"เข้าไป!"
"โอ้ย!"
"ท่านแม่ น้องสามระวังด้วย" เยว่ฉินจื่อกล่าว
บัดนี้ทหารของมู่ตงหยวนได้ควบคุมตัวเยว่ฮูหยินกับเหล่าคุณชายคุณหนูทั้งห้ามาที่คุกใต้ดินของศาลเทียนอวี่ตามคำสั่งเจ้ากรมตุลาการมู่
"ข้าไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่น้องห้าเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"
เสียงคุณหนูสามเยว่จินจินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเยว่ฉินจื่อ
"น้องห้าแค่สลบ เดี๋ยวผ่านไปสักประเดี๋ยวนางก็ฟื้น"
ได้ยินบุตรชายคนโตบอกเช่นนี้ทุกคนจึงเบาใจลง
"จื่อเอ๋อร์ นั่นเจ้าหรือ"
หากแต่เสียงที่แหบแห้งแต่แสนคุ้นหูกลับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
ทุกคนจึงมองหาต้นทางของเสียงจนพบเข้ากับห้องขังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แม้สภาพของคนที่ถูกล่ามข้อมือทั้งสองขึงไว้กลางห้องจะไม่น่าชม ทว่าพวกเขากลับจำได้ดีว่าคนผู้นั้นคือใคร
"ท่านพี่!"
เยว่ฮูหยินรีบถลาเข้ามาเกาะไม้ท่อนใหญ่สอดใบหน้าตรงช่องว่างที่พอให้มองเห็นภายนอกเพื่อพูดคุยกับคนที่อยู่ห้องขังตรงข้ามได้
ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวแทบลืมหายใจเมื่อเห็นสภาพสามีที่ไม่เหลือความสง่าของแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขาม
"ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าทำพวกเจ้าลำบากด้วยแล้ว"
ใช่ว่าเยว่ฮูหยินจะเจ็บปวดเพียงคนเดียว คนที่ถูกหมายหัวและเป็นต้นเหตุความเดือดร้อนให้คนในตระกูลอย่างเยว่จิ้นกงกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า หากแต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาจากภรรยาที่เขาเลือกแต่งเข้าสกุลด้วยตนเองกลับเหมือนยาดีช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดนี้
"ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน ไฉนเลยอันปิงจะเสียดายชีวิตนี้"
"ท่านพ่อ พวกข้าก็ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับท่านในครั้งนี้"
เสียงของเยว่อินกวานช่างหึกเหิมไร้ความหวาดกลัวในโทษที่ได้รับ
"พวกเจ้า...."
หากแต่ในความใจคนฟังที่ได้ยินสิ่งนั้นกลับมีความเสียใจและรู้สึกผิดปะปนมามากโข
เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ สามารถปกป้องชีวิตผู้อื่นได้ แต่เหตุใดถึงไม่สามารถปกป้องครอบครัวตนเองได้เช่นนี้
"แล้วนั่น เกิดอะไรกับหนิงเอ๋อร์"
เยว่จิ้นกงเหลือบเห็นบุตรสาวคนเล็กนอนอยู่บนตักของคุณหนูสี่เยว่อิงเถาจึงถามด้วยความร้อนใจ
"น้องเล็กไม่ยอมให้จับกุม พร้อมหมิ่นราชโองการจนเกือบถูกเปลี่ยนโทษเป็นให้กลายเป็นโทษตายแทน ข้าจึงทำให้นางสลบชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุอำนาจมืดของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวน"
"เจ้าทำถูกแล้วจื่อเอ๋อร์ ขอแค่รักษาชีวิตน้องเจ้าไว้ได้ สักวันต้องมีคนทวงคืนความบริสุทธิ์ของสกุลเยว่ได้แน่นอน"
หวังว่าจะเป็นดั่งที่บิดาพวกเขาคาดเดา
"ฮูหยิน พวกเจ้าจะถูกส่งไปที่ต่างเมือง จงทำตัวให้เหมือนคนโง่ และทำงานให้เหมือนวัวที่ทนแดดทนฝน สิ่งเหล่านี้จะช่วยพวกเจ้าผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ได้อย่างปลอดภัย" เยว่จิ้นกงกัดฟันตักเตือนฮูหยินเขาและบรรดาบุตรสาวด้วยใจที่เจ็บปวด
