ชิงเสียขมวดคิ้ว “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด”นิ้วเล็กของปี้อันชี้ไปยังแขนเสื้อข้างหนึ่งของชิงเสีย “กำไลหยกเขียวครอบทองวงนั้น ข้าจำได้ว่าเคยเห็นพระนางสวมใส่ มีค่าควรเมืองเกินกว่าที่นางกำนัลอย่างข้าและพี่จะเป็นเจ้าของได้”ชิงเสียสะดุ้ง รีบยกมืออีกข้างปิดบังกำไลหยกเขียวนั้นอย่างรวดเร็ว “ข...ข้าเองก็ดุจเดียวกับเจ้า ทำความดีความชอบถวายพระนางฮองเฮา จึงได้รับประทานมา”ปี้อันยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นหรือ ตอนที่ข้าได้รับประทานของมาจากพระนาง ข้าก็เอ่ยทักถึงกำไลหยกเขียวครอบทองที่พระนางเคยสวมใส่ พระนางตรัสกับข้าว่าความจำดียิ่ง และยังว่าพี่เป็นคนเตือนความจำพระนางเองว่าได้ประทานให้พี่เฉินปี้ไปแล้ว แต่กลับมาอยู่ที่พี่เช่นนี้ หรือว่าพี่เฉินปี้ใจดี ให้ท่านยืมใส่หรือเจ้าคะ? เช่นนั้นไว้ว่างๆ ข้าจะลองไปขอเครื่องประดับสวยๆ จากนางมาใส่บ้างดีกว่า”“เจ้า” ชิงเสียกัดฟันกรืดกรอด ไม่นึกว่าการโยนความผิดให้ผู้อื่นบ่อยครั้งเช่นนี้จะเป็นภัยย้อนกลับเข้าตัว ยิ่งถ้านางไปรีบร้อนอธิบายกับฮองเฮาก็มีแต่เสียกับเสีย ความรู้สึกอัดอั้นคับแค้นที่มีต่อคนตรงหน้าทำให้มือข้างที่ปิดบังกำไลหยกจนถึงเมื่อครู่กลับบีบกำไลหยกเนื้อเย็นเสียแน่นจนแ
...เมื่อถึงวันนัดพบ ชิงเสียที่ตื่นมาตั้งแต่แสงเงินแสงทองของดวงตะวันยังมิทันจับขอบฟ้า ปรนนิบัติฮองเฮาล้างหน้าสางผมเปลี่ยนอาภรณ์อย่างเอาใจใส่ ขณะที่ชิงเสียกับเทินถาดที่มีฮวาเตี้ยนทองคำ (หรือ จิ่นเตี้ยน เป็นดอกไม้ประดับหน้าผาก บ้างเป็นแผ่นเงินหรือแผ่นทองบางๆ ฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ แต่ส่วนมากนิยมใช้สีชาดวาดแต้ม) เรียงราย ฮองเฮาพลันย่นคิ้วน้อยๆ แล้วเอ่ยถาม “จะว่าไปต่างหูทับทิมแดงของข้าหายไปคู่หนึ่ง ชิงเสีย เจ้าเห็นมันบ้างหรือไม่”“ต่างหูทับทิมแดงหรือเพคะ” ดวงตาของชิงเสียกลอกไปมาก่อนเอ่ย “หม่อมฉันจำได้ว่าคราวก่อน เฉินปี้มวยผมได้เป็นที่พอพระทัยของฮองเฮา พระนางจึงประทานต่างหูทับทิมแดงเป็นรางวัลให้นางเพคะ”ฮองเฮาเพียงปรายตามอง นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ชิงเสียเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ถ้าฮองเฮามีพระประสงค์จะสวมใส่ หม่อมฉันจะไปทวงคืนจากเฉินปี้...”“ไม่ต้องหรอก ของที่ให้ผู้อื่นแล้วมีใครเขาทวงคืนกัน อีกอย่างต่างหูนั่นข้าก็ใช้จนเบื่อแล้ว ที่ข้าถามก็เพียงเพราะว่านึกขึ้นได้ว่ามันเคยมีอยู่ในกล่องเครื่องประดับเท่านั้น” ฮองเฮาว่าพลางนิ้วมือเรียวงามกรีดไปตามแผ่นฮวาเตี้ยนแ
ในค่ำคืนที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของนางกำนัลผู้หนึ่งไปแล้วนั้น ทว่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงกลับยังไม่มีผู้ในหลับตาเอนกายลงนอน โดยเฉพาะนายตำหนักซึ่งพ่วงตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดินนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้กุ้ยเฟยตัวยาว ข้างตัวมีกระถางกำยานทองเหลืองซึ่งปี้อันนำมาจากตำหนักผิงอัน