แชร์

บทที่ 2 พานพบ

ผู้เขียน: บุหลันดั้นเมฆ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-18 08:11:43

เช้าตรู่วันพฤหัสบดี แสงสีทองอ่อนๆ ของรุ่งอรุณเล็ดลอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนของ “พิมพ์พลอย” กราฟิกดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์วัยยี่สิบปลายๆ เธอสะดุ้งตื่นจากความฝันที่เลือนราง ภาพในฝันนั้นพร่าเลือนราวกับม่านหมอก แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่แอบแฝงอยู่ยังคงชัดเจนราวกับไอหมอกที่ซึมซาบไปทั่วผิว พิมพ์พลอยยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่ข้อเท้า เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้อยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ภาพสุดท้ายที่จำได้คือเงาตะคุ่มของผู้หญิงในชุดไทยสีขาวที่ยืนอยู่ริมท่าน้ำท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ ส่องต้องผืนน้ำที่ดูนิ่งสงบเกินจริง ท้องน้ำนั้นสะท้อนภาพใบหน้าของผู้หญิงในชุดไทยเพียงเสี้ยวหน้า ซึ่งดูเหมือนจะจ้องมองมายังพิมพ์พลอยด้วยดวงตาที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด เสียงกระซิบเบาๆ คล้ายจะเรียกชื่อใครบางคนว่า “พิกุล... พิกุล...” แว่วอยู่ในความทรงจำ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหนาวเหน็บแปลกประหลาดที่เกาะกินหัวใจ แม้ว่าอากาศในห้องจะไม่ได้หนาวเย็นเลยก็ตาม

พิมพ์พลอยลุกขึ้นจากเตียงด้วยอาการงัวเงีย ความเหนื่อยล้าจากการนอนฝันร้ายทำให้ศีรษะตื้อๆ และรู้สึกหนักอึ้ง เธอเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้า ในกระจกเงาบานใหญ่เหนืออ่างล้างมือ เธอเห็นตัวเองที่ดูซีดเซียวเล็กน้อย ใต้ตาคล้ำบ่งบอกถึงการนอนหลับที่ไม่เต็มอิ่ม “ฝันบ้าอะไรกันนะ” เธอพึมพำกับตัวเอง พยายามจะปัดเป่าความคิดไร้สาระทิ้งไป คงเป็นเพราะพักผ่อนไม่พอ หรือไม่ก็ตื่นเต้นกับงานเปิดตัวอาร์ตแกลเลอรีคืนนี้มากเกินไป ซึ่งเป็นงานสำคัญที่รุ่นพี่คนสนิทส่งบัตรเชิญมาเพื่อให้ไปเปิดหูเปิดตา และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สร้างคอนเนกชันในสายอาชีพ ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบแปรงสีฟัน ดวงตาของเธอก็พลันจับจ้องไปที่ กรอบรูปเล็กๆ บนชั้นวางของ รูปถ่ายของเธอที่ถ่ายกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยิ้มแย้มสดใส มันเอียงจนเกือบจะตกจากชั้น พิมพ์พลอยขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอแน่ใจว่าเมื่อคืนก่อนนอน เธอจัดวางมันไว้อย่างดีแล้ว เธอค่อยๆ จัดกรอบรูปให้ตั้งตรงเช่นเดิม แต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยังคงเกาะกุมอยู่ในใจ ราวกับว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องนี้กับเธอตลอดคืน

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พิมพ์พลอยก็เดินมาที่โต๊ะทำงานเพื่อเริ่มงานในเช้าวันนั้น เธอเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูงและสมาธิจดจ่อกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่เช้านี้สมาธิของเธอกลับกระเจิดกระเจิงตลอดเวลา เธอรู้สึกเหมือนมี สายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เธอได้ยินเสียงแผ่วเบาคล้ายเสียงถอนหายใจดังขึ้นใกล้ๆ หูบ่อยครั้ง เมื่อหันไปมองก็ไม่พบอะไรนอกจากข้าวของเครื่องใช้ที่คุ้นเคย เสียงพัดลมตัวเล็กๆตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่หมุนเอื่อยๆ เท่านั้นที่ดังอยู่เป็นเพื่อน เธอพยายามจดจ่ออยู่กับโปรเจกต์งานออกแบบโลโก้สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ที่ต้องส่งให้ลูกค้าภายในวันนี้ แต่ทุกครั้งที่เธอละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอก็จะเห็น เงาตะคุ่มๆ คล้ายร่างผู้หญิงแวบหายไปในหางตา บริเวณมุมห้องครัวบ้าง หลังโซฟาบ้าง หรือแม้กระทั่งหลังประตูระเบียง เธอถึงกับลุกขึ้นเดินสำรวจรอบห้องอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ประตูและหน้าต่างทุกบานปิดสนิท ไม่มีช่องทางให้ใครแอบเข้ามาได้

