"ไม่จริง! ท่านพ่อไม่เคยซ่อนสุมกำลังทหารอย่างลับ ๆ ต้องมีคนใส่ร้ายท่านแน่"
"ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่สกุลเยว่พวกเราด้วยเพคะ สามีข้าหายใจเข้าออกมีแต่บ้านเมือง ไหนเลยจะกล้าคิดการใหญ่ก่อกบฎเช่นนี้"
ทั้งเยว่ฉินจื่อและเยว่ฮูหยินต่างพากันคัดค้านราชโองการอย่างเด็ดเดี่ยว หากแต่เสียงของพวกเขาคงดังได้เพียงในจวนสกุลเยว่แห่งนี้ เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินมาแล้ว
"เยว่ฮูหยิน รับราชโองการ"
สายตาของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวนมิได้มีความเคลือบแคลงหรือสงสารคนตรงหน้าสักนิด คำสั่งเด็ดขาดบังคับให้ผู้มีอำนาจรองจากเจ้าของจวนให้มารับม้วนราชโองการเหมือนมีดที่กรีดลมหายใจคนทั้งจวน
"ห...หม่อมฉัน...รับราชโองการ"
เสียงอันสั่นเครือของเยว่ฮูหยินดังบาดหัวใจบุตรชายและบุตรสาวรวมถึงข้ารับใช้ แม้ในใจพวกเขามีหมื่นล้านคำอยากแก้ข้อครหาให้ผู้เป็นนายท่านแต่พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกใครจะให้ค่า โทษทัณฑ์จากเนรเทศหากกล้างัดข้อกับท่อนซุงใหญ่คงเปลี่ยนเป็นโทษตายอย่างมิต้องสงสัย
ตุบ!
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นเมื่อเยว่อันหนิงใจกล้าบ้าบิ่นปัดราชโองการที่มารดากำลังเอื้อมมือไปรับลงพื้นจนกลิ้งหลุน ๆ หยุดที่ปลายเท้าของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวน
"บังอาจ!"
เสียงแห่งความเกรี้ยวโกรธดังสะท้านไปทั้งลานกว้าง
ปลายกระบี่แหลมคมของหม่าเย่า องครักษ์ข้างกายมู่ตงหยวนจ่อเข้าที่ลำคอน้อยของเยว่อันหนิงทันที
"อย่า! ใต้เท้าโปรดเมตตา หนิงเอ๋อร์นางไม่รู้ความจึงได้ทำเรื่องไม่สมควรลงไป มานี่! ขอประทานอภัยต่อราชโองการฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!"
ข้อมือน้อยถูกมารดารั้งอย่างแรงเพื่อให้คนทำผิดนั่งลงกับพื้น ศีรษะเล็กถูกจับกดลงกับพื้นเพื่อขอความเมตตา
ในใจของเยว่ฮูหยินตอนนี้แสนปวดร้าวที่ต้องรุนแรงกับบุตรสาวครั้งแรกในชีวิต หากแต่นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่นางจะรักษาชีวิตน้อย ๆ ของเยว่อันหนิงไว้นางยอมปวดใจและเป็นมารดาใจร้ายในสายตาผู้อื่น
"ข้าไม่ขอโทษ! ท่านพ่อมิเคยคิดชั่ว มีแต่ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นคนชั่ว ใส่ร้ายท่านพ่อข้า...อึก!"
เสียงน้อย ๆ ขาดห้วงลงเมื่อเยว่ฉินจื่อเกรงว่าน้องสาวคนเล็กจะมีภัยถึงชีวิตหากพูดมากความกว่านี้จึงเลือกใช้วิธีสกัดจุดให้นางสลบชั่วคราวไปก่อน
"เหิมเกริมยิ่งนัก อายุเพียงไม่กี่ขวบปีก็ก้าวร้าวลบหลู่ราชโองการอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะทูลฝ่าบาทถึงการกระทำของบุตรสาวคนเล็กจวนเยว่ เปลี่ยนจากมีลมหายใจเป็นความตายแทน"
"ไม่นะเจ้าคะ! ใต้เท้ามู่โปรดเมตตาเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของท่านกับท่านแม่ทัพใหญ่เถิดเจ้าค่ะ ข้ากับบุตรสาวยินดีรับโทษเนรเทศออกจากเมืองอย่างมิคัดค้าน"
น้ำตามากมายของผู้เป็นมารดาหลั่งไหลอาบสองแก้ม นางปลายตาที่มีน้ำเจิ่งนองมองเยว่อันหนิงที่สลบลงบนหน้าตักเยว่อิงเถาด้วยความหวาดหวั่น จากนั้นจึงหันไปสบตากับบุตรชายทั้งสองที่นั่งอยู่แถวด้านหลังด้วยความเจ็บปวด
สิ่งที่เยว่ฮูหยินเอ่ยออกไปเมื่อครู่หมายความว่านางยอมรับราชโองการนั้นแล้ว ชีวิตทั้งสามชีวิตของบุรุษสกุลเยว่แลกกับหนึ่งชีวิตของบุตรสาวคนเล็กผู้นี้คุ้มแล้วหรือ?
