โฉมสครวญเดินหันหลังลงจากเขาหลังจากร่ำลาผู้คนเสร็จ
วันนี้นางแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง หากแต่สีของอาภรณ์ก็มิเคยเป็นสีอื่นใดนางจากสีแดง
ไม่แดงสดก็แดงเลือดหมู มีเพียงแค่สีเหล่านี้ที่เยว่อันหนิงสวมใส่แล้วรู้สึกมีพลัง แม้จะเป็นตอนทำภารกิจ นางยังสวมใส่สีแดงไว้ด้านในและทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านนอก
การเดินทางลงจากเขาแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก คนในเท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงกับดักที่หุบเขาไร้เงาทำเอาไว้ได้ แต่ก็มักจะมีสมาชิกบางคนเผลอเรอลืมจุดตั้งกับดักจนพลาดท่าถูกทำร้ายมาแล้วก็มีมากเช่นกัน
เยว่อันหนิงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตากิ่งก้านของต้นไม้จากกิ่งนี้ไปต้นนั้น จวบจนนางผ่านกับดักทุกด่านและลงเขาได้อย่างปลอดภัย
"เสียงฝีเท้าม้า?"
ครั้นลงจากเขามาได้แค่ครึ่งลี้ หูที่สามารถรับเสียงได้ไกลของเยว่อันหนิงได้ยินเสียงเท้าม้าห่างจากจุดที่นางอยู่ราว ๆ ครึ่งลี้
หญิงสาวจึงเร่งรุดเดินทางไปดักด้านหน้า แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้รกจึงเห็นขบวนม้าเร็วสี่ห้าตัว คนที่คุมบังเหียนบนหลังม้าเหล่านั้นคล้ายทหารหน่วยลาดตระเวนของสักกองทัพ ครั้นพอสายตาแหลมคมเห็นที่ห้อยเอวตัวอักษร 'หลาง' นางก็รู้ในทันทีว่าเป็นของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่ยี่ซูเพิ่งเล่าให้นางฟัง
"เหตุใดทหารของกองทัพแดนประจิมถึงมาอยู่ทางทักษิณนี้ได้"
หว่างคิ้วสวยขมวดแทบจะไร้ช่องว่างขวางกั้น นางใช้สมองอันชาญฉลาดขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"คงมิใช่ว่ารู้ที่ตั้งหุบเขาไร้เงาหรอกนะ"
เยว่อันหนิงมองกลับหลังไปยังเขาลูกที่เพิ่งลงมา หัวใจนางสั่นไหวครู่หนึ่งหากแต่พอตั้งสติได้จึงกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง
ไม่กระมัง แม้ทหารกลุ่มนี้จะคล้ายมาลาดตระเวนแถวนี้ แต่นำคนมาเพียงแค่สี่ห้าคนหมายความว่ากองทัพยังไม่ปักใจเชื่อว่าหุบเขาไร้เงาตั้งอยู่ที่เขาลูกนี้
อีกอย่าง หากคนเหล่านี้มาเพราะหุบเขาไร้เงาของนางคงไม่เดินทางในเวลากลางวันเช่นนี้เป็นแน่
เมื่ออธิบายกับตนเองในใจเสร็จ ทหารม้าเหล่านั้นควบม้าไปไกลนางจนไร้เสียงฝีเท้าม้าแล้วเยว่อันหนิงจึงออกจากที่ซ่อน เร่งเดินทางมาอีกทางเพื่อเข้าสู่เมืองเทียนติ่งที่อยู่ห่างจากเขาลูกนี้ถึงห้าสิบลี้
อีกด้าน
ม้าเร็วสี่ห้านายควบม้าจากเมืองเทียนติ่งมายังที่ตั้งลับของกองทัพเขี้ยวหมาป่า พวกเขาคือกลุ่มเดียวกับที่เยว่อันหนิงพบเจอเมื่อครู่
"หยุด!"