ความรู้สึกเย็นวาบก็ปรากฏขึ้นเป็นพักๆ ไม่ได้มีลมพัด แต่เธอกลับรู้สึกถึงไอเย็นที่ลูบไล้ต้นคอ ราวกับมีใครมายืนอยู่ด้านหลังและกำลังหายใจรดต้นคอเธออยู่ พิมพ์พลอยขนลุกซู่ เธอรีบหันขวับกลับไป แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่า หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้น เธอพยายามสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อไล่ความรู้สึกเหล่านี้ พยายามบอกตัวเองว่าเธอแค่คิดมากไปเอง คงเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียเกินไป “พักผ่อนไม่พอสินะเรา” เธอพึมพำกับตัวเอง พลางเดินไปชงกาแฟเข้มๆ สักแก้ว เพื่อช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นและไล่ความรู้สึกประหลาดออกไปจากความคิด แต่แม้กระทั่งตอนที่เธอยืนรอกาแฟเดือด เธอก็ยังรู้สึกเหมือนมี เงาสะท้อนเลือนรางของใครบางคนปรากฏขึ้นในช่องว่างระหว่างเงาของเธอในบานกระจกหน้าต่าง ซึ่งเป็นเงาที่สูงโปร่งและมีเค้าโครงของชุดไทยโบราณ เธอร้องออกมาเล็กน้อยด้วยความตกใจและรีบหันไปมองทันที แต่เงาที่ว่านั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง เหลือเพียงเงาของเธอที่สะท้อนอยู่บนกระจก พิมพ์พลอยถอนหายใจยาว “คงต้องไปทำบุญบ้างแล้วมั้ง” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ตัวเองสบายใจ แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เธอกำลังเริ่มรู้สึกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว

เวลาบ่ายแก่ๆ ในวันพฤหัสบดี แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายที่ส่องผ่านกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานของสำนักงานใหญ่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ "ดับเบิลยู.ซี. เอเธนส์" ใจกลางกรุงเทพฯ สะท้อนความยิ่งใหญ่และความทันสมัยของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ ชั้นสูงสุดสุดหรูที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองได้ 360 องศา บ่งบอกถึงอำนาจและวิสัยทัศน์ของผู้ครอบครอง “รวินทร์” ซีอีโอหนุ่มผู้สง่างามวัยสามสิบปลายๆ กำลังก้มหน้าอ่านเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงานไม้เนื้อดีขัดมันวาวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาสวมแว่นตากรอบบางทรงเรียบที่ช่วยขับเน้นให้ดวงตาคมกริบดูเฉียบคมและฉลาดล้ำยิ่งขึ้น แววตาของเขาจับจ้องตัวเลขและแผนผังโครงการก่อสร้างที่ซับซ้อนอย่างพินิจ ก่อนจะวางปากกาลงช้าๆ พลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ดูเหน็ดเหนื่อยจากการตัดสินใจครั้งสำคัญที่อาจส่งผลต่อมูลค่าโปรเจกต์หลายพันล้านบาท เขายกกาแฟร้อนขึ้นจิบช้าๆ พลางหลับตาลงครุ่นคิดถึงกลยุทธ์การลงทุนใหม่

ประตูห้องทำงานถูกเคาะสามครั้งอย่างคุ้นเคย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบุคคลที่อยู่ด้านนอกคือคนสนิทที่รวินทร์อนุญาตให้เข้าออกห้องเขาได้เสมอ ก่อนที่ “เดชา” รองประธานบริษัทและหุ้นส่วนคนสนิทของรวินทร์ จะก้าวเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟหอมกรุ่นในมือ “ดูเหนื่อยๆ นะวินทร์ เอกสารกองนั้นคงทำให้นายสมองล้าเต็มทีแล้ว” เดชาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร ก่อนจะวางแก้วกาแฟอุ่นๆ อีกแก้วลงตรงหน้ารวินทร์ “พักสักหน่อยไหม? หรือเราจะไปคุยกันที่อาร์ตแกลเลอรีเลยดี? ฉันว่าวันนี้งานเลี้ยงคงไม่จบเร็วแน่ ต้องมีการเจรจาธุรกิจกันยาวแน่ๆ” เดชามักจะเป็นคนนำเรื่องราวภายนอกเข้ามาให้รวินทร์ได้ผ่อนคลายเสมอ และเป็นคนที่รู้จักรวินทร์ดีที่สุดคนหนึ่งในบริษัท

