หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่งานอาร์ตแกลเลอรี พิมพ์พลอยกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบหมดเรี่ยวแรง แต่ในความเหนื่อยนั้นก็ปนเปความตื่นเต้นกับการได้พบกับคนใหม่ๆ อย่างเดชา รวินทร์ และปิ่น ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวจากเหตุการณ์ประหลาดตลอดทั้งวันที่เธอเผชิญมาลดลงไปได้บ้าง เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกตัวเองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพหลอนที่เกิดจากความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอทิ้งตัวลงบนเตียง ภาพเงาตะคุ่มในชุดไทยโบราณจากความฝันก็ยังคงติดตาเธอราวกับภาพสลัก เสียงกระซิบ "พิกุล... พิกุล..." ยังคงก้องอยู่ในหูราวกับเสียงสะท้อนจากความมืดมิดที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้
คืนนั้น พิมพ์พลอยนอนหลับไปพร้อมความอ่อนเพลียที่เกาะกินร่างกาย แต่ฝันร้ายยังคงตามมาหลอกหลอนหนักหนาขึ้นกว่าเดิม ในความฝัน เธอเห็นภาพตัวเองในชุดไทยโบราณยืนอยู่ริมท่าน้ำเก่าคร่ำคร่าท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดครึ้มไร้ดวงดาว มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ ส่องลอดกิ่งไม้ใหญ่ริมฝั่ง สายตาของเธอในความฝันเต็มไปด้วย ความหวาดกลัวสุดขีดและความสับสน ที่มิอาจเข้าใจได้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น มือของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ขณะที่ในมือมีท่อนไม้แห้งที่ดูหนักอึ้งและแข็งกระด้าง อาบไปด้วยคราบเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั่ว เบื้องหน้าออกไปพบร่างหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายกัน เพียงแต่ใบหน้าของหญิงคนนั้นเลือนลางราวกับควันสีเทา แต่แววตาของเงาร่างนั้นฉายชัดถึง ความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอก และความอาฆาตมาดร้ายที่แผ่ซ่านออกมา เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อ "พิกุล" ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหญิงสาวปริศนาคนนั้น เสียงร้องไห้โหยหวนปนเสียงสะอื้นที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจแว่วเข้ามาในโสตประสาท มันเป็นเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนทำให้เธอสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อกาฬซึมเต็มแผ่นหลังและเส้นผมเปียกชื้น พิมพ์พลอยลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ด้วยความหวาดผวา เธอพยายามรวบรวมสติและบอกตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันอันเลวร้าย แต่ความรู้สึกหนาวเหน็บที่ข้อเท้ายังคงอยู่ ราวกับสัมผัสเย็นเฉียบของน้ำในลำคลองจากความฝันที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ และกลิ่นหอมเย็นของดอกลำดวนก็คละคลุ้งไปทั่วห้องนอนของเธอ ทั้งที่เธอไม่เคยมีต้นลำดวนหรือดอกลำดวนอยู่ภายในบ้านแม้แต่ดอกเดียว
รุ่งเช้าของวันศุกร์ พิมพ์พลอยยังคงรู้สึกอ่อนเพลียและมึนงงจากการนอนไม่พออย่างหนัก เธอต้องอาบน้ำเย็นจัดเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด พยายามที่จะจดจ่ออยู่กับงานกราฟิกดีไซน์ที่ค้างอยู่ แต่ก็รู้สึกเหมือนมี ใครบางคนเดินวนเวียนอยู่ในห้อง ตลอดเวลาที่เธอนั่งทำงาน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นบ้าง ห้องครัวบ้าง หรือแม้กระทั่งเสียงเหมือนมีคนลากบางสิ่งบางอย่างบนพื้นไม้เก่าๆ ก็ดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้เธอต้องหันไปมองอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเธอเดินไปหยิบแก้วน้ำในครัว เธอรู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านต้นคอพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลำดวนที่โชยมาเข้าจมูกอย่างจัง