นางหยิบกระถางใบนั้นพลิกดูไปมาก่อนเอ่ย “นี่หรือ ของอัปมงคลที่เด็กนั่นว่า ตัวข้ามองอย่างไรก็เป็นเพียงกระถางกำยานธรรมดา”ชิงเสีย นางกำนัลส่วนตัวของฮองเฮาเห็นว่าเจ้านายของนางหยิบจับของที่มีผู้อ้างว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏในพิธีไสยศาสตร์เช่นนั้นก็ให้นึกกังวล “ฮองเฮา เราไม่รู้ที่มาที่ไปของกระถางกำยานนี้ หม่อมฉันว่าพระนางไม่ควรหยิบมันด้วยมือเปล่า แต่ถ้าพระนางต้องการดู หม่อมฉันจะถือให้เองเพคะ”ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือกันไม่ให้ชิงเสียแตะต้องกระถางกำยานนั้น ดวงตามีแววมั่นใจเต็มเปี่ยมระคนหลงใหลสิ่งของตรงหน้า “ชิงเสีย เจ้าคิดมากเกินไป อันว่าฮองเฮาเช่นตัวข้านั้นได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดิน อีกทั้งได้ปกครองฝ่ายในหกตำหนัก ย่อมมีบุญวาสนามากล้น ธาตุหยางแรงกล้า ไม่ว่าภูตผีปิศาจ สิ่งอัปมงคลอันใด หรือแม้กระทั่งกระถางกำยานใบน้อยเช่นนี้ก็มิอาจแผ้วพานตัวข้าได้หรอก”
จินฉานหลุบตาลง มองเด็กสาวที่นางเคยเมตตาเอ็นดูและ ‘ให้โอกาส’ หลายต่อหลายครั้ง แม้กระทั่งที่เด็กคนนี้แอบส่งข่าวให้คนของฮองเฮาที่หลังภูเขาจำลอง ด้วยสีหน้ากึ่งเยาะกึ่งสังเวช “เจ้ารักครอบครัวจึงทำเพื่อครอบครัว ข้าเข้าใจ เจ้ารักตนเองจึงทำเพื่อตนเอง ข้าเข้าใจ แต่ที่ตัวข้าไม่เข้าใจคือเจ้ารักถึงขนาดที่จะผลักไสคนผู้หนึ่งให้ตายไปได้เชียวหรือ”“หม่อมฉัน...หม่อมฉัน” ปี้อันสะอึกอึ้งพูดไม่ออกอีกต่อไป มีเพียงน้ำตาที่ไหลพร่างพรูลงอาบสองแก้ม ขับให้ใบหน้าน่ารักนั้นดูน่าสงสารขึ้นอักโข แต่สำหรับผู้ที่เคยขอร้องอ้อนวอนคนผู้หนึ่งด้วยน้ำตานองหน้าแต่ก็ไม่เคยได้รับความเมตตาหรือเห็นอกเห็นใจแม้เพียงเศษเสี้ยวอย่างจินฉาน น้ำตาที่ปี้อันหลั่งออกมาไม่ต่างอันใดกับน้ำตาจระเข้ เห็นแล้วมีแต่จะทำให้รู้สึกรำคาญระคนสะอิดสะเอียนทบเท่าทวี“ร้องไห้เสียมากมายเช่นนี้คงเข้าใจในสิ่งที่ตัวข้าเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ ว่าน้ำตานั้นมีค่า ให้เจ้าเก็บมันเอาไว้ในช่วงเวลาเป็นตายของชีวิต” จินฉานยิ้มขณะที่ปล่อยมือจากร่างที่หมอบราบอยู่กับพื้นและไม่อาจขยับเขยื้อนได้ดังใจของปี้อันลงพื้น จากนั้นจึงถอดแหวนทองที่ใส่ติดนิ้วเสมอมาออก “ถ้าเจ้าต้องการให้
ยามบ่ายคล้อยผ่านไปอย่างราบรื่น ชั่ววิบตาเดียวจันทร์ดวงกลมพลันคล้อยห้อยอยู่กลางกิ่งนภา...สตรีผู้หนึ่งอาศัยแสงสว่างนวลผ่องนั้นค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ห้องพระอย่างระมัดระวัง ที่นั่นจินฉานยังสวดมนต์ด้วยสีหน้าสงบตามปกติที่เคยทำ เสียงสวดมนต์นั้นเริ่มจากแผ่วเบาเนิบช้า สลับกับรัวเร็ว อีกทั้งภาษาที่แปลก และท่วงทำนองที่ประหลาด ทำให้บรรยากาศตรงบริเวณที่เสียงสวดนั้นส่งไปถึงดูวิเวกวังเวงจนขนทั่วร่างลุกชันนางสังเกตมานานจนมั่นใจว่าเสียงปริศนานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงคืนเดือนเพ็ญสิบห้าค่ำ จึงตัดสินใจเข้าไปในห้องพระของจินฉาน สำรวจตรวจสอบว่ามีสิ่งใดที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งอัปมงคลซึ่งเปี่ยมด้วยเล่ห์กลมนตร์ดำได้บ้างหรือไม่ ทว่าเมื่อหาจนทั่วแล้วก็ไม่มีอะไรผิดแปลกนอกเหนือจากกระถางกำยานที่อยู่ตรงฐานองค์พระซึ่งเป็นสินเดิมจากบ้านเกิด นางจนปัญญากอปรกับคนของฮองเฮาเร่งรัดให้หาหลักฐานเอาผิดจินฉานโดยไว จึงได้ตัดสินใจหยิบกระถางกำยานกระถางนั้นออกมาแล้วนำไปมอบให้กับคนของตำหนักเฟิ่งหวงทันที หลังจากนั้นนางจึงรอให้ถึงเวลากลางคืน เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางนำไปมอบให้กับประมุขฝ่ายในนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเล่นงานจินฉานให้ถึงตายได
หลังจากล่ำลาบิดาแล้วเดินกลับจากฝ่ายหน้า จินฉานไม่เร่งร้อนกลับตำหนักผิงอันโดยทันที แต่กลับเดินเล่นอยู่บริเวณสระบัวจนชุนเยี่ยนที่ตามประคองเจ้านายจนมาหยุดตรงใต้ร่มไม้ใหญ่ริมสระก่อนเอ่ยถาม “นายหญิง ตอนนี้บ่ายคล้อย อากาศเริ่มร้อนมากแล้ว อีกทั้งท่านยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน หม่อมฉันว่าเรารีบกลับตำหนักเถิดเพคะ หม่อมฉันจะได้ให้คนเตรียมอะไรให้ท่าน”จินฉานมองชุนเยี่ยนที่มีเหงื่อบางๆ ผุดซึมที่ขมับและตีนผม แล้วอมยิ้มจาง “ทำเป็นอ้างตัวข้า แท้จริงแล้วเจ้าต่างหากที่ทนอากาศร้อนไม่ไหว”ชุนเยี่ยนพองแก้ม แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าลอบซับเหงื่อแผ่วเบา “หม่อมฉันมาอยู่ที่ต้าเจวียนนับปีแล้ว ก็มิเคยคุ้นชินกับอากาศของที่นี่จริงๆ ทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ร่วงแท้ๆ แต่จู่ๆ อากาศก็เกิดร้อนขึ้นมา” พูดจบก็ทำจมูกฟุดฟิด “แต่ถ้านายหญิงยังมิอยากกลับตำหนัก เช่นนั้นเราก็ย้ายไปนั่งที่ศาลาใกล้ๆ นี่กันเถิดเพคะ ที่ตรงนี้อยู่นาน นอกจากร้อนชื้นไม่สบายตัวแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนปุ๋ยน้ำเสียอีก เดี๋ยวกลิ่นพวกนี้จะติดเสื้อผ้าของท่านเอาได้”จินฉานมองไปรอบๆ “ฝ่ายดูแลราชอุทยานคงเพิ่งรดปุ๋ยน้ำแถวนี้กระมัง” แล้วหันกลับไปมองชุนเยี่ยน “ไม่ทั
จินเฟยคล้ายจับความนัยของคำพูดหลานสาวได้ เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อได้ทันทีจนกลายเป็นการใส่ไคล้จินฉานโดยใช่เหตุ จึงได้แต่เอ่ยถามเสียงเรียบ “ฉานเอ๋อร์ เจ้ากล่าวล้อเล่นอันใด”“น้องสาวคนดี ที่หลานสาวเจ้าพูดนั้นมิผิด” จินเช่อยิ้มเอ่ย ก่อนที่ประโยคถัดมาจะเอ่ยเป็นภาษาถิ่นเกิด //ผู้ใดจะทำให้ป๋ายอี้หลุดพ้นจากความอัปยศที่กำลังเผชิญอยู่ได้ เท่ากับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มีสายเลือดป๋ายอี้ไหลเวียนอยู่ในกาย////พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กล่าวล้อเล่น ท่านย่อมรู้ดีว่าต้าเจวียนนั้นไม่เคยมีฮ่องเต้ที่มีสายเลือดต่างเผ่ามาก่อน ถึงแม้ว่าจะทำได้จริง แต่เหล่าขุนนางต้องไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งให้องค์ชายห้าเป็นรัชทายาทแน่//จินฉานมองออกไปด้านนอก //อาหญิงบอกกับข้าเอง ว่าองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่สิ้นบุญไปตั้งแต่ยังหนุ่ม องค์ชายรองสุภาพอ่อนโยนไม่เหมาะเป็นนายคน องค์ชายสามต้องโทษจนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย องค์ชายที่เกิดจากเซวียนชูเฟยเองก็ออกมาเป็นคนก็มิใช่ปิศาจก็มิเชิงตกตายไปพร้อมกับมารดาผู้ให้กำเนิดไป กระนั้นแล้ว จะมีโอรสของฝ่าบาทองค์ไหนที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทไปมากกว่าองค์ชายห้าอีกเล่า//สีหน้าของจินเฟยแปรเปลี่ยนเป็นขรึมเครี