รวินทร์เงยหน้าขึ้น สบตาเดชา ดวงตาของเขาสะท้อนความเหนื่อยล้าเพียงชั่วครู่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขุมตามเดิม “ก็ดีเหมือนกัน” เขาตอบเสียงเรียบ “งานเปิดตัวแกลเลอรีคืนนี้สำคัญนะ เดชา ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สร้างสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในวงการศิลปะและนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่สำคัญคือคุณหญิงวรรณา ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเราก็เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของแกลเลอรีด้วย ฉันไม่อยากพลาดโอกาสนี้ที่จะสานต่อโปรเจกต์ใหญ่ที่คุยค้างไว้”

รวินทร์กับเดชารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขามีความสนใจคล้ายกันในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ ศิลปะ หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์เก่าแก่บางอย่าง และมีความทะเยอทะยานที่เข้ากันได้ดี พวกเขาเริ่มทำโปรเจกต์งานกลุ่มด้วยกันมานับไม่ถ้วน และมองเห็นช่องทางธุรกิจใหม่ๆ เสมอ จนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งคู่ก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท "ดับเบิลยู.ซี. เอเธนส์" ขึ้นมาด้วยกันจากเงินทุนที่พวกเขาสะสมและมองเห็นโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นเกินกว่าคำว่าเพื่อนร่วมงานเสียอีก พวกเขาคือคู่หูทางธุรกิจที่รู้ใจกันที่สุด รวินทร์มักเป็นมันสมองผู้คิดค้นกลยุทธ์ที่ล้ำลึกและแม่นยำ เด็ดขาดในการตัดสินใจ ส่วนเดชาก็เป็นผู้ลงมือปฏิบัติและสานสัมพันธ์กับผู้คนได้อย่างยอดเยี่ยม มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมราวกับเป็นอีกครึ่งหนึ่งที่สมบูรณ์แบบของรวินทร์ที่มักจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์

เดชายิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว! ฉันเตรียมพร้อมเต็มที่ ยิ่งรู้ว่าเจ้าของแกลเลอรีเชิญศิลปินดาวรุ่งมาแสดงงานด้วย ยิ่งน่าสนใจ” เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมสูทจากราวแขวน ซึ่งเป็นสูทสีน้ำเงินเข้มที่ดูทันสมัยและราคาแพง “คืนนี้ฉันวางแผนไว้แล้วว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนที่สนใจด้านศิลปะได้ยังไงบ้าง ต้องจัดกลุ่มพูดคุยให้เหมาะสม” เดชาหันมาพูดกับรวินทร์ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "นายเองก็เตรียมตัวให้พร้อมนะวินทร์ ต้องมีบทสนทนาที่น่าสนใจไว้ดึงดูดลูกค้าด้วย ฉันรู้นายทำได้ดีอยู่แล้ว"

รวินทร์พยักหน้ารับ “ฉันรู้ดี” เขายืนขึ้น จัดปกเสื้อและเนคไทให้เข้าที่ แววตาของเขายังคงลึกล้ำยากจะคาดเดา ราวกับมีความคิดบางอย่างที่ซับซ้อนยิ่งกว่าธุรกิจซ่อนอยู่เบื้องหลังความสุขุมนั้น เขาหยิบกุญแจรถยนต์หรูคู่ใจขึ้นมา ก่อนจะเดินนำเดชาออกจากห้องไปอย่างสง่างาม ในอีกไม่นาน “ปิ่น” แฟนสาวของรวินทร์ ผู้เป็นที่รู้จักกันในแวดวงสังคมชั้นสูง ก็จะตามมาสมทบที่งานเช่นกัน