เพราะราชโองการจับกุมที่จวนเยว่กับที่เยว่จิ้นกงได้รับมีเนื้อความเดียวกัน ทำให้มิต้องเอ่ยถามกันให้มากความ
"ท่านพ่อ ลูกอกตัญญู ยังมิได้ทดแทนบุญคุณท่านที่เลี้ยงดู" เยว่จินจินเอ่ยอย่างรู้สึกผิดบาป
เยว่จิ้นกงโคลงศีรษะเบา ๆ คลี่ยิ้มทั้งมุมปากและแววตาพร้อมเอ่ยอย่างอบอุ่น
"แค่พวกเจ้ารักษาชีวิตให้ดี เพียงเท่านี้เท่ากับทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่เจ้าแล้ว"
แม้ชีวิตนี้จะเหลือไม่กี่ชั่วยาม แต่เยว่จิ้นกงกลับไม่ร้อนรนเฉกเช่นคนทั่วไป เขายังมีสติสามารถเอ่ยเตือนสอนสั่งเหล่าบุตรีที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ร้ายได้เป็นอย่างดี
"ท่านพี่ เหตุใดถึงมีราชโองการกล่าวว่าท่านก่อกบฎเช่นนี้เจ้าคะ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนั้น?"
เสียงเยว่ฮูหยินค่อนข้างตกใจเมื่อนางคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ตระกูลที่จงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคนถูกกล่าวหาอย่างไร้ศักดิ์ศรีในวันนี้
"ฮูหยิน เจ้าจงจำเอาไว้ เจ้าเป็นเพียงภรรยาที่นอนเคียงข้างข้ายามหลับ และปรนนิบัติสามียามตื่นเฉกเช่นสตรีทั่วไป ไม่รู้ ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องงานของบุรุษ"
"ข้า..."
เยว่ฮูหยินกลืนคำพูดมากมายที่อยากถามเอาไว้เมื่อเห็นแววตาสามีมองอย่างร้องขอ
"จื่อเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งที่พ่อสั่งเรียบร้อยดีใช่หรือไม่"
เมื่อเยว่ฮูหยินเงียบเสียงไปเพราะคำสั่งทางสายตา เยว่จิ้นกงจึงเปลี่ยนมาสนทนากับบุตรชายคนโตแทน
เยว่ฉินจื่อพยักหน้าตอบบิดาเมื่อเขาทั้งคู่เข้าใจตรงกันว่าบิดาหมายถึงเรื่องอันใด
"เรียบร้อยดีขอรับ"
"ดี ดีมาก"
แม้จะใช้เวลาฉิวเฉียดกับขบวนของศาลเทียนอวี่ที่เดินทางมาจวนสกุลเยว่ แต่เพียงแค่เฉินปู้เกาได้ของสิ่งนั้นไป เยว่จิ้นกงก็ตายตาหลับได้แล้ว
"มีคนมา"
หากแต่สองพ่อลูกคุยกันยังไม่ทันได้สั่งเสียอันใดต่อ เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มหนึ่งกลับมุ่งหน้ามาทางนี้ก่อน
"เปิดประตู นำตัวนักโทรประหารทั้งสามออกมา"
เสียงหัวหน้าองครักษ์แห่งศาลเทียนอวี่สั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วย
คนยศน้อยกว่ารีบสะเดาะกุญแจเหล็กกล้านำคุณชายใหญ่และคุณชายรองรวมถึงเยว่จิ้นกงออกมาจากคุกทันที
"พวกท่านจะพาสามีกับบุตรข้าไปทีใด"
เยว่ฮูหยินใจสั่นรัว นางหวาดหวั่นเหลือเกินว่าจะได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยินขึ้นมา
"เจ้ากรมตุลาการมู่ทูลขอเร่งเวลาประหารนักโทษแผ่นดินทั้งสามเป็นยามนี้แทน"
หัวใจของภรรยาที่ต้องสูญเสียทั้งสามีและบุตรไปพร้อมกันถึงสามคนแตกสลาย เยว่ฮูหยินเป็นลมล้มพับสิ้นสติภายในคุกทันทีที่หัวหน้าองครักษณ์ศาลเทียนอวี่แจ้งจบ
"เหตุใดใต้เท้ามู่ถึงได้อยากเร่งประหารท่านพ่อกับพี่ใหญ่พี่รองเช่นนี้ หรือว่ากลัวจะมีคนสืบเรื่องใส่ร้ายนี้แจ้งกระจ่างก่อน"
คุณหนูสามเยว่จินจินทนไม่ไหวที่จู่ ๆ ก็ได้รับข่าวร้ายกว่าเดิมเมื่อการประหารเลื่อนเวลามาในตอนนี้จึงพูดจาเหน็บแนมออกไป