เสียงทหารหนึ่งในห้าส่งเสียงห้ามม้าที่ตนคุมบังเหียนอยู่หยุดหน้าค่ายของกองทัพ ตามด้วยทหารที่เหลือค่อย ๆ ลงจากหลังม้าเดินเท้าเข้าไปยังกระโจมหนึ่งที่ตั้งอยู่ลึกเข้ามาสองหลัง
"จื่อเชว่มาถึงแล้วขอรับ"
เสียงทหารคนเดิมที่ถึงค่ายก่อนผู้อื่นดังขึ้นเพื่อรายงานตัวกับคนที่อยู่ในกระโจม
"เข้ามาได้ ท่านแม่ทัพน้อยรออยู่"
เสียงรองแม่ทัพซ่างฮ้วนตะโกนบอกผู้มาใหม่
"ได้ข่าวอันใดบ้าง"
ทันทีที่จื่อเชว่ศิษย์คนสนิทของซ่างฮ้วนที่เขาฝึกลับคมเองมากับมือเดินเข้ามา ผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาจึงรีบไตร่ถาม
"ทางท่านเสนาบดีตุลาการมิได้มีความเคลื่อนไหวอันใด มีเพียงเรื่อง..."
จื่อเชว่เสียงขาดห้วง เขาใคร่ครวญว่าจะรายงานต่อดีหรือไม่
"มีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าลำบากใจไม่กล้ารายงานต่อ"
ครั้งนี้เป็นเสียงของบุรุษผู้สง่างาม ใบหน้าเขาไร้ที่ติราวกับภาพวาดของเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ คิ้วที่ดกหนาสีดำราวขนนกเรียงเส้นสวยงามรับกับจมูกที่สันคมกริบบ่งบอกว่าเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่น้อย ริมฝีปากหยักลึกยามขยับเอ่ยหากมองแววตาเขาควบคู่ไปด้วยกันยามสนทนาเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าจอมมารผู้เยือกเย็น
"คือว่า..."
จื่อเชว่รู้ดี หากเขารายงานเรื่องนี้ออกไปอีกคนจะต้องตอบสนองด้วยความเย็นชา และนั่นคือสิ่งที่ผู้น้อยอย่างเขาไม่อาจคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้
"จื่อเชว่ เจ้าอย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง หากช้าเพียงนิด ข้าก็มิอาจช่วยปกป้องเจ้าได้"
จื่อเชว่ตัวสั่นเทากับคำขู่ของอาจารย์ที่สอนกระบี่และกลยุทธทหารต่าง ๆ ให้เขา ในที่สุดก็ตัดสินใจรายงานต่อ
"ท่านแม่ทัพใหญ่เฉินให้ข้านำข่าวมาแจ้งแก่ท่านแม่ทัพน้อยล่วงหน้า อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ที่จวนสกุลเฉินจะมีงานมงคลขอรับ"
เส้นเสียงทหารกล้าสั่นเล็กน้อย
ทั้งกองทัพเขี้ยวหมาป่ารู้ดี คำว่า 'งานมงคล' หมายถึงอันใด และถือว่าเป็นคำต้องห้ามไม่ให้เอ่ยต่อหน้าแม่ทัพน้อยเฉินเจียนหลางผู้นี้
"งานมงคล หึ!"