เวลาค่ำคืน แสงไฟนีออนระยิบระยับจากป้ายโฆษณาตามตึกสูงสาดส่องลงมายังท้องถนน พิมพ์พลอย ก้าวลงจากรถไฟฟ้าด้วยความเร่งรีบ ความรู้สึกเย็นวาบที่เกาะกุมมาตั้งแต่เช้ายังคงตามติดเธอมาไม่ห่าง เธอพยายามสะบัดมันทิ้งไปเมื่อก้าวเข้าสู่ประตูงานอาร์ตแกลเลอรีสุดหรูขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสลัวๆ โคมระย้าคริสตัลระยิบระยับ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลิลลี่ที่จัดวางตามมุมห้องภายในงาน ผู้คนหลากหลายวงการมารวมตัวกันอย่างคับคั่งในชุดราตรีหรูหราและสูทที่ตัดเย็บอย่างดี เสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงคลอเบาๆ จากวงดนตรีสดที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องจัดแสดง สร้างบรรยากาศที่หรูหราแต่ก็ผ่อนคลาย พิมพ์พลอยเดินลึกเข้าไปในห้องจัดแสดงขนาดใหญ่ สายตาไล่มองงานศิลปะชิ้นแล้วชิ้นเล่า แต่ละชิ้นล้วนแสดงถึงความสามารถอันโดดเด่นของศิลปินที่นำมาจัดแสดง บางชิ้นเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่สื่อถึงความลึกซึ้งของจิตใจมนุษย์ บางชิ้นเป็นประติมากรรมโลหะที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับยามที่ผู้คนเดินผ่าน พิมพ์พลอยใช้เวลาดื่มด่ำกับศิลปะ พยายามจดจ่ออยู่กับความงามตรงหน้าเพื่อไล่ความรู้สึกประหลาดที่เกาะกินใจตั้งแต่เช้าตรู่ให้จางหายไป สายตาของเธอพลันปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากมุมจัดแสดงภาพวาดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่มีผู้คนยืนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น รวินทร์ กำลังยืนสนทนาอยู่กับ เดชา ด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนมและเป็นกันเอง รวินทร์ดูสงบนิ่งและมีเสน่ห์ลึกลับจนน่าค้นหา ดวงตาคมกริบของเขาดูเหมือนจะทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย แต่แล้วมันก็ปะทะเข้ากับพิมพ์พลอยโดยบังเอิญเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะเลื่อนผ่านไปราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ภายในจิตใจของรวินทร์นั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายจะรู้จัก คุ้นเคย แต่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอันยากจะเข้าใจ ด้านพิมพ์พลอยเองก็รู้สึกเหมือนมีกระแสลมเย็นๆ พัดผ่านไปเมื่อรวินทร์สบตาเธอโดยไม่ตั้งใจ เธอรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะผู้คนในงานต่างก็เดินไปมากันขวักไขว่ บดบังทัศนียภาพ

จากมุมมืดของห้องจัดแสดง ซึ่งเป็นจุดที่เงาจากงานประติมากรรมขนาดใหญ่ทอดยาวไปทั่วพื้น พิมพ์พลอยรู้สึกเหมือนมี สายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เธออย่างไม่ลดละ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอีกต่อไป แต่เธอมองเห็น เงาตะคุ่มๆ ที่ดูคล้ายร่างผู้หญิงในชุดไทยโบราณสีขาวกำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ เธอกะพริบตาถี่ๆ เพื่อยืนยันสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากความมืดทึบ พิมพ์พลอยขนลุกซู่ ความรู้สึกเย็นวาบที่เกาะกินเธอมาทั้งวันพลันเข้มข้นขึ้นจนเธอต้องกอดแขนตัวเองแน่น เธอพยายามเหลือบมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืดทึบจากมุมอับ แต่อาการใจเต้นระรัวและเหงื่อซึมที่ฝ่ามือบอกเธอว่านี่ไม่ใช่แค่จินตนาการ