หากแต่บุตรชายทั้งสองกลับสบตามารดากลับด้วยความยินดี ขอเพียงชีวิตพวกเขาทั้งสองช่วยรักษาชีวิตมารดาและน้องสาวอีกสามคนไว้ได้จะกลัวความตายเบื้องหน้าไปทำไม
เกิดเป็นบุรุษอกสามศอก ออกศึกรบเคียงบ่าเคียงไหล่บิดามาแล้วตั้งกี่ครั้ง ความเป็นความตายพวกเขาเฉียดมาหมดแล้วจะกลัวไปไย
"ข้าเยว่ฉินจื่อ"
"ข้าเยว่อินกวาน"
"น้อมรับราชโองการ"
ทั้งสองพี่น้องประสานเสียงน้อมรับความผิดร่วมกับบิดาและตระกูลเยว่
การเกิดมาในครั้งนี้คงเป็นเคราะห์กรรมของพวกเขาที่ทำดีกลับไม่ได้ดีเช่นนี้
"จับกุมกบฎทั้งหมดไปขังที่คุกศาลเทียนอวี่ก่อน พรุ่งนี้ยามเหม่า(ตี 5.00 - 6.59 น.) นำนักโทษประหารไปบั่นหัวเสียบประจาน ส่วนคนที่เหลือเนรเทศตามราชโอการ"
เสียงร้องไห้โศกเศร้าของบ่าวสาวรับใช้ในจวนดังระงมทั่วลานกว้าง ในใจพวกเขาอยากจะเข้ามาร่ำลาคุณชายทั้งสองรวมถึงฮูหยินและคุณหนูทั้งสาม หากแต่ทหารของศาลเทียนอวี่กลับไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ทำเช่นใจหวัง ถูกทหารคุมตัวแยกออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไปบรรจบกันที่คุกของศาลที่เรียกว่ายุติธรรมที่สุดในเมืองเทียนติ่งทันที
ภายในคุกใต้ดินของศาลเทียนอวี่ ห้องนักโทษที่ไร้แสงตะวันสาดส่องถึง มีบุรุษสวมชุดตัวในแสนบางแถมยังสภาพขาดวิ่นยิ่งกว่าขอทานตามข้างถนน เสื้อที่เคยเป็นสีขาวสะอาดตาถูกย้อมไปด้วยสีแดงที่เริ่มแห้งเกรอะกรังของเลือดสด ๆ ที่เกิดจากแผลปริแตกเพราะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ
"ท่านแม่ทัพ ท่านแข็งใจไว้นะขอรับ"
นี่คือเสียงทหารภายใต้การปกครองของแม่ทัพใหญ่เยว่จิ้นกงที่ลักลอบเข้ามาในคุกและพยายามหาทางช่วยเหลือแม่ทัพของพวกเขาจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ
ย้อนกลับไปก่อนหน้าไม่ถึงชั่วยาม หลังจากกองทัพของเยว่จิ้นกงนำชัยชนะกลับมาและกำลังเดินทางกลับจากค่ายที่ชายแดนบูรพากลับมีทหารของศาลเทียนอวี่ปรี่เข้าจับกุมกองทัพของพวกเขา แจ้งราชโองการเลือดนี้ให้กับกองทัพที่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองเทียนติ่งมาโดยตลอดพร้อมจับกุมทหารทุกนายที่อยู่ในกองทัพเวลานั้น
หากแต่แม่ทัพใหญ่เยว่จิ้นกงที่ล่วงรู้ก่อนแล้วว่าสักวันต้องเป็นเช่นนี้ เขาจึงยอมรับโทษการก่อกบฎเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวยอมให้ทหารศาลเทียนอวี่จับกุมตนตามราชโองการเพื่อมาสำเร็จโทษ
"พวกเจ้าจะทำอันใด รีบออกไปจากที่นี่!"