หากแต่ครั้งนี้ผู้ที่เคยสร้างกฎไว้กลับไม่มีปฎิกิริยาใด ๆ กับสิ่งที่จื่อเชว่รายงาน ทำเอาทหารผู้น้อยเช่นเขาลอบมองซ่างฮ้วนเพื่อขอความช่วยเหลือให้ออกหน้าถามหรือพูดอันใดต่อจากประโยคสั้น ๆ ห้วน ๆ ของแม่ทัพน้อยเฉินเจียนหลางที
"เป็นบุตรีจวนใด"
หากแต่ยังไม่ทันมีผู้ใดต่อประโยคของเขา เฉินเจียนหลางก็เป็นฝ่ายชวนคุยต่อด้วยเสียงเรียบเฉยแทน
"ป...เป็นคุณหนู จ...จวนมู่ขอรับ"
พยายามข่มเสียงมิให้สั่นแต่จื่อเชว่ก็หวาดกลัวจิตใจคนตรงหน้าจนมิอาจควบคุมเส้นเสียงให้นิ่งได้ มือที่ประสานกันยามรายงานถึงกับสั่นจนยกค้างระดับอกไม่อยู่
"จวนสกุลมู่ บุตรีของเขาคือผู้ใด"
แววตาเย็นชาแสนลึกลับมิอาจคาดเดาความคิดเจ้าของแววตาคู่นี้ได้สบตาสหายสนิทหรือรองแม่ทัพอย่างซ่างฮ้วนทันที
"หากข้าจำมิผิด จวนสกุลมู่มีบุตรีเพียงแค่คนเดียวคือ มู่อานจิ่ว"
หึ สมแล้วที่เป็นมือเท้าให้กับเขา ขนาดเรื่องชื่อแซ่สตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจทหารซ่างฮ้วนยังมีความรู้เลย
"เจ้าขันข้ารึ"
เพราะเติบโตมาด้วยกัน ร่ำเรียน กิน นอน ฝึกเพลงกระบี่ ตัวติดกันแทบจะสิบสองชั่วยาม สหายผู้นี้แทบจะไม่มีอารมณ์ขันจึงไม่แปลกเลยที่ซ่างฮ้วนจะตกใจกับอารมณ์ที่เฉินเจียนหลางแสดงออกเมื่อครู่
"เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ กลับไปพักก่อนเถอะ"
"ขอบคุณท่านแม่ทัพน้อย ผู้น้อยขอตัว"
จื่อเชว่ร่ำลาเสร็จก็เร่งออกจากกระโจมพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก
"แม่นางเยว่มิได้คิดอันใดข้าพอทราบ แต่บุรุษหากปักใจรักแล้วยากจะตัดใจ"เยว่อันหนิงลอบมองใบหน้ารูปงามของแม่ทัพน้อยที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา"หากศิษย์พี่มาที่นี่ ฝากเจ้าหออี้ส่งข่าวว่าข้าต้องการพบ""ข้าน้อยทราบแล้ว""เช่นนั้นพวกเราขอตัว""เรื่องที่ฝากฝังไว้ ข้าจะรีบส่งข่าวอีกที""ขอบคุณเจ้าหออี้"เยว่อันหนิงส่งสัญญาณตาให้บุรุษเพียงคนเดียวในห้องเดินตามนางออกจากหอเริงรมย์ เฉินเจียนหลางว่าง่ายเขาเดินตามนางออกมาจากในนั้นเงียบ ๆ ราวคนลืมเอาปากมาด้วย"ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่"ครั้นออกมาจากหออี้เฉิงหลันแล้ว เยว่อันหนิงรู้สึกถึงความเงียบที่มีไอเย็นยะเยือกตามหลังมาเลยหยุดเท้าแล้วหันมาเผชิญหน้าถามคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ"หากข้าบอกว่าหึงเล่า"คนที่ไม่เคยหวั่นไหวกับความรักหรือคำหวานถึงกับสะอึก หัวใจที่ไม่คิดจะหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้กลับแกว่งแปลก ๆ จนต้องปั้นหน้าหันหลบตาไปอีกทาง"ข้ากับต้วนอี้เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวในหัว""ถึงเจ้าจะคิด ข้าก็ไม่ยอม""ท่านหมายความเช่นไร""ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ต่อให้หัวใจเจ้าจะอยู่กับผู้อื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด"วาจาหน
หลังจากเข้ามาในห้องประจำที่อี้หลันจัดเจรียมไว้แล้ว เจ้าหออี้ก็พาเยว่อันหนิงปลีกออกมาอีกฝั่งของห้องสี่เหลี่ยมเพื่อไถ่ถามความเป็นมาในวันนี้"เหตุใดท่านถึงมากับแม่ทัพน้อยเฉินได้"การกระซิบถามไม่ได้อยู่นอกสายตาของเฉินเจียนหลางสักนิด หากแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้สตรีสองนางอึดอัดเท่านั้น"เขารู้ตัวตนของข้าหมดแล้ว"อี้หลันถึงกับตกใจกับความจริงที่ได้ยินคราแรกตอนที่นางเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในหอเริงรมย์แห่งนี้ด้วยกันอี้หลันคิดเพียงแค่ว่าเฉินเจียนหลางคงหลงเสน่ห์นางรำจวี๋จื่อเข้าให้ แต่ไม่นึกว่าที่แม่ทัพน้อยเฉินเดินตามก้นนางมาอย่างไม่ให้ห่างกายเช่นนี้เป็นเพราะเขาล่วงรู้ความลับของเยว่อันหนิงเสียแล้ว"เช่นนั้นคงไม่มีอะไรปิดบังเขาอีกแล้ว"เยว่อันหนิงพยักหน้าแทนคำตอบให้อี้หลันจากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพน้อยเฉินที่นั่งจิบน้ำชารอเงียบ ๆ"วันนี้ท่านมาที่นี่ต้องการข่าวอันใดจากหออี้เฉิงหลันของข้า"เจ้าหออี้ที่นับว่าเป็นสตรีงดงามผู้หนึ่งแห่งเมืองเทียนติ่งเอ่ยถามขึ้น"ข้าต้องการให้ท่านดูสิ่งนี้"เยว่อันหนิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เก็บเศษผงบนตัวสายลับเงาของเฉินเจียนหลางยื่นให้อี้หลั
"เดิมทีหญ้าเกสรห้าสีเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจ หาได้ยากนักเพราะมักเกิดอยู่บนเขาลึกที่หนทางซับซ้อนอันตรายรอบด้าน"เฉินเจียนหลางตั้งใจฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้และรอไขคดีคนร้าย"แต่หากนำมาทาอาบไว้บนไม้แก่นกำยานจะกลายเป็นพิษร้ายที่สามารถทำให้คนสิ้นใจอย่างไม่รู้ตัว""เช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกพิษที่มีดสั้นวันนั้นเหตุใดถึงยังรอดมาได้"เยว่อันหนิงค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเอ่ย"เพราะข้ามียาของหมอเทวดาของหุบเขาช่วยชีวิตไว้"พอคิดถึงเรื่องในอดีต เยว่อันหนิงกลับรู้สึกขนชันขึ้นมาทันที หากยามนั้นนางไม่ได้พกยาถอนพิษที่ขจัดพิษได้ทุกชนิดของผู้เฒ่าฝูหนาน ป่านนี้นางคงได้ไปพบบิดาที่ปรโลกแล้ว"เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักฆ่ากลุ่มเดียวกันในวันนั้น"'ไม่ใช่นักฆ่ากลุ่มเดียวกัน หากแต่เป็น 'นาง' เท่านั้น'"ในจวนของท่านมีเกลือเป็นหนอน ตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน"เยว่อันหนิงเลือกเก็บความจริงในใจเอาไว้ ปล่อยให้เฉินเจียนหลางคิดว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับในงานเลือกคู่ของมู่อานจิ่ว"เจ้ามีแผนล่องู่โผล่หางหรือไม่"แววตาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของคนรักที่จ้องมองนางนั้นช่างปกปิดไม่มิดเอาเสียเลย ทำให้คนที่ซ่อน
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนต้นสนเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็พบกับห้องของเยว่อันหนิงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด หน้าประตูห้องพบสาวใช้นางหนึ่งถูกปาดคอนอนสิ้นใจอย่างน่าสงสาร"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!"นายน้อยของสกุลเฉินตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่เสียงเกรี้ยวกราด จวนแม่ทัพแท้ ๆ คนร้ายยังกล้าอุกอาจบุกเข้ามาแถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ อีก ไม่ให้แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าอย่างเขากรุ่นโกรธได้เยี่ยงไร"น...นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ""กรี๊ด! เสี่ยวหยา"เสียงบ่าวคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินนายน้อยของจวนตะโกนเรียกจึงวิ่งตามเสียงมาและถามสาเหตุขึ้นส่วนสาวใช้ที่ตามมาติด ๆ พอเห็นศพของสาวใช้ในเรือนด้วยกันถึงกับกรีดร้องด้วยความตกใจ"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นที่เรือนต้นสน"เฉินเจียนหลางเริ่มซักไซ้เอาความ"ม...เมื่อครู่ เมื่อครู่จู่ ๆ พวกข้าก็เหมือนจะง่วงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้จนได้ยินเสียงนายน้อยตะโกนเรียกขอรับ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ บริเวณเรือนต้นสนที่กว้างใหญ่นี้"วี้ด!!"เสียงเป่าสัญญาณจากปี่ไม้เรียกสายลับเงาดังขึ้น หากแต่ไม่มีแม้เงาของสายลับที่เขาซ่อนสุมกำลังไว้ตามที่ต่าง