เดชาที่สังเกตเห็นว่ารวินทร์ดูเหมือนจะมองอะไรบางอย่างไปทางพิมพ์พลอย และรวินทร์ก็มีท่าทีครุ่นคิดแปลกๆ ก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง "วินทร์ นายดูใจลอยนะ มีอะไรหรือเปล่าวะ นี่งานสังคมนะ ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องเครียดๆ ในบริษัท" รวินทร์ปั้นยิ้มบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น "เปล่าหรอก... แค่กำลังคิดอะไรบางอย่างน่ะ" แล้วเขาก็หันไปกระซิบกับเดชาเบาๆ "นายเห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงมุมนั้นไหม ดูท่าทางน่าสนใจดีนะ ทั้งบุคลิกและรูปลักษณ์ ลองไปทำความรู้จักดูสิ เผื่อจะเป็นลูกค้าในอนาคตได้" แววตาของรวินทร์ฉายแววลึกล้ำเกินกว่าเดชาจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน เดชาหันไปมองตามสายตารวินทร์ และรอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าทันที "โอ้โห คนสวยซะด้วย! มีเสน่ห์แบบแปลกๆ ดีนะ วินทร์ตาถึงจริงๆ งั้นเดี๋ยวฉันไปทักทายนะ" เดชาไม่รอช้า เขาปรับท่าทางให้ดูเป็นมิตรและมั่นใจ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพิมพ์พลอยอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่รวินทร์ยืนมองอยู่ห่างๆ เพียงชั่วครู่ ปิ่น แฟนสาวของรวินทร์ก็เดินเข้ามาหา เธอเพิ่งลงจากรถและตรงมาที่รวินทร์ทันที เธอดูสวยสง่าในชุดราตรีสีแดงเพลิงที่ขับผิวให้ขาวผ่อง ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต เธอกอดแขนรวินทร์และซบหน้ากับไหล่เขาอย่างออดอ้อน "วินทร์คะ ปิ่นเกือบมองไม่เห็นวินทร์ ผู้คนเยอะแยะไปหมดเลย" รวินทร์ลูบผมปิ่นเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นที่เขาแสดงออกต่อหน้าผู้คน และเป็นภาพที่ตอกย้ำให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับปิ่นราวกับเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ

พิมพ์พลอยที่กำลังยืนดูภาพวาดอยู่ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเดชาเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสและน้ำเสียงเป็นกันเอง "สวัสดีครับ ไม่คิดว่าจะเจอคนชอบงานศิลปะเหมือนกันเลยนะครับ ผมเดชาครับ เป็นรองประธานบริษัท ดับเบิลยู.ซี. เอเธนส์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ งานศิลปะชิ้นนี้สวยมากเลยนะครับ คุณมีความเห็นยังไงบ้าง" พิมพ์พลอยยิ้มตอบด้วยความรู้สึกเป็นกันเองเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ ดิฉันพิมพ์พลอยค่ะ เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์ค่ะ” เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เดชาเป็นคนเปิดบทสนทนา เพราะเขาดูเป็นผู้บริหารระดับสูงและมีท่าทางมั่นใจมาก เดชาเริ่มชวนเธอคุยอย่างออกรส ทั้งเรื่องงานศิลปะที่จัดแสดง ซึ่งเขามีความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว และเรื่องงานกราฟิกดีไซน์ที่พิมพ์พลอยทำ เขาสนใจในผลงานของเธออย่างจริงใจและแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดกับชายหนุ่มคนนี้ และเริ่มเปิดใจพูดคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยหารู้ไม่ว่า เสน่ห์ที่เป็นกันเองของเดชากำลังนำเธอเข้าสู่กับดักที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่เธอจะจินตนาการ

ขณะที่เดชากำลังชวนพิมพ์พลอยคุยอย่างออกรสอยู่นั้น เสียงกระจกที่แตกดังเพล้ง! ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงจากมุมห้องจัดแสดงด้านในสุด ทำให้ผู้คนพากันหันไปมอง พิมพ์พลอยเองก็ตกใจหันหลังไปชนเข้ากับแท่นโชว์งานศิลปะชิ้นเล็กๆ ที่มีแจกันประดับอยู่บนนั้นอย่างจัง ทำให้แจกันใบงามที่ทำจากแก้วคริสตัลเนื้อดีขนาดใหญ่ล้มคว่ำและกำลังจะร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรง พิมพ์พลอยกรีดร้องด้วยความตกใจและพยายามจะถอยหนี เดชา มีปฏิกิริยาเร็วกว่าใครอย่างน่าทึ่ง เขารีบพุ่งเข้าคว้าแขนพิมพ์พลอยไว้แน่นและดึงเธอเข้ามาหลบด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่แจกันจะหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างฉิวเฉียด เสียงของมันกระทบพื้นดัง เพล้ง! แตกกระจายละเอียดเป็นเสี่ยงๆ ไปทั่วบริเวณ ชิ้นส่วนกระจกบางชิ้นกระเด็นมาโดนข้อเท้าของเดชา แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย พิมพ์พลอยหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมาจากอก เดชาจับไหล่เธอไว้แน่นและหันมาสบตาเธอ "คุณพิมพ์พลอยเป็นอะไรไหมครับ! คุณปลอดภัยดีใช่ไหม!" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงและใบหน้าของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