เสียงแห้งแหบที่แทบจะเค้นแรงกายทั้งหมดออกมาพูดคุยกับเหล่าทหารสามสี่นายที่แอบบุกเข้ามาในคุกแห่งนี้สั่งการ
"พวกข้าเสี่ยงตายมาที่นี่เพื่อช่วยท่านแม่ทัพใหญ่" หนึ่งในทหารสี่นายกล่าว
"พวกเจ้ามีค่ามากกว่าชีวิตข้า จงนำทหารที่พักดีเดินทางไปที่เมืองตู้ ซ่อนตัวตนพวกเจ้าเอาไว้ สักวันจะต้องมีคนขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า"
"แต่ว่า..."
"นี่คือคำสั่งสุดท้าย ข้าเยว่จิ้งกง แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเทียนติ่งขอสั่งพวกเจ้าให้รักษาชีวิตเอาไว้ให้ดี"
ทหารทั้งสี่นายที่ยืนอยู่นอกคุกถึงกับจุกที่อก พวกเขาจะสูญเสียแม่ทัพที่ดีเช่นนี้จริงหรือ หากแต่แววตาที่เยว่จิ้นกงมองพวกเขา ช่างเด็ดเดี่ยวและอาจหารยิ่งนัก สักวันพวกเขาจะต้องคืนความเป็นธรรมให้สกุลเยว่แน่นอน
"น้อมส่งท่านแม่ทัพ พวกข้าจะทำตามคำสั่งสุดท้ายของท่าน รักษาชีวิตเพื่อรอวันกอบกู้ชื่อเสียงของท่านกลับคืนมา"
แม้เสียงที่เอ่ยบอกลาจะเศร้าและสั่นเพียงใด แต่เยว่จิ้นกงกลับเผยยิ้มออกมา จิตใจเขายิ่งใหญ่ยิ่งนัก แลกหนึ่งชีวิตของตนเพื่อรักษาชีวิตทั้งกองทัพที่ตนปกครองดูแล แค่นี้ก็คุ้มมากมายแล้ว
"มีคนมา พวกเจ้ารีบออกไปเถิด"
"ท่านแม่ทัพ!" ทหารอีกนายกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์
"รักษาตัวด้วย"
คำกล่าวนี้ของเยว่จิ้นกงเปรียบเสมือนกระบี่แสนคมทิ่มแทงเข้ากลางใจคนฟังเมื่อพวกเขารู้ดีว่าการถูกใส่ร้ายครั้งนี้แม่ทัพของพวกเขาคงสิ้นวาสนาแล้วจริง ๆ
หากแต่เป็นทหารต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แม้พวกเขาทั้งสี่จะกลับไปมือเปล่า แต่ขอรักษาชีวิตเอาไว้ตามคำสั่ง สักวันจะต้องมีคนที่ท่านแม่ทัพคาดเดาว่าจะขอความช่วยเหลือมาหาพวกตนแน่นอน
"แม่นางเยว่มิได้คิดอันใดข้าพอทราบ แต่บุรุษหากปักใจรักแล้วยากจะตัดใจ"เยว่อันหนิงลอบมองใบหน้ารูปงามของแม่ทัพน้อยที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา"หากศิษย์พี่มาที่นี่ ฝากเจ้าหออี้ส่งข่าวว่าข้าต้องการพบ""ข้าน้อยทราบแล้ว""เช่นนั้นพวกเราขอตัว""เรื่องที่ฝากฝังไว้ ข้าจะรีบส่งข่าวอีกที""ขอบคุณเจ้าหออี้"เยว่อันหนิงส่งสัญญาณตาให้บุรุษเพียงคนเดียวในห้องเดินตามนางออกจากหอเริงรมย์ เฉินเจียนหลางว่าง่ายเขาเดินตามนางออกมาจากในนั้นเงียบ ๆ ราวคนลืมเอาปากมาด้วย"ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่"ครั้นออกมาจากหออี้เฉิงหลันแล้ว เยว่อันหนิงรู้สึกถึงความเงียบที่มีไอเย็นยะเยือกตามหลังมาเลยหยุดเท้าแล้วหันมาเผชิญหน้าถามคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ"หากข้าบอกว่าหึงเล่า"คนที่ไม่เคยหวั่นไหวกับความรักหรือคำหวานถึงกับสะอึก หัวใจที่ไม่คิดจะหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้กลับแกว่งแปลก ๆ จนต้องปั้นหน้าหันหลบตาไปอีกทาง"ข้ากับต้วนอี้เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวในหัว""ถึงเจ้าจะคิด ข้าก็ไม่ยอม""ท่านหมายความเช่นไร""ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ต่อให้หัวใจเจ้าจะอยู่กับผู้อื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด"วาจาหน