"นั่นสิเจ้าคะ ตะวันเพิ่งจะลาลับท้องฟ้า เหลือเวลาอีกตั้งสี่ชั่วยามถึงจะถึงกำหนดพิธี หากใต้เท้ามู่มิกลัวสิ่งใดผิดพลาด เหตุใดถึงได้เร่งทูลขอราชโองการใหม่จากฝ่าบาทเร็วเช่นนี้"
คุณหนูสามเยว่อิงเถาทนไม่ไหวเช่นกัน นางพูดจาประชดประชันด้วยสุ้มเสียงแข็งกระด้าง ทำเอาเยว่จิ้นกงบิดาถึงกับตำหนิเสียงดุกลับมา
"พวกเจ้าพอได้แล้ว จะช้าหรือเร็ว โทษประหารก็มาถึงอยู่ดี"
สิ้นเสียงห้ามปรามของเยว่จิ้นกงจบลง สตรีทั้งสองนางที่ยังมีสติรับรู้เรื่องราวตอนนี้ถึงกับน้ำตาหลาก
ในใจพวกนางแหลกสลายกับการจากลาที่ไม่มีวันหวนคืนของบิดาและพี่ชาย
เยว่จินจินโผเข้ากอดเยว่อินกวานที่อยู่ใกล้นาง ส่วนเยว่อิงเถาถลาเข้ากอดพี่ใหญ่เยว่ฉินจื่อพร้อมน้ำตามากมายที่ไหลอาบชุดนักโทษสีขาวจนเป็นคราบ
"แม่นางเยว่มิได้คิดอันใดข้าพอทราบ แต่บุรุษหากปักใจรักแล้วยากจะตัดใจ"เยว่อันหนิงลอบมองใบหน้ารูปงามของแม่ทัพน้อยที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา"หากศิษย์พี่มาที่นี่ ฝากเจ้าหออี้ส่งข่าวว่าข้าต้องการพบ""ข้าน้อยทราบแล้ว""เช่นนั้นพวกเราขอตัว""เรื่องที่ฝากฝังไว้ ข้าจะรีบส่งข่าวอีกที""ขอบคุณเจ้าหออี้"เยว่อันหนิงส่งสัญญาณตาให้บุรุษเพียงคนเดียวในห้องเดินตามนางออกจากหอเริงรมย์ เฉินเจียนหลางว่าง่ายเขาเดินตามนางออกมาจากในนั้นเงียบ ๆ ราวคนลืมเอาปากมาด้วย"ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่"ครั้นออกมาจากหออี้เฉิงหลันแล้ว เยว่อันหนิงรู้สึกถึงความเงียบที่มีไอเย็นยะเยือกตามหลังมาเลยหยุดเท้าแล้วหันมาเผชิญหน้าถามคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ"หากข้าบอกว่าหึงเล่า"คนที่ไม่เคยหวั่นไหวกับความรักหรือคำหวานถึงกับสะอึก หัวใจที่ไม่คิดจะหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้กลับแกว่งแปลก ๆ จนต้องปั้นหน้าหันหลบตาไปอีกทาง"ข้ากับต้วนอี้เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวในหัว""ถึงเจ้าจะคิด ข้าก็ไม่ยอม""ท่านหมายความเช่นไร""ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ต่อให้หัวใจเจ้าจะอยู่กับผู้อื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด"วาจาหน
หลังจากเข้ามาในห้องประจำที่อี้หลันจัดเจรียมไว้แล้ว เจ้าหออี้ก็พาเยว่อันหนิงปลีกออกมาอีกฝั่งของห้องสี่เหลี่ยมเพื่อไถ่ถามความเป็นมาในวันนี้"เหตุใดท่านถึงมากับแม่ทัพน้อยเฉินได้"การกระซิบถามไม่ได้อยู่นอกสายตาของเฉินเจียนหลางสักนิด หากแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้สตรีสองนางอึดอัดเท่านั้น"เขารู้ตัวตนของข้าหมดแล้ว"อี้หลันถึงกับตกใจกับความจริงที่ได้ยินคราแรกตอนที่นางเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในหอเริงรมย์แห่งนี้ด้วยกันอี้หลันคิดเพียงแค่ว่าเฉินเจียนหลางคงหลงเสน่ห์นางรำจวี๋จื่อเข้าให้ แต่ไม่นึกว่าที่แม่ทัพน้อยเฉินเดินตามก้นนางมาอย่างไม่ให้ห่างกายเช่นนี้เป็นเพราะเขาล่วงรู้ความลับของเยว่อันหนิงเสียแล้ว"เช่นนั้นคงไม่มีอะไรปิดบังเขาอีกแล้ว"เยว่อันหนิงพยักหน้าแทนคำตอบให้อี้หลันจากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพน้อยเฉินที่นั่งจิบน้ำชารอเงียบ ๆ"วันนี้ท่านมาที่นี่ต้องการข่าวอันใดจากหออี้เฉิงหลันของข้า"เจ้าหออี้ที่นับว่าเป็นสตรีงดงามผู้หนึ่งแห่งเมืองเทียนติ่งเอ่ยถามขึ้น"ข้าต้องการให้ท่านดูสิ่งนี้"เยว่อันหนิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เก็บเศษผงบนตัวสายลับเงาของเฉินเจียนหลางยื่นให้อี้หลั