รวินทร์กับปิ่นที่อยู่ไม่ไกลก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของรวินทร์ยังคงสงบนิ่ง แต่แววตาของเขามีความกังวลฉายชัด "คุณไม่เป็นอะไรนะ" รวินทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ปิ่นเองก็รีบเข้ามาถามไถ่ด้วยความตกใจ "ตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย ปลอดภัยกันไหมคะ ปิ่นตกใจหมดเลยค่ะ" ปิ่นเข้ามาช่วยจับแขนพิมพ์พลอยอีกด้านด้วยความหวังดีและลูบแขนเบาๆ เพื่อปลอบประโลม สถานการณ์ตึงเครียดผ่านไปเมื่อเจ้าหน้าที่ของแกลเลอรีและทีมรักษาความปลอดภัยเข้ามาจัดการเศษซากแจกันแตก ผู้คนเริ่มกลับไปซุบซิบกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและถึงความโชคดีของหญิงสาวที่เกือบจะถูกแจกันหล่นใส่ แต่เดชาไม่ปล่อยมือจากพิมพ์พลอย เขายังคงจับไหล่เธอแน่น ราวกับจะส่งผ่านความปลอดภัยและกำลังใจให้ "ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ เมื่อกี้ตกใจแย่เลย หวังว่าคุณจะไม่เป็นอะไรจริงๆ นะครับ"

รวินทร์มองไปยังเศษซากแจกันที่แตกกระจายบนพื้นอย่างพินิจ ก่อนจะหันมามองพิมพ์พลอย "โชคดีนะที่มีเดชาอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ๆ" รวินทร์หันไปยิ้มให้เดชาเล็กน้อย "นายทำดีมาก เดชา ฉันไม่แปลกใจเลยที่นายจัดการสถานการณ์แบบนี้ได้ดีเยี่ยม" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันนี้ทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสี่เปลี่ยนไป จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนที่ผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินมาด้วยกัน ทำให้เกิดความสนิทสนมขึ้นอย่างรวดเร็ว เดชาอาสาไปหยิบเครื่องดื่มมาให้พิมพ์พลอยเพื่อคลายความตกใจ รวินทร์ก็ชวนคุยเรื่องงานศิลปะและงานกราฟิกดีไซน์ของเธออย่างออกรส แสดงความสนใจในผลงานของเธออย่างจริงใจ ปิ่นเองก็เข้ามาพูดคุยอย่างเป็นกันเองพร้อมเสนอบอกว่าจะช่วยหางานให้พิมพ์พลอยในอนาคต หากมีโปรเจกต์ที่น่าสนใจ เพราะปิ่นเองก็รู้จักคนในวงการธุรกิจมากมาย

คืนนั้น พิมพ์พลอยได้แลกเปลี่ยนคอนแทคกับเดชา รวินทร์ และปิ่น พวกเขานัดหมายว่าจะหาโอกาสไปทานข้าวด้วยกันเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น พิมพ์พลอยรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้พบเพื่อนใหม่ที่ดีและเป็นกันเองขนาดนี้ ความกลัวจากเหตุการณ์ประหลาดที่เจอมาตลอดทั้งวันดูเหมือนจะจางหายไปชั่วขณะ เธอเชื่อว่าเธอปลอดภัยแล้วในวงล้อมของเพื่อนใหม่เหล่านี้ โดยหารู้ไม่ว่าการ "พานพบ" ในคืนนี้คือการที่เหยื่อกำลังเดินเข้าสู่กับดักที่ถูกวางไว้อย่างแยบยล และสายตาปริศนาจากมุมมืดนั้นไม่ใช่แค่จินตนาการของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นสัญญาณแห่งโศกนาฏกรรมจากอดีตชาติที่กำลังตามมาทวงคืนอย่างไม่ลดละ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 13 บทส่งท้าย (คนจัญไร)

    ขณะที่ความตายและความมืดมิดเข้าครอบงำพิมพ์พลอย ประตูเรือนก็พลันเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างของ ปิ่น แฟนสาวของรวินทร์ ที่ก้าวเข้ามาในด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของพิมพ์พลอย เธอมองเห็นร่างไร้วิญญาณของพิมพ์พลอยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น และใบหน้าอำมหิตของรวินทร์ที่ยืนอยู่เหนือร่างนั้น ปิ่นกรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น“วินทร์! เกิดอะไรขึ้นคะ! คุณพิมพ์พลอยเป็นอะไรไป!” ปิ่นวิ่งตรงเข้ามาถามรวินทร์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามจะเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเพื่อขอคำอธิบาย แต่รวินทร์ (ที่ถูกลำดวนสิง) กลับสะบัดมือออกอย่างแรง มองปิ่นด้วยสายตาเย็นชา ไร้เยื่อใย ไม่มีความรู้สึกใดๆ ปรากฏในดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย“เจ้าหมดประโยชน์แล้วปิ่น... ไปให้พ้น!” เสียงของรวินทร์แหบพร่าและไร้อารมณ์ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ ลำดวนในร่างรวินทร์ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเห็นใจต่อปิ่นที่ถูกใช้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมอันโหดเหี้ยมนี้ ปิ่นยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงกับคำพูดของรวินทร์ ใบหน้าของเธอซีด