หลังจากเข้ามาในห้องประจำที่อี้หลันจัดเจรียมไว้แล้ว เจ้าหออี้ก็พาเยว่อันหนิงปลีกออกมาอีกฝั่งของห้องสี่เหลี่ยมเพื่อไถ่ถามความเป็นมาในวันนี้"เหตุใดท่านถึงมากับแม่ทัพน้อยเฉินได้"การกระซิบถามไม่ได้อยู่นอกสายตาของเฉินเจียนหลางสักนิด หากแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้สตรีสองนางอึดอัดเท่านั้น"เขารู้ตัวตนของข้าหมดแล้ว"อี้หลันถึงกับตกใจกับความจริงที่ได้ยินคราแรกตอนที่นางเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในหอเริงรมย์แห่งนี้ด้วยกันอี้หลันคิดเพียงแค่ว่าเฉินเจียนหลางคงหลงเสน่ห์นางรำจวี๋จื่อเข้าให้ แต่ไม่นึกว่าที่แม่ทัพน้อยเฉินเดินตามก้นนางมาอย่างไม่ให้ห่างกายเช่นนี้เป็นเพราะเขาล่วงรู้ความลับของเยว่อันหนิงเสียแล้ว"เช่นนั้นคงไม่มีอะไรปิดบังเขาอีกแล้ว"เยว่อันหนิงพยักหน้าแทนคำตอบให้อี้หลันจากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพน้อยเฉินที่นั่งจิบน้ำชารอเงียบ ๆ"วันนี้ท่านมาที่นี่ต้องการข่าวอันใดจากหออี้เฉิงหลันของข้า"เจ้าหออี้ที่นับว่าเป็นสตรีงดงามผู้หนึ่งแห่งเมืองเทียนติ่งเอ่ยถามขึ้น"ข้าต้องการให้ท่านดูสิ่งนี้"เยว่อันหนิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เก็บเศษผงบนตัวสายลับเงาของเฉินเจียนหลางยื่นให้อี้หลั
"เดิมทีหญ้าเกสรห้าสีเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจ หาได้ยากนักเพราะมักเกิดอยู่บนเขาลึกที่หนทางซับซ้อนอันตรายรอบด้าน"เฉินเจียนหลางตั้งใจฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้และรอไขคดีคนร้าย"แต่หากนำมาทาอาบไว้บนไม้แก่นกำยานจะกลายเป็นพิษร้ายที่สามารถทำให้คนสิ้นใจอย่างไม่รู้ตัว""เช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกพิษที่มีดสั้นวันนั้นเหตุใดถึงยังรอดมาได้"เยว่อันหนิงค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเอ่ย"เพราะข้ามียาของหมอเทวดาของหุบเขาช่วยชีวิตไว้"พอคิดถึงเรื่องในอดีต เยว่อันหนิงกลับรู้สึกขนชันขึ้นมาทันที หากยามนั้นนางไม่ได้พกยาถอนพิษที่ขจัดพิษได้ทุกชนิดของผู้เฒ่าฝูหนาน ป่านนี้นางคงได้ไปพบบิดาที่ปรโลกแล้ว"เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักฆ่ากลุ่มเดียวกันในวันนั้น"'ไม่ใช่นักฆ่ากลุ่มเดียวกัน หากแต่เป็น 'นาง' เท่านั้น'"ในจวนของท่านมีเกลือเป็นหนอน ตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน"เยว่อันหนิงเลือกเก็บความจริงในใจเอาไว้ ปล่อยให้เฉินเจียนหลางคิดว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับในงานเลือกคู่ของมู่อานจิ่ว"เจ้ามีแผนล่องู่โผล่หางหรือไม่"แววตาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของคนรักที่จ้องมองนางนั้นช่างปกปิดไม่มิดเอาเสียเลย ทำให้คนที่ซ่อน
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนต้นสนเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็พบกับห้องของเยว่อันหนิงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด หน้าประตูห้องพบสาวใช้นางหนึ่งถูกปาดคอนอนสิ้นใจอย่างน่าสงสาร"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!"นายน้อยของสกุลเฉินตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่เสียงเกรี้ยวกราด จวนแม่ทัพแท้ ๆ คนร้ายยังกล้าอุกอาจบุกเข้ามาแถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ อีก ไม่ให้แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าอย่างเขากรุ่นโกรธได้เยี่ยงไร"น...นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ""กรี๊ด! เสี่ยวหยา"เสียงบ่าวคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินนายน้อยของจวนตะโกนเรียกจึงวิ่งตามเสียงมาและถามสาเหตุขึ้นส่วนสาวใช้ที่ตามมาติด ๆ พอเห็นศพของสาวใช้ในเรือนด้วยกันถึงกับกรีดร้องด้วยความตกใจ"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นที่เรือนต้นสน"เฉินเจียนหลางเริ่มซักไซ้เอาความ"ม...เมื่อครู่ เมื่อครู่จู่ ๆ พวกข้าก็เหมือนจะง่วงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้จนได้ยินเสียงนายน้อยตะโกนเรียกขอรับ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ บริเวณเรือนต้นสนที่กว้างใหญ่นี้"วี้ด!!"เสียงเป่าสัญญาณจากปี่ไม้เรียกสายลับเงาดังขึ้น หากแต่ไม่มีแม้เงาของสายลับที่เขาซ่อนสุมกำลังไว้ตามที่ต่าง