"เดิมทีหญ้าเกสรห้าสีเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจ หาได้ยากนักเพราะมักเกิดอยู่บนเขาลึกที่หนทางซับซ้อนอันตรายรอบด้าน"เฉินเจียนหลางตั้งใจฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้และรอไขคดีคนร้าย"แต่หากนำมาทาอาบไว้บนไม้แก่นกำยานจะกลายเป็นพิษร้ายที่สามารถทำให้คนสิ้นใจอย่างไม่รู้ตัว""เช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกพิษที่มีดสั้นวันนั้นเหตุใดถึงยังรอดมาได้"เยว่อันหนิงค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเอ่ย"เพราะข้ามียาของหมอเทวดาของหุบเขาช่วยชีวิตไว้"พอคิดถึงเรื่องในอดีต เยว่อันหนิงกลับรู้สึกขนชันขึ้นมาทันที หากยามนั้นนางไม่ได้พกยาถอนพิษที่ขจัดพิษได้ทุกชนิดของผู้เฒ่าฝูหนาน ป่านนี้นางคงได้ไปพบบิดาที่ปรโลกแล้ว"เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักฆ่ากลุ่มเดียวกันในวันนั้น"'ไม่ใช่นักฆ่ากลุ่มเดียวกัน หากแต่เป็น 'นาง' เท่านั้น'"ในจวนของท่านมีเกลือเป็นหนอน ตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน"เยว่อันหนิงเลือกเก็บความจริงในใจเอาไว้ ปล่อยให้เฉินเจียนหลางคิดว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับในงานเลือกคู่ของมู่อานจิ่ว"เจ้ามีแผนล่องู่โผล่หางหรือไม่"แววตาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของคนรักที่จ้องมองนางนั้นช่างปกปิดไม่มิดเอาเสียเลย ทำให้คนที่ซ่อน
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนต้นสนเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็พบกับห้องของเยว่อันหนิงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด หน้าประตูห้องพบสาวใช้นางหนึ่งถูกปาดคอนอนสิ้นใจอย่างน่าสงสาร"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!"นายน้อยของสกุลเฉินตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่เสียงเกรี้ยวกราด จวนแม่ทัพแท้ ๆ คนร้ายยังกล้าอุกอาจบุกเข้ามาแถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ อีก ไม่ให้แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าอย่างเขากรุ่นโกรธได้เยี่ยงไร"น...นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ""กรี๊ด! เสี่ยวหยา"เสียงบ่าวคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินนายน้อยของจวนตะโกนเรียกจึงวิ่งตามเสียงมาและถามสาเหตุขึ้นส่วนสาวใช้ที่ตามมาติด ๆ พอเห็นศพของสาวใช้ในเรือนด้วยกันถึงกับกรีดร้องด้วยความตกใจ"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นที่เรือนต้นสน"เฉินเจียนหลางเริ่มซักไซ้เอาความ"ม...เมื่อครู่ เมื่อครู่จู่ ๆ พวกข้าก็เหมือนจะง่วงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้จนได้ยินเสียงนายน้อยตะโกนเรียกขอรับ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ บริเวณเรือนต้นสนที่กว้างใหญ่นี้"วี้ด!!"เสียงเป่าสัญญาณจากปี่ไม้เรียกสายลับเงาดังขึ้น หากแต่ไม่มีแม้เงาของสายลับที่เขาซ่อนสุมกำลังไว้ตามที่ต่าง