จินเฟยพยักหน้า ก่อนมองไปรอบๆ ตัว “งามมาก ทว่าตอนนี้มีแต่ดอกไป่เหอทั่วตำหนัก กลิ่นมันออกจะ...แรงไปสักหน่อยกระมัง” ว่าจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาอังที่จมูกเล็กน้อย แม้ดอกไป่เหอจะมีกลิ่นหอมหวานเย้ายวนชวนให้ผู้คนหลงใหลเพียงใด แต่ถ้ามีมากไปก็ทำนางฉุนจนแทบสำลักได้เช่นกัน“หลานเองก็ไม่ได้ต้องการให้อาหญิงระคายจมูก เพียงแต่ว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ จะเป็นตัวอาหญิงที่ทนไม่ไหวเสียเอง” จินฉานอมยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นนำแจกันใบนั้นมาไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่าง ยามสายลมเอื่อยพัดผ่านเข้ามาจึงช่วยม้วนกลิ่นหอมของไป่เหอให้โอบล้อมตัวจินฉานอย่างอ่อนโยนจินเฟยย่นคิ้วงุนงง ทว่าเมื่อเห็นหลานสาวไม่ยอมเฉลยก็คร้านที่จะคาดคั้นเอาคำตอบ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างอื่นแทน ซึ่งจินฉานนั้นก็ทำเพียงรับฟังและโต้ตอบเท่าที่จะตอบได้ ทว่าขณะที่กำลังสนทนาอย่างออกรส ขันทีจากตำหนักใหญ่ผู้หนึ่งได้มายังตำหนักผิงอันก่อนเอ่ย “กระหม่อมนำสารของอ๋องป๋ายอี้มาถวายแด่พระสนมจินเฟยพ่ะย่ะค่ะ”หญิงสาวพยักหน้า ก่อนรับสารนั้นออกมาแกะออกอ่าน นางรอให้ขันทีผู้นั้นกลับไปแล้วจึงเอ่ยกับหลานสาว “เดือนหน้านี้พี่ใหญ่ของข้า...บิดาของเจ้าจะมายังต้าเ
ถึงแม้ว่าการที่เซวียนเฟยจะสิ้นชีพพร้อมกับชายอื่นในตำหนักที่ถูกปิดตายจนกลายเป็นตำหนักเย็นนั้นเป็นที่ฉาวโฉ่ในราชสำนักเพียงใด แต่ฮ่องเต้ก็ยังประกาศสาเหตุการตายว่าเป็นเพราะให้กำเนิดโอรสอย่างยากลำบากจนเกิดเหตุตกโลหิตจนสิ้นชีวิตพร้อมทารกในครรภ์ จากนั้นจึงให้ฮองเฮากับจินเฟยรับหน้าที่จัดงานศพให้เซวียนเฟยอย่างสมเกียรติตำแหน่งพระมเหสีชั้นเฟย และเป็นผู้เพิ่มเติมอักษร ชู (淑) อันแปลว่า งามบริสุทธิ์ หลังสมัญญานามของเซวียนเฟยด้วยตนเอง เพราะเมื่อยามมีชีวิตอยู่ นางเป็นที่ประจักษ์ต่อเหล่าขุนนางและปวงชนว่าเป็นสตรีที่มีคุณธรรมจรรยา รักษากิริยามารยาทอย่างงามพร้อมมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อสกุลเวินที่ได้รับทราบถึงพระกรุณาของฮ่องเต้ในครานี้ถึงกับโขกศีรษะขอบพระทัยไม่หยุด แต่ที่สกุลเวินแปลกใจนั้นมีอีกอย่างคือ มีพระราชโองการลงมาว่า นับจากนี้สกุลเวิน ไม่ว่าสายหลักหรือรอง ไม่อนุญาตให้ส่งหญิงสาวเข้าวังโดยเด็ดขาด เมื่อเวินเยว่ฉางผู้เป็นบิดาของเซวียนเฟยนั้นแสดงท่าทีคลางแคลงใจผ่านทางสีหน้าอย่างมิอาจเก็บอาการได้อยู่ ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นพลันหลั่งอสุชลออกมาหนึ่งสายแล้วเอ่ย “เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเซวียนเฟยก่อนที่นางจะสิ้นช