ผ่านมาครึ่งก้านธูป เฉินเจียนหลางก็พาสตรีในดวงใจมายังศาลาสงบใจที่อยู่ด้านหลังเรือนต้นสนแห่งนี้"เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบสงบเช่นนี้"อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่มดแมลงสักตัวยังไม่มี"ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าเอาไว้ใช้ฝึกสมาธิปรับลมปราณ"เยว่อันหนิงได้ฟังจึงพยักหน้าเข้าใจพร้อมเอ่ยต่อ"ท่านเรียกข้ามาที่แห่งนี้เพราะมีความลับที่จะหารือใช่หรือไม่"หากไม่ใช่เรื่องสำคัญและเป็นความลับ เฉินเจียนหลางคงไม่พานางมายังเขตหวงห้ามที่คนนอกเข้าออกไม่ได้เช่นนี้ร่างกำยำสวมชุดสีดำแถบแดงล้วงเอาของสำคัญออกมาวางไว้"นี่คือสิ่งใด"เยว่อันหนิงมองกล่องไม้ตรงหน้าอย่างใคร่สงสัย"นี่คือของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ส่งมอบมันให้กับท่านพ่อก่อนที่สกุลเยว่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ"เยว่อันหนิงใจหล่นวูบเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียนหลางบอกมือแน่งน้อยเอื้อมไปสัมผัสกล่องไม้ตรงหน้าด้วยความสั่นเทา ในหัวของนางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวานจึงเอ่ย"คงเป็นวันที่พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังซ้อมกระบี่กันในวันนั้น"เฉินเจียนหลางพยักหน้าเบา ๆเยว่อันหนิงใจกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนสัมผัสกล่องไม้ที่ว่า เมื่อฝากล่องไม้ถูกเปิดออก ม้วนภาพวาดผืนหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของนา
หลังจากทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลเฉินแล้ว เยว่อันหนิงก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เรือนต้นสน นางให้เหตุผลกับเฉินเจียนหลางว่าต้องการรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กดูเผื่อว่าที่ผ่านมานางตกหล่นชิ้นส่วนความทรงจำใดไป"แม่นางจวี๋เจ้าคะ ข้าน้อยนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"สาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าห้องพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารจำนวนหนึ่ง"นายน้อยเล่า"เสียงใสถามขึ้น นางขังตัวเองอยู่ในห้องนี้มาแล้วเกือบสองชั่วยามจึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวภายในจวนสกุลเฉิน"นายน้อยไปส่งนายท่านออกนอกเมืองเจ้าค่ะ"คิ้วสวยขมวดย่นเล็กน้อย แววตานางมีความครุ่นคิดฉายขึ้น สาวใช้ตรงหน้าคงสังเกตเห็นจึงเล่าต่อ"วันนี้นายน้อยต้องกลับค่ายทหาร หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง นายท่านจึงอาสากลับไปคุมค่ายทหารให้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ"สาวใช้ตรงหน้ารายงานอย่างที่เฉินเจียนหลางสั่งไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ"เจ้ากลับไปทำงานเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว""เจ้าค่ะ หากแม่นางจวี๋ต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้ารับใช้ในเรือนได้ทุกเมื่อ"เยว่อันหนิงคลี่ยิ้มบางเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นออกจากห้องไปดวงตาคู่สวยเหลือบมองอาหารที่น่าทานบนโต๊ะเพ