ผ่านมาครึ่งก้านธูป เฉินเจียนหลางก็พาสตรีในดวงใจมายังศาลาสงบใจที่อยู่ด้านหลังเรือนต้นสนแห่งนี้"เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบสงบเช่นนี้"อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่มดแมลงสักตัวยังไม่มี"ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าเอาไว้ใช้ฝึกสมาธิปรับลมปราณ"เยว่อันหนิงได้ฟังจึงพยักหน้าเข้าใจพร้อมเอ่ยต่อ"ท่านเรียกข้ามาที่แห่งนี้เพราะมีความลับที่จะหารือใช่หรือไม่"หากไม่ใช่เรื่องสำคัญและเป็นความลับ เฉินเจียนหลางคงไม่พานางมายังเขตหวงห้ามที่คนนอกเข้าออกไม่ได้เช่นนี้ร่างกำยำสวมชุดสีดำแถบแดงล้วงเอาของสำคัญออกมาวางไว้"นี่คือสิ่งใด"เยว่อันหนิงมองกล่องไม้ตรงหน้าอย่างใคร่สงสัย"นี่คือของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ส่งมอบมันให้กับท่านพ่อก่อนที่สกุลเยว่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ"เยว่อันหนิงใจหล่นวูบเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียนหลางบอกมือแน่งน้อยเอื้อมไปสัมผัสกล่องไม้ตรงหน้าด้วยความสั่นเทา ในหัวของนางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวานจึงเอ่ย"คงเป็นวันที่พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังซ้อมกระบี่กันในวันนั้น"เฉินเจียนหลางพยักหน้าเบา ๆเยว่อันหนิงใจกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนสัมผัสกล่องไม้ที่ว่า เมื่อฝากล่องไม้ถูกเปิดออก ม้วนภาพวาดผืนหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของนา
หลังจากทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลเฉินแล้ว เยว่อันหนิงก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เรือนต้นสน นางให้เหตุผลกับเฉินเจียนหลางว่าต้องการรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กดูเผื่อว่าที่ผ่านมานางตกหล่นชิ้นส่วนความทรงจำใดไป"แม่นางจวี๋เจ้าคะ ข้าน้อยนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"สาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าห้องพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารจำนวนหนึ่ง"นายน้อยเล่า"เสียงใสถามขึ้น นางขังตัวเองอยู่ในห้องนี้มาแล้วเกือบสองชั่วยามจึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวภายในจวนสกุลเฉิน"นายน้อยไปส่งนายท่านออกนอกเมืองเจ้าค่ะ"คิ้วสวยขมวดย่นเล็กน้อย แววตานางมีความครุ่นคิดฉายขึ้น สาวใช้ตรงหน้าคงสังเกตเห็นจึงเล่าต่อ"วันนี้นายน้อยต้องกลับค่ายทหาร หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง นายท่านจึงอาสากลับไปคุมค่ายทหารให้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ"สาวใช้ตรงหน้ารายงานอย่างที่เฉินเจียนหลางสั่งไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ"เจ้ากลับไปทำงานเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว""เจ้าค่ะ หากแม่นางจวี๋ต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้ารับใช้ในเรือนได้ทุกเมื่อ"เยว่อันหนิงคลี่ยิ้มบางเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นออกจากห้องไปดวงตาคู่สวยเหลือบมองอาหารที่น่าทานบนโต๊ะเพ