้าจะนำไปส่งให้ที่บ้านเองขอรับ” ลุงปันเรียกไช่เหมยฮวาที่ลุกขึ้นพอดี
“เจ้าค่ะลุงปัน ขอบคุณพวกท่านมาก แล้วเรื่องตาน้ำนี่ เราจะบอกชาวบ้านดีหรือไม่เจ้าคะลุงปัน”
“ไม่จำเป็นขอรับ คุณหนูอย่าได้คิดว่าชาวบ้านพวกนั้นเป็นคนดี เมื่อคืนพวกข้าเห็นพวกเขามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนจะมาขโมยเสบียง เรื่องนี้เราปิดไว้ดีกว่าขอรับ”
“จริงหรือเจ้าคะลุงปัน เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีถ้าพวกเขามาปล้นจริง ๆ”
“คุณหนูไม่ต้องกังวล ลุงซู่จัดเวรยามปากทางมาบ้านพวกเราไว้แล้วขอรับ”
“อย่างนั้นคงต้องขอบคุณพวกท่านลุงที่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ เรารีบลงเขากันดีกว่า ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่กับน้องชายระวังตัวเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
ลุงปันพยักหน้ารับคำไช่เหมยฮวา จากนั้นพวกเขาต่างช่วยกันแบกสิ่งของลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ไช่เหมยฮวาจะตัวเล็กกว่าเพื่อน แต่ตอนลงเขานับว่าไม่กินแรงนางนัก ไช่เหมยฮวาวิ่งเหยาะ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของทุกคน บรรดาบ่าวที่มาต่างอมยิ้มกับความน่ารักของคุณหนูพวกเขา ไม่ว่าตอนนี้ชีวิตจะลำบากมากเพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความหวังอยู่เมื่อเห็นความสามารถของคุณหนู
ผู้ใหญ่บ้านเปียนจิ่วกับครอบครัวกลับมายังหมู่บ้านพร้อมทหารจำนวนหนึ่ง พอท่านเจ้าเมืองทราบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนแต่เป็นคนเห็นแก่ตัว ท่านเจ้าเมืองจึงกลัวว่าครอบครัวอดีตไท่ฟู่จะถูกรังแก เขาจึงสั่งการให้ทหารมาประจำการที่หมู่บ้านเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด
ชาวบ้านพอรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านพาทหารมาจริง พวกเขาต่างไม่พอใจอย่างมาก เพียงแต่ทุกคนก็กลัวว่าตนเองจะถูกส่งเข้าคุก ชาวบ้านจึงไม่กล้าก่อเรื่องอีก
หกเดือนต่อมา
ไช่เหมยฮวาที่ขยันขึ้นเขาหาเสบียงมาตลอดพร้อมกับทุกคนที่มาจากจวนเก่าของนางจนไม่ต้องอดอยากมากอย่างที่คิดในวันที่มาถึงครั้งแรก ขณะที่นางกำลังจะไปชวนพวกเขาขึ้นเขาอีก ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มและมีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นไปทั่วหมู่บ้าน ไช่เหมยฮวาเงยหน้ามองฟ้าแล้วก็พบว่าฝนน่าจะตกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นางแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาและนำตะกร้าสะพายหลังใบเก่าไปเก็บทันที
“ท่านแม่!! ฝนกำลังจะตกแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไม่ต้องขึ้นเขาไปหาน้ำแล้ว” ไช่เหมยฮวาตะโกนบอกมารดาเสียงดัง
“โอ้ ขอบคุณสวรรค์ จากนี้พวกเราคงไม่อดอยากกันอีกแล้วสินะ” หม่าซูเงยหน้ายกมือไหว้ท้องฟ้าอย่างซาบซึ้ง ในที่สุดพวกนางก็ไม่ต้องลำบากหาน้ำอีกแล้ว
“ว้าว ฝนตก ๆ พี่ใหญ่จะได้พักผ่อนบ้างแล้วนะขอรับ” ไช่ซิวร้องบอกออกมา
“ฮ่า ฮ่า พี่สาวเจ้าไม่เหนื่อยเลยสักนิดนะซิวเอ๋อ การขึ้นเขาก็ถือเป็นเรื่องดีที่เราจะได้หาเสบียงอาหารมาเพิ่มให้เจ้าอย่างไรเล่า” ไช่เหมยฮวาลูบหัวน้องชายพร้อมรอยยิ้ม
“น้องชายเจ้าเป็นห่วงเจ้ามาตลอดนะฮวาเอ๋อ เจ้าขึ้นเขาแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย”
“พวกท่านไม่ต้องห่วงข้า มีพวกท่านลุง ท่านพี่ทั้งหลายไปด้วย พวกเขาต่างหากที่น่าจะเหนื่อยมากกว่าข้าเจ้าค่ะ”
“อืม แม่เข้าใจ วันหน้าหากพวกเราลืมตาอ้าปากได้ เจ้าอย่าได้ลืมบุญคุณของพวกเขานะฮวาเอ๋อ ซิวเอ๋อก็ด้วย หากทำสิ่งใดตอบแทนได้ก็ช่วยพวกเขาให้เต็มที่”
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ” สองพี่น้องรับคำมารดาเสียงดัง