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 12 ไหม้เป็นจุล (ตอนจบ)

    ค่ำคืนนั้น... พายุโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เสียงฟ้าร้องครืนครั่นก้องไปทั่วฟ้า สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเป็นสายริ้วๆ สลับกับเสียงลมกรรโชกและเสียงฝนที่สาดซัดกระทบหน้าต่างอย่างรุนแรง บรรยากาศภายนอกดูราวกับเป็นลางร้าย สะท้อนความวุ่นวายภายในจิตใจของ พิมพ์พลอย ที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังถึงขีดสุดหลังจากถูก ลำดวน ตามราวีอย่างโหดเหี้ยมจนเธอต้อง "หลงเชื่อ" ในทุกคำพูดของ รวินทร์ พิมพ์พลอยได้เตรียมสิ่งของตามที่รวินทร์บอก และมายังบ้านเก่าของเขาตามนัดหมาย สิ่งที่เธอเกิดขึ้นคือเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะสังเกตุว่า บ้านเก่าของรวินทร์ คือเรือนไทยโบราณ เหมือนกับที่เธอฝันเห็นตลอด ตอนนี้ร่างกายของเธอบอบช้ำจากการอดหลับอดนอนติดต่อกันหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับคนบ้า ทุกย่างก้าวที่เธอก้าวเข้ามาในเรือนไทยแห่งนี้ คือย่างก้าวที่เต็มไปด้วยความกลัวและความหวังที่ริบหรี่ แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่อยากตาย เธอจึงพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดพิมพ์พลอยนำพาตัวเองมายังลานกว้างกลางเรือนที่ปกติ

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 11 หลงเชื่อ

    หลังจากที่ ลำดวนได้ใช้ "เล่ห์กล" หลอกหลอนพิมพ์พลอยต่างๆนาๆ ทำให้ ความเหนื่อยล้าทางกายและใจได้ถาโถมเข้าใส่พิมพ์พลอยอย่างหนัก เธอจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การที่ เดชา คอยอยู่เคียงข้าง ดูแลเอาใจใส่ และเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้กับเธออย่างสม่ำเสมอ ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง และเธอก็ "หลงเชื่อ" ในความรักและความห่วงใยที่เดชามีให้เธออย่างสุดหัวใจ เพราะเขาคือคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีคนอยู่เคียงข้างในโลกที่มืดมิดและเต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติที่กำลังตามราวีเธออย่างไม่ลดละในขณะเดียวกัน รวินทร์ ก็ยังคงติดต่อพิมพ์พลอยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ "ผู้ช่วยเหลือ" ที่รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของเธอ พิมพ์พลอยเองก็ "หลงเชื่อ" ในตัวรวินทร์อย่างมากเช่นกัน แม้ว่าบางครั้งเขาจะดูมีอาการแปลกๆ หรือพูดจาด้วยถ้อยคำที่น่าประหลาดใจ แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของเธอ และเสนอหนทางในการหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ พิมพ์พลอยรู้สึกราวกับรวินทร์คือความหวังสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอจึงพร้อมที่จะทำตามทุกสิ่งที่เขาสั่ง โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังความหวังนั้น มี "เล่ห์