กลิ่นนั้นชัดเจนจนเธอต้องยกมือขึ้นมาดมเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง ทั้งที่เธอไม่เคยมีดอกไม้ชนิดนี้ในบ้านเลย พิมพ์พลอยรีบหันขวับกลับไป แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า เธอพยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอย่างสุดความสามารถ เช่น พัดลมที่เปิดทิ้งไว้ หรือกลิ่นจากข้างนอกที่ลอยเข้ามาจากช่องลมเล็กๆ แต่ลึกๆ ในใจ เธอกำลังเริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ่บริษัท "ดับเบิลยู.ซี. เอเธนส์" อาคารกระจกสูงเสียดฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ บรรยากาศการทำงานยังคงเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด รวินทร์ ซีอีโอหนุ่มผู้สง่างาม กำลังประชุมกับคณะผู้บริหารระดับสูงในห้องประชุมกระจกใสที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองได้กว้างไกล เขาอธิบายวิสัยทัศน์ของโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวด้วยน้ำเสียงสุขุม เยือกเย็น และมั่นใจในทุกถ้อยคำ แววตาคมกริบของเขากวาดมองผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนอย่างละเอียด ราวกับสามารถหยั่งรู้ความคิดของแต่ละคนได้ รวินทร์เป็นที่เคารพและเกรงขามของพนักงานทุกคน ด้วยความฉลาดเฉลียว เด็ดขาด และไม่เคยพลาดเป้าหมายที่วางไว้แม้แต่ครั้งเดียว แม้จะดูเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เขาก็มีบารมีที่ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นและพร้อมที่จะเดินตามวิสัยทัศน์ของเขาอย่างไม่มีข้อกังขา
หลังจากการประชุมอันยาวนานสิ้นสุดลง เดชา รองประธานบริษัทและหุ้นส่วนคนสนิทของรวินทร์ เดินเข้ามาในห้องทำงานของรวินทร์ พร้อมเอกสารสรุปผลการประชุมกองโต "วินทร์ นายจัดการการประชุมได้ดีมากเลยนะ ทุกคนดูมั่นใจกับโปรเจกต์ใหม่นี้สุดๆ ไปเลย" เดชาเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและจริงใจ เขาวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานไม้เนื้อดีขัดมันวาวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รวินทร์พยักหน้ารับเล็กน้อย “ทุกคนต้องเชื่อมั่นในทิศทางที่เราจะไป” เขาตอบพลางจิบกาแฟที่เดชานำมาวางไว้ให้ "เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง" น้ำเสียงของรวินทร์เรียบเฉย แต่แฝงความสนใจเล็กน้อยที่เดชาจับสังเกตได้ เดชานั่งลงบนโซฟารับแขกอย่างสบายๆ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “ก็ดีนะวินทร์ ผู้คนเยอะแยะเลย ฉันเจอคนที่น่าสนใจหลายคน รวมถึงคุณพิมพ์พลอยที่นายทักทายด้วยนะ เธอน่ารักดี เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่เก่งมาก ดูเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ” เดชาพูดถึงพิมพ์พลอยด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างออกนอกหน้า รวินทร์สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเดชา เขารู้ดีว่าเดชาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมและเข้ากับคนง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอาจใช้ประโยชน์จากมันได้ในอนาคตอันใกล้
รวินทร์ยิ้มบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น "งั้นหรือ... ฉันว่าเธออาจจะช่วยงานบริษัทเราได้นะ ถ้ามีโปรเจกต์ที่ต้องใช้กราฟิกดีไซน์เก่งๆ บางทีเราอาจจะต้องการมุมมองใหม่ๆ จากฟรีแลนซ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์แบบเธอ" น้ำเสียงของรวินทร์ฟังดูเป็นปกติ แต่ภายในใจเขากำลังประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดถึงความเป็นไปได้ในการดึงพิมพ์พลอยเข้ามาใกล้ตัว เขาจำความรู้สึกที่ปะทุขึ้นในใจเมื่อสบตากับพิมพ์พลอยได้ดี มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงและปวดร้าวอย่างประหลาด ราวกับเสียงก้องจากอดีตที่ห่างหายไปนานแสนนาน "ความคุ้นเคยนี้... ทำไมถึงรู้สึกรุนแรงและเจ็บปวดเช่นนี้" ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของรวินทร์ เป็นความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