ในหมู่บ้านพอเห็นว่าฝนจะตกจริง ๆ ทุกคนต่างโห่ร้องเสียงดังอย่างดีใจ ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องอดน้ำกันอีกแล้ว ไม่ว่าฝนครั้งนี้จะตกมากหรือน้อย อย่างไรก็ช่วยพวกเขามีน้ำกินประทังชีวิตไปได้อีกหลายวัน เพราะชาวบ้านไม่มีใครอยากขึ้นเขาถึงแม้จะเห็นคนนอกที่ย้ายมาขึ้นเขากันมาตลอดก็ตามที ด้วยความเกียจคร้านและเห็นแก่ตัว ทุกคนเพียงคิดอยากแย่งชิงอาหารจากพวกเขาเท่านั้น จนใจที่มีทหารคอยเฝ้าดูแลอยู่ ชาวบ้านเหล่านั้นจึงทำได้เพียงตักน้ำแห้งขอดจากบ่อของตัวเองผสมดินขึ้นมากินพอให้ประทังชีวิตไปได้เท่านั้น
เจ้าเมืองและทุกคนในเมืองต่างดีใจไม่แพ้เหล่าชาวบ้านรอบนอก พวกเขาได้แต่ขอบคุณสวรรค์ที่ประทานน้ำฝนมาให้พวกเขาได้เก็บไว้กินใช้ ไม่ว่าฝนจะมีปริมาณมากน้อยเพียงใดก็ช่าง อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องหาเงินไปซื้อน้ำจากเมืองอื่นมากินใช้อีกต่อไปแล้ว
ฝนในครานี้ตกต่อเนื่องนานถึงเจ็ดวันกว่าที่จะซาลง ทำให้น้ำในลำธารที่เคยแห้งขอดและบ่อน้ำที่แห้งไปนานแล้วมีน้ำเต็มขึ้นมาในคราเดียว ภูเขาหลังหมู่บ้านที่เคยแห้งแล้งก็ดูดีขึ้นมากเช่นกัน ทุกคนได้แต่ภาวนาว่าจะมีพืชผลให้พวกเขาขึ้นเขาไปหากินได้บ้างในอนาคต
สามเดือนต่อมา
ไช่เหมยฮวากับน้องชายที่เก่งด้านการประดิษฐ์ได้สร้างสิ่งของแปลก ๆ เพื่อนำไปขายในเมือง โดยพวกเขาใช้ไม้จากภูเขามาช่วยกันทำออกมาหลายสิบชิ้นในเวลาแค่ไม่กี่เดือน เพราะไช่ซิวนั้นถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่ความสามารถด้านการประดิษฐ์ของเขานับเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิด เรื่องนี้มีเพียงบิดา มารดาและพี่สาวของเขาเท่านั้นที่รู้ ด้วยเกรงว่าน้องชายจะถูกคนใช้ประโยชน์ พวกเขาจึงปิดบังเรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ว่าไช่ซิวมีพรสวรรค์เช่นนี้
หลังจากที่ฝนเริ่มตกลงมาเมื่อหลายเดือนก่อน ซู่หยงก็นำเงินที่เก็บซ่อนเอาไว้ก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวงไปหาซื้อเมล็ดผักมาแจกจ่ายทุกคนเพื่อปลูกไว้กินเป็นอาหารและนำไปขายเมื่อมันโตเต็มที่ ทำให้พวกเขาพอจะมีรายได้เข้ามาบ้าง บ่าวคนอื่นที่มีความสามารถก็ช่วยกันรับจ้างปักผ้าและออกไปรับจ้างในเมืองเช่นกัน พวกเขาหากมีอาหารดี ๆ ก็ไม่ลืมที่จะนำไปให้ฮูหยินกับลูก ๆ ทั้งที่นางไม่กล้ารับแต่ก็ถูกพวกเขาบังคับให้รับไปอยู่ดี
อดีตบ่าวไพร่ทำเช่นนี้เพราะสำนึกในบุญคุณของไช่เหมยฮวาที่พาคนในครอบครัวพวกเขาขึ้นเขาไปหาอาหารในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนไม่ต้องอดอยากอย่างที่คิดตอนมาถึงหมู่บ้านเปียนจิ่วคราแรก
งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้นขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ทั้งหมดกล่าวพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่เสียงดังไปทั่วทั้งจวน“พวกเจ้าอย่าทำให้ลูกสาวข้าตกใจสิ นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ อิงฮวาตามพ่อกับแม่ไปดูเรือนของเจ้ากัน พ่อสั่งคนให้จัดการเอาไว้อย่างดีเลย”“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากลับไปทำงานกันเถอะ ข้าจะพาลูกไปดูห้องของนางเอง ของที่ซื้อมาบนรถม้าก็นำไปให้คุณหนูที่เรือนด้วยเล่า” หม่านเซียงบอกทุกคนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยิน” ทุกคนยิ้มรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอิงฮวาเดินตามหลังท่านอาทั้งสองที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ของนางไปอย่างช้า ๆ นางมองดูจวนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่คิดว่าหลังจากอยู่หมู่บ้านเปียนจิ่วมานาน นางจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในจวนที่สุขสบายไม่ต่างจากครั้งยังเด็กอีกครั้งเรือนของอิงฮวาอยู่ติดกับเรือนหลัก ขนาดเรือนหลังนี
สามวันต่อมาวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า&r
10 ปีต่อมาไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให
ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อ
“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง“พว