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 10 เล่ห์กล

    แสงอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในห้องคอนโดที่มืดมิด ทว่ามันไม่ได้นำพาความอบอุ่นหรือความหวังมาสู่ พิมพ์พลอย เลยแม้แต่น้อย เธอนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้องเย็นเฉียบ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เข้าแทนที่ ภาพความทรงจำอันโหดร้ายจากอดีตชาติที่เธอได้เห็นในความฝันเมื่อคืนยังคงฉายซ้ำในมโนสำนึกไม่หยุดหย่อน การกระทำอัน "อัปปรีย์" ของ พิกุล ที่ทรมานทาส วางแผนชั่วร้าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวินาทีที่ผลัก ลำดวน ลงไปในน้ำ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มชั่วร้ายของพิกุลยังคงหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา พิมพ์พลอยรู้สึกคลื่นไส้และรังเกียจตัวเองอย่างรุนแรงจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตชาติ เธอจะเคยเป็นคนเลวทรามต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้ร่างกายของพิมพ์พลอยบอบช้ำจากความหวาดกลัวและอดหลับอดนอนมาหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนแทบจะไม่มีแรงขยับตัวได้อีกต่อไป “ทำไม... ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้... ทำไมต้องเป็นฉัน” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบแห้ง เธอพยายามจะลืม พยายามจะปฏิเสธความจริงอันน่ารังเกียจนี้ แต่ภาพเหล่านั้นมันชัดเจนเกินกว่าจะเป็น

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 9 อัปปรีย์

    หลังจากที่พิมพ์พลอยแยกย้ายกับ รวินทร์และปิ่น เธอก็ตรงกลับมาบ้าน และเผลอหลับไปบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าทันที ส่งผลให้จิตสำนึกของ พิมพ์พลอย ถูกฉุดกระชากย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาอันไกลโพ้นอีกครั้ง คราวนี้มันคือการดำดิ่งลงไปในวังวนแห่งอดีตชาติอย่างสมบูรณ์ ภาพและเสียงรอบกายชัดเจนราวกับเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจริง ๆ เธอเห็นตัวเองในร่างของ พิกุล หญิงสาวผู้เติบโตมาพร้อมกับ ลำดวน ด้วยความผูกพันที่แนบแน่นดุจพี่น้อง“แม่พิกุล… ดอกลำดวนที่เรือนเราบานสะพรั่งเชียวหนา” เสียงหวานของลำดวนเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองนั่งร้อยมาลัยดอกไม้ริมท่าน้ำ กลิ่นหอมหวานของดอกลำดวนโชยมาตามลมเย็น ๆ พิกุลยิ้มให้ลำดวน ใบหน้าของเธอดูอ่อนหวาน แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ทอประกายถึงดวงตา แววตาของพิกุลกลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะตีความ พิมพ์พลอยรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อเห็นสายตาเหล่านั้นของตัวเองในอดีตชาติ “พิกุล! อย่าวิ่งไปใกล้ท่าน้ำนักสิลูก! ดูสิแม่ลำดวนเขานั่งเรียบร้อยไม่ซนเหมือนเจ้าเลย” คุณหญิงแม่เอ่ยพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลำดวนที่นั่งรออยู่ข้างเรืออย่างสงบ เนื่องจากคุณหญิงเอ็นดูลำด

  • เล่ห์ลำดวน   บทที่ 8 ตามราวี

    พิมพ์พลอยลืมตาโพลงในความมืด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ภาพความฝันในอดีตชาติยังคงฉายชัดในมโนสำนึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอเห็นตัวเองในร่างของพิกุลกระทำต่อลำดวนอย่างโหดเหี้ยม แววตาของพิกุลในฝันเต็มไปด้วยความสะใจและไร้ซึ่งสำนึกผิดใดๆ นั่นคือ เธอ นั่นคือ บาปกรรม ที่เธอเคยก่อไว้ พิมพ์พลอยรู้สึกขนลุกซู่กับความชั่วร้ายของตนเองในอดีต เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตเธอจะเลวทรามได้ถึงเพียงนี้กลิ่นดอกลำดวนโชยเข้ามาในห้องอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนแสบจมูก ราวกับดอกไม้ถูกนำมาโรยไว้ทั่วห้อง กลิ่นนั้นเย็นยะเยือก กัดกินความรู้สึกสงบสุขที่เพิ่งได้รับจากเดชาไปเมื่อครู่ พิมพ์พลอยหอบหายใจถี่ เธอรู้ดีว่าลำดวนยังคงตามติดเธอมาไม่ห่าง ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ตามเธอพยายามขยับตัว แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับเตียง เธอได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ปลายเตียง เสียงนั้นคล้ายเสียงหัวเราะเยาะที่มาจากที่ไกลแสนไกล เกินกว่าที่มนุษย์จะเปล่งเสียงได้ พิมพ์พลอยอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับจุกอยู่ที่ลำคอ เธอรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างจนหนาวสั่นไปถึงไขกระดูก ราวกับจะแช่แข็งทุกสิ่งในตัวเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status