“ได้เลยวินทร์ เดี๋ยวฉันลองคุยกับเธออีกที” เดชาตอบรับอย่างกระตือรือร้น “ฉันกำลังจะชวนเธอไปทานข้าวเย็นเพื่อคุยเรื่องงานด้วย เผื่อเธอจะสนใจมาร่วมงานกับเรา” เดชาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตารางงาน “วันนี้เย็น..พอดีเลย ฉันว่างเดี๋ยวลองชวนเธอดูก่อน” รวินทร์พยักหน้าช้าๆ "ดีมากเลยเดชา จัดการตามที่เห็นสมควร" ดวงตาของรวินทร์จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นวิวเมืองอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แววตาของเขาฉายแววลึกล้ำเกินกว่าเดชาจะเข้าใจ ความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของรวินทร์ แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอะไร มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายจะถูกดึงดูดและผลักไสไปพร้อมๆ กัน
เย็นวันนั้น พิมพ์พลอยได้รับข้อความจากเดชา ชวนเธอไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียนหรูย่านสุขุมวิท เพื่อพูดคุยเรื่องงานและการทำความรู้จักกันให้มากขึ้น พิมพ์พลอยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เดชาจริงจังกับการชวนคุยเรื่องงานถึงขนาดนัดทานข้าว แต่ก็รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้สร้างคอนเนกชันใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสายอาชีพของเธอ เธอตอบตกลงไปในที่สุดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนหวังเล็กน้อย
ร้านอาหารอิตาเลียนที่เดชาเลือกนั้นเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดัง บรรยากาศภายในร้านหรูหราแต่ก็อบอุ่นด้วยแสงไฟสีส้มนวลที่ส่องกระทบโคมระย้าคริสตัลระยิบระยับ กลิ่นหอมของอาหารอิตาเลียนชั้นดีคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พิมพ์พลอยเดินทางมาถึงก่อนเล็กน้อย เธอเลือกโต๊ะริมหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนอันสวยงาม และนั่งรอไม่นาน เดชาก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเขา "ขอโทษที่ให้รอนะครับคุณพิมพ์พลอย รถติดนิดหน่อยครับ แต่ผมดีใจมากที่คุณตอบตกลงมาทานข้าวด้วยกัน" เขานั่งลงตรงข้ามเธอ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มให้กับทั้งคู่และพนักงานเสิร์ฟที่เข้ามาต้อนรับอย่างสุภาพ
บทสนทนาเริ่มขึ้นอย่างเป็นกันเองและราบรื่น เดชาเล่าเรื่องราวตลกๆ เกี่ยวกับการทำงานในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเขา ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกผ่อนคลายและหัวเราะได้บ่อยครั้งอย่างไม่คาดคิด เขายังถามไถ่ถึงงานกราฟิกดีไซน์ของเธออย่างละเอียด แสดงความเข้าใจและชื่นชมในความสามารถของเธออย่างจริงใจ “ผมประทับใจงานของคุณมากเลยนะคุณพิมพ์พลอย มีความเป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นมาก ผมคิดว่างานของคุณมีศักยภาพที่จะไปได้ไกลในระดับสากลเลยทีเดียว” ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอย่างออกรส สายตาของพิมพ์พลอยก็พลันเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างาม นั่นคือ รวินทร์ ในชุดสูทสีเข้มที่ดูสมาร์ทและสง่างามกว่าใครในร้าน เขากำลังเดินมาพร้อมกับ ปิ่น แฟนสาวของเขา ปิ่นในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวให้ขาวผ่องดูสวยสง่าและโดดเด่นในทุกย่างก้าว รวินทร์ยิ้มให้กับปิ่นอย่างอ่อนโยนพร้อมกับโอบเอวเธออย่างทะนุถนอม พยักหน้ารับคำทักทายจากผู้คนรอบข้างที่รู้จักเขา และหันไปสนทนาสั้นๆ กับลูกค้าที่ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญ ในแววตาของเขาดูเหมือนจะไม่มีใครนอกจากปิ่น และเรื่องธุรกิจ พิมพ์พลอยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นรวินทร์และปิ่นมาที่ร้านนี้ด้วย โดยเฉพาะร้านที่ดูเหมือนจะเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก
เดชาเห็นพิมพ์พลอยมองไปทางรวินทร์กับปิ่น ก็ยิ้มเล็กน้อย “อ่า... รวินทร์กับปิ่นก็มาด้วยพอดีเลยครับ พอดีวันนี้มีนัดทานข้าวกับคุณหญิงวรรณา ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทเราน่ะครับ เลยมาที่ร้านนี้ด้วยกัน” เดชาอธิบาย พิมพ์พลอยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่าโลกของคนชั้นสูงนั้นแคบแค่ไหน การพบกันที่ร้านอาหารหรูแห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่
ไม่นานหลังจากนั้น รวินทร์กับปิ่นก็เดินมาถึงโต๊ะของเดชาและพิมพ์พลอย "สวัสดีเดชา" รวินทร์ทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงความหนักแน่นตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะหันมามองพิมพ์พลอย "สวัสดีครับคุณพิมพ์พลอย ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเร็วขนาดนี้" รวินทร์ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก แววตาของเขาฉายแววลึกลับจนพิมพ์พลอยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ปิ่นเองก็ยิ้มแย้มสดใสและเป็นกันเองยิ่งกว่าเดิม "สวัสดีค่ะคุณพิมพ์พลอย ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจออีกครั้ง ปิ่นเห็นว่าร้านนี้อาหารอร่อยนะคะ เดี๋ยวเรามาทานด้วยกันบ่อยๆ นะคะ" เธอเอ่ยอย่างเป็นกันเองและชวนให้รู้สึกสนิทสนมในทันที
บทสนทนาที่โต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวา ในระหว่างที่สองหนุ่มไปเข้าห้องน้ำกัน ปิ่นก็เล่าเรื่องราวในวงการสังคมและแฟชั่นให้พิมพ์พลอยฟังอย่างสนุกสนาน ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกผ่อนคลายและเข้ากับปิ่นได้อย่างรวดเร็ว พอเดชากลับมาก็ยังคงคุยแบบเป็นกันเองและชวนพิมพ์พลอยคุยเรื่องงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรเจกต์ใหม่ของบริษัทที่อาจจะต้องการกราฟิกดีไซเนอร์ฝีมือดี รวินทร์จะร่วมวงสนทนาเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งที่เขาพูด ทุกคนก็จะตั้งใจฟัง เขามักจะพูดน้อยแต่ได้ใจความ และมีมุมมองที่เฉียบคมอยู่เสมอ พิมพ์พลอยสังเกตว่ารวินทร์มักจะแอบเหลือบมองมาที่เธอเป็นพักๆ ด้วยสายตาที่เธอไม่อาจเข้าใจ มันไม่ใช่สายตาชื่นชมทั่วไป แต่เป็นสายตาที่ลึกล้ำราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนเขากำลังมองทะลุเข้าไปในตัวเธอ
ขณะที่อาหารค่ำดำเนินไปอย่างเพลิดเพลิน พิมพ์พลอยก็เริ่มรู้สึกถึง ความผิดปกติบางอย่างอีกครั้ง ที่เธอเคยเจอมาตลอดทั้งวัน เธอรู้สึกเย็นวาบที่หลังคอ เหมือนมีใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเธอโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น กลิ่นหอมจางๆ ของดอกลำดวนที่แสนคุ้นเคยก็โชยมาเข้าจมูกอย่างชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ ราวกับมีใครนำดอกไม้มาวางไว้ใกล้ๆ เธอพยายามหันไปมองอย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่พบใครนอกจากพนักงานที่กำลังเดินไปมาในร้านที่ดูวุ่นวายเล็กน้อย และความรู้สึกที่ถูกจ้องมองจากมุมมืดก็กลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรง เธอเหลือบมองไปที่กระจกเงาบานใหญ่ที่ตกแต่งผนังร้าน และเห็น เงาสะท้อนเลือนรางของร่างผู้หญิงในชุดไทยโบราณปรากฏขึ้นอยู่ด้านหลังเธอชั่วครู่ ใบหน้าของเงาสะท้อนนั้นดูบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วราวกับภาพลวงตา พิมพ์พลอยใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เหงื่อซึมที่ฝ่ามือ เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ พยายามที่จะไม่แสดงอาการผิดปกติให้ใครเห็น แต่ภายในใจเธอกำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง
รวินทร์สังเกตเห็นอาการผิดปกติของพิมพ์พลอย เขามองเห็นแววตาของพิมพ์พลอยที่วูบไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างชัดเจน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของรวินทร์ ราวกับกำลังเฝ้าดูปฏิกิริยาของใครบางคนอย่างสนใจ "น่าสนใจ... ความผูกพันนี้ยังคงอยู่สินะ" ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของรวินทร์ มันเป็นเพียงความรู้สึกเชื่อมโยงที่ลึกลับ ที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
หลังมื้อค่ำ เดชาอาสาไปส่งพิมพ์พลอยที่บ้าน พวกเขานัดหมายกันถึงโอกาสในการร่วมงานในอนาคต และเดชาก็บอกว่าเขาจะโทรหาพิมพ์พลอยอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เพื่อพูดคุยเรื่องโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้น พิมพ์พลอยรู้สึกขอบคุณและดีใจที่ได้ทำความรู้จักกับพวกเขาในวันนี้ เธอรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจที่ได้อยู่ท่ามกลางคนดีๆ เหล่านี้
ทันทีที่พิมพ์พลอยก้าวเข้าบ้าน ความรู้สึกเย็นวาบที่เธอเคยเจอตั้งแต่เช้าก็กลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรงจนเธอรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง เธอรู้สึกเหมือนมี ใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเธอ ห่างออกไปเพียงแค่ลมหายใจ ลมหายใจเย็นๆ รดต้นคอพร้อมกับกลิ่นดอกลำดวนที่หอมอบอวลไปทั่วห้องจนเวียนหัว เธอหันขวับกลับไป และในความมืดสลัวของห้องที่แสงไฟสลัวๆ จากโคมไฟข้างเตียงส่องไม่ถึง เธอเห็น เงาตะคุ่มของร่างผู้หญิงในชุดไทยโบราณยืนจ้องมองเธออยู่ไม่ไกล เงาร่างนั้นสูงโปร่งราวกับยืนตระหง่านอยู่เหนือเธอ ดวงตาของเงานั้นเรืองรองด้วยแสงสีแดงก่ำ สื่อถึงความเจ็บปวด ความอาฆาตแค้น และความปรารถนาที่จะทวงคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด พิมพ์พลอยกรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ร่างกายสั่นเทาจนควบคุมไม่ได้ ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่ไหว ก่อนที่ร่างของเธอจะทรุดฮวบลงกับพื้น ท่ามกลางความมืดมิดและกลิ่นดอกลำดวนที่คละคลุ้งไปทั่วบ้าน ราวกับว่าบ้านของเธอกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันน่าสะพรึงกลัวจากอดีต
โดยหารู้ไม่ว่า การพานพบในคืนนี้คือการที่เหตุการณ์ต่างๆ เริ่ม "ประจวบเหมาะ" กันอย่างน่าประหลาดใจและน่าขนลุก และสายตาปริศนาจากมุมมืดนั้นไม่ใช่แค่จินตนาการของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่มันคือสัญญาณแห่งโศกนาฏกรรมจากอดีตชาติที่กำลังตามมาทวงคืนอย่างไม่ลดละ และ ลำดวน วิญญาณพยาบาทที่ถูกกักขังมานานนับร้อยปี กำลังตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
ขณะที่ความตายและความมืดมิดเข้าครอบงำพิมพ์พลอย ประตูเรือนก็พลันเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างของ ปิ่น แฟนสาวของรวินทร์ ที่ก้าวเข้ามาในด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของพิมพ์พลอย เธอมองเห็นร่างไร้วิญญาณของพิมพ์พลอยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น และใบหน้าอำมหิตของรวินทร์ที่ยืนอยู่เหนือร่างนั้น ปิ่นกรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น“วินทร์! เกิดอะไรขึ้นคะ! คุณพิมพ์พลอยเป็นอะไรไป!” ปิ่นวิ่งตรงเข้ามาถามรวินทร์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามจะเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเพื่อขอคำอธิบาย แต่รวินทร์ (ที่ถูกลำดวนสิง) กลับสะบัดมือออกอย่างแรง มองปิ่นด้วยสายตาเย็นชา ไร้เยื่อใย ไม่มีความรู้สึกใดๆ ปรากฏในดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย“เจ้าหมดประโยชน์แล้วปิ่น... ไปให้พ้น!” เสียงของรวินทร์แหบพร่าและไร้อารมณ์ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ ลำดวนในร่างรวินทร์ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเห็นใจต่อปิ่นที่ถูกใช้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมอันโหดเหี้ยมนี้ ปิ่นยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงกับคำพูดของรวินทร์ ใบหน้าของเธอซีด
