ณ ทิศอุดรของเมืองหลวงอันเป็นทิศตั้งของจวนตระกูลเว่ย ในขณะที่ผู้คนทั่วแคว้นกำลังหมอบกราบตื่นตะลึงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น บรรยากาศหนักอึ้งที่เคยมีภายในจวนแม่ทัพพลันมลายหายไปสิ้นเมื่อทารกน้อยแผดร้องเสียงจ้าดังออกมา บ่งบอกว่าการรอคอยแสนทรมานของผู้เป็นสามีจบลงแล้ว จบลงพร้อมชีวิตน้อย ๆ ที่ลืมตาดูโลก
“ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วยเจ้าค่ะ นี่เป็นคุณหนูน้อยบุตรีของท่านเจ้าค่ะ คุณหนูช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ทั้งยังร่างกายแข็งแรงด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพหายห่วงได้” หมอตำแยชื่อดังที่มาทำคลอดให้ฮูหยินจวนแม่ทัพกล่าวแสดงความยินดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนส่งทารกน้อยให้ผู้เป็นบิดาอุ้ม
“ขอบคุณท่านหมอมาก แล้วฮูหยินของข้าเล่า”
“ฮูหยินปลอดภัยดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ยังอ่อนเพลียอยู่มาก อีกสักครู่ท่านแม่ทัพค่อยเข้าไปหาฮูหยินพร้อมคุณหนูน้อยนะเจ้าคะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
เมื่อได้รับคำยืนยันว่าภรรยารักของตนปลอดภัยสบายดี แม่ทัพใหญ่จึงโล่งอก ก้มหน้ามองบุตรีตัวน้อย พลันได้สบกับดวงตากลมโตใสกระจ่างคู่นั้น น้ำตาที่ไม่เคยคิดว่าจะไหลพลันไหลออกมา
“ลูกพ่อ นับจากนี้เจ้าชื่อซือหง ซือที่มาจากชื่อของพ่อ หงมาจากชื่อของแม่เจ้า นามซือหง แซ่เว่ย ดีใจหรือไม่ลูกรัก อาหงลูกพ่อ แก้วตาดวงใจของพ่อ” แม่ทัพใหญ่พูดพลางร้องไห้ไปพลาง มองบุตรสาวคนเดียวด้วยความสุขและรัก
“ท่านพ่อ ขอข้าดูน้องหน่อยขอรับ”
“ใช่ ๆ ขอรับ ขอข้าดูด้วยขอรับ”
เสียงขัดจังหวะจากบุตรชายทั้งสองทำเอาคนเป็นบิดาขัดใจเล็กน้อย กระนั้นยังใจดีให้สองบุตรชายได้ยลหน้าน้องสาวของพวกเขา
“โอ้โห หน้าน้องเล็กยับย่นน่าเกลียดยิ่งนัก” เว่ยซือเหลียง บุตรชายคนที่สองอายุ 7 หนาวพูดขึ้น พร้อมมองน้องเล็กของตัวเองด้วยสายตาแปลก ๆ
โป๊ก!
“โอ๊ย! พี่ใหญ่ ท่านตีหัวข้าทำไม”
“เจ้าว่าน้องเล็กทำไมเล่า ข้าจะบอกอะไรให้นะ ตอนเจ้าคลอดออกมาเจ้าน่าเกลียดยิ่งกว่าน้องเล็กเสียอีก ข้าจะบอกให้ ทั่วหล้านี้ไม่มีใครน่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่คลอดออกมาเท่าน้องสาวของพวกเราอีกแล้ว” เว่ยซือหลาง บุตรชายคนโต อายุ 10 หนาวพูดขึ้น พลางมองน้องรองด้วยสายตาต่อว่า
“จริงหรือพี่ใหญ่”
“จริงสิ น้องเล็กของพวกเราน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด จริงหรือไม่น้องเล็ก”
“แอ๊”
“อ๊ะ ท่านพ่อ! น้องเล็กคุยกับข้าละ” เขาพูดอวดพ่อตัวเองก่อนได้สายตาเข้มจัดกลับมา
“คุยกับเจ้าที่ไหน อาหงเรียกพ่อต่างหากเล่า” เว่ยซือซานถลึงตาใส่บุตรชายคนโต ก่อนมองบุตรตัวเหม็นทั้งสองอย่างไม่ชอบใจ
“เจ้าพวกตัวเหม็น อย่ามาใกล้น้องสาวเจ้า อาหงเพิ่งคลอดผิวพรรณยังบอบบางยิ่งนัก”
“แต่ท่านพ่อก็อุ้มน้องเล็กนี่นา” เว่ยซือเหลียงแย้งตาใส
“มันไม่เหมือนกัน ฮึ่ม! หนี ๆ ข้าจะพาอาหงไปหาแม่เจ้า พ่อบ้านมอบสินน้ำใจและตกรางวัลให้ท่านหมอด้วยเล่า”
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านอวิ๋นรับปากพลางมองเจ้านายด้วยรอยยิ้ม
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เว่ยซือซานเอ่ยถามคู่ชีวิตพลางมองนางด้วยสายตาห่วงใยระคนรักใคร่ ยิ่งเห็นสีหน้าอ่อนเพลียของภรรยาสายตาของเขายิ่งอ่อนลง
หลิวลี่หงคลี่ยิ้มบางพลางส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ แล้วบุตรของเราเล่าเจ้าคะ”
“นี่เช่นไรเล่า อาหงของเราน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
“อาหงหรือเจ้าคะ”
“ใช่ อาหง เว่ยซือหง เป็นเช่นไรเพราะมากใช่หรือไม่”
หลิวลี่หงชะงักไปครู่ก่อนพยักหน้ารับคำสามียิ้ม ๆ “เพราะมากเจ้าค่ะ ว่าไงอาหงลูกแม่ หิวแล้วใช่หรือไม่” นางกล่าวเมื่อเห็นบุตรสาวตัวน้อยเริ่มส่งเสียงประท้วง
“แอ๊ แอ๊”
“ตายแล้ว อาหงพูดกับแม่หรือลูก น่ารักจริง ๆ เลย ท่านพี่ส่งลูกมาให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้นมลูก”
เว่ยซือซานส่งบุตรสาวให้ภรรยาอย่างไม่เต็มใจนัก จะไม่ให้ก็ไม่ได้เพราะเจ้