ผ่านมาครึ่งก้านธูป เฉินเจียนหลางก็พาสตรีในดวงใจมายังศาลาสงบใจที่อยู่ด้านหลังเรือนต้นสนแห่งนี้"เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบสงบเช่นนี้"อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่มดแมลงสักตัวยังไม่มี"ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าเอาไว้ใช้ฝึกสมาธิปรับลมปราณ"เยว่อันหนิงได้ฟังจึงพยักหน้าเข้าใจพร้อมเอ่ยต่อ"ท่านเรียกข้ามาที่แห่งนี้เพราะมีความลับที่จะหารือใช่หรือไม่"หากไม่ใช่เรื่องสำคัญและเป็นความลับ เฉินเจียนหลางคงไม่พานางมายังเขตหวงห้ามที่คนนอกเข้าออกไม่ได้เช่นนี้ร่างกำยำสวมชุดสีดำแถบแดงล้วงเอาของสำคัญออกมาวางไว้"นี่คือสิ่งใด"เยว่อันหนิงมองกล่องไม้ตรงหน้าอย่างใคร่สงสัย"นี่คือของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ส่งมอบมันให้กับท่านพ่อก่อนที่สกุลเยว่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ"เยว่อันหนิงใจหล่นวูบเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียนหลางบอกมือแน่งน้อยเอื้อมไปสัมผัสกล่องไม้ตรงหน้าด้วยความสั่นเทา ในหัวของนางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวานจึงเอ่ย"คงเป็นวันที่พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังซ้อมกระบี่กันในวันนั้น"เฉินเจียนหลางพยักหน้าเบา ๆเยว่อันหนิงใจกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนสัมผัสกล่องไม้ที่ว่า เมื่อฝากล่องไม้ถูกเปิดออก ม้วนภาพวาดผืนหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของนา
หลังจากทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลเฉินแล้ว เยว่อันหนิงก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เรือนต้นสน นางให้เหตุผลกับเฉินเจียนหลางว่าต้องการรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กดูเผื่อว่าที่ผ่านมานางตกหล่นชิ้นส่วนความทรงจำใดไป"แม่นางจวี๋เจ้าคะ ข้าน้อยนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"สาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าห้องพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารจำนวนหนึ่ง"นายน้อยเล่า"เสียงใสถามขึ้น นางขังตัวเองอยู่ในห้องนี้มาแล้วเกือบสองชั่วยามจึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวภายในจวนสกุลเฉิน"นายน้อยไปส่งนายท่านออกนอกเมืองเจ้าค่ะ"คิ้วสวยขมวดย่นเล็กน้อย แววตานางมีความครุ่นคิดฉายขึ้น สาวใช้ตรงหน้าคงสังเกตเห็นจึงเล่าต่อ"วันนี้นายน้อยต้องกลับค่ายทหาร หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง นายท่านจึงอาสากลับไปคุมค่ายทหารให้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ"สาวใช้ตรงหน้ารายงานอย่างที่เฉินเจียนหลางสั่งไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ"เจ้ากลับไปทำงานเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว""เจ้าค่ะ หากแม่นางจวี๋ต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้ารับใช้ในเรือนได้ทุกเมื่อ"เยว่อันหนิงคลี่ยิ้มบางเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นออกจากห้องไปดวงตาคู่สวยเหลือบมองอาหารที่น่าทานบนโต๊ะเพ