ค่ำคืนนั้น... พายุโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เสียงฟ้าร้องครืนครั่นก้องไปทั่วฟ้า สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเป็นสายริ้วๆ สลับกับเสียงลมกรรโชกและเสียงฝนที่สาดซัดกระทบหน้าต่างอย่างรุนแรง บรรยากาศภายนอกดูราวกับเป็นลางร้าย สะท้อนความวุ่นวายภายในจิตใจของ พิมพ์พลอย ที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังถึงขีดสุดหลังจากถูก ลำดวน ตามราวีอย่างโหดเหี้ยมจนเธอต้อง "หลงเชื่อ" ในทุกคำพูดของ รวินทร์ พิมพ์พลอยได้เตรียมสิ่งของตามที่รวินทร์บอก และมายังบ้านเก่าของเขาตามนัดหมาย สิ่งที่เธอเกิดขึ้นคือเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะสังเกตุว่า บ้านเก่าของรวินทร์ คือเรือนไทยโบราณ เหมือนกับที่เธอฝันเห็นตลอด ตอนนี้ร่างกายของเธอบอบช้ำจากการอดหลับอดนอนติดต่อกันหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับคนบ้า ทุกย่างก้าวที่เธอก้าวเข้ามาในเรือนไทยแห่งนี้ คือย่างก้าวที่เต็มไปด้วยความกลัวและความหวังที่ริบหรี่ แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่อยากตาย เธอจึงพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดพิมพ์พลอยนำพาตัวเองมายังลานกว้างกลางเรือนที่ปกติ
หลังจากที่ ลำดวนได้ใช้ "เล่ห์กล" หลอกหลอนพิมพ์พลอยต่างๆนาๆ ทำให้ ความเหนื่อยล้าทางกายและใจได้ถาโถมเข้าใส่พิมพ์พลอยอย่างหนัก เธอจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การที่ เดชา คอยอยู่เคียงข้าง ดูแลเอาใจใส่ และเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้กับเธออย่างสม่ำเสมอ ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง และเธอก็ "หลงเชื่อ" ในความรักและความห่วงใยที่เดชามีให้เธออย่างสุดหัวใจ เพราะเขาคือคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีคนอยู่เคียงข้างในโลกที่มืดมิดและเต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติที่กำลังตามราวีเธออย่างไม่ลดละในขณะเดียวกัน รวินทร์ ก็ยังคงติดต่อพิมพ์พลอยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ "ผู้ช่วยเหลือ" ที่รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของเธอ พิมพ์พลอยเองก็ "หลงเชื่อ" ในตัวรวินทร์อย่างมากเช่นกัน แม้ว่าบางครั้งเขาจะดูมีอาการแปลกๆ หรือพูดจาด้วยถ้อยคำที่น่าประหลาดใจ แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของเธอ และเสนอหนทางในการหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ พิมพ์พลอยรู้สึกราวกับรวินทร์คือความหวังสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอจึงพร้อมที่จะทำตามทุกสิ่งที่เขาสั่ง โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังความหวังนั้น มี "เล่ห์
แสงอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในห้องคอนโดที่มืดมิด ทว่ามันไม่ได้นำพาความอบอุ่นหรือความหวังมาสู่ พิมพ์พลอย เลยแม้แต่น้อย เธอนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้องเย็นเฉียบ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เข้าแทนที่ ภาพความทรงจำอันโหดร้ายจากอดีตชาติที่เธอได้เห็นในความฝันเมื่อคืนยังคงฉายซ้ำในมโนสำนึกไม่หยุดหย่อน การกระทำอัน "อัปปรีย์" ของ พิกุล ที่ทรมานทาส วางแผนชั่วร้าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวินาทีที่ผลัก ลำดวน ลงไปในน้ำ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มชั่วร้ายของพิกุลยังคงหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา พิมพ์พลอยรู้สึกคลื่นไส้และรังเกียจตัวเองอย่างรุนแรงจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตชาติ เธอจะเคยเป็นคนเลวทรามต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้ร่างกายของพิมพ์พลอยบอบช้ำจากความหวาดกลัวและอดหลับอดนอนมาหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนแทบจะไม่มีแรงขยับตัวได้อีกต่อไป “ทำไม... ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้... ทำไมต้องเป็นฉัน” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบแห้ง เธอพยายามจะลืม พยายามจะปฏิเสธความจริงอันน่ารังเกียจนี้ แต่ภาพเหล่านั้นมันชัดเจนเกินกว่าจะเป็น
หลังจากที่พิมพ์พลอยแยกย้ายกับ รวินทร์และปิ่น เธอก็ตรงกลับมาบ้าน และเผลอหลับไปบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าทันที ส่งผลให้จิตสำนึกของ พิมพ์พลอย ถูกฉุดกระชากย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาอันไกลโพ้นอีกครั้ง คราวนี้มันคือการดำดิ่งลงไปในวังวนแห่งอดีตชาติอย่างสมบูรณ์ ภาพและเสียงรอบกายชัดเจนราวกับเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจริง ๆ เธอเห็นตัวเองในร่างของ พิกุล หญิงสาวผู้เติบโตมาพร้อมกับ ลำดวน ด้วยความผูกพันที่แนบแน่นดุจพี่น้อง“แม่พิกุล… ดอกลำดวนที่เรือนเราบานสะพรั่งเชียวหนา” เสียงหวานของลำดวนเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองนั่งร้อยมาลัยดอกไม้ริมท่าน้ำ กลิ่นหอมหวานของดอกลำดวนโชยมาตามลมเย็น ๆ พิกุลยิ้มให้ลำดวน ใบหน้าของเธอดูอ่อนหวาน แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ทอประกายถึงดวงตา แววตาของพิกุลกลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะตีความ พิมพ์พลอยรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อเห็นสายตาเหล่านั้นของตัวเองในอดีตชาติ “พิกุล! อย่าวิ่งไปใกล้ท่าน้ำนักสิลูก! ดูสิแม่ลำดวนเขานั่งเรียบร้อยไม่ซนเหมือนเจ้าเลย” คุณหญิงแม่เอ่ยพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลำดวนที่นั่งรออยู่ข้างเรืออย่างสงบ เนื่องจากคุณหญิงเอ็นดูลำด
พิมพ์พลอยลืมตาโพลงในความมืด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ภาพความฝันในอดีตชาติยังคงฉายชัดในมโนสำนึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอเห็นตัวเองในร่างของพิกุลกระทำต่อลำดวนอย่างโหดเหี้ยม แววตาของพิกุลในฝันเต็มไปด้วยความสะใจและไร้ซึ่งสำนึกผิดใดๆ นั่นคือ เธอ นั่นคือ บาปกรรม ที่เธอเคยก่อไว้ พิมพ์พลอยรู้สึกขนลุกซู่กับความชั่วร้ายของตนเองในอดีต เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตเธอจะเลวทรามได้ถึงเพียงนี้กลิ่นดอกลำดวนโชยเข้ามาในห้องอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนแสบจมูก ราวกับดอกไม้ถูกนำมาโรยไว้ทั่วห้อง กลิ่นนั้นเย็นยะเยือก กัดกินความรู้สึกสงบสุขที่เพิ่งได้รับจากเดชาไปเมื่อครู่ พิมพ์พลอยหอบหายใจถี่ เธอรู้ดีว่าลำดวนยังคงตามติดเธอมาไม่ห่าง ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ตามเธอพยายามขยับตัว แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับเตียง เธอได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ปลายเตียง เสียงนั้นคล้ายเสียงหัวเราะเยาะที่มาจากที่ไกลแสนไกล เกินกว่าที่มนุษย์จะเปล่งเสียงได้ พิมพ์พลอยอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับจุกอยู่ที่ลำคอ เธอรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างจนหนาวสั่นไปถึงไขกระดูก ราวกับจะแช่แข็งทุกสิ่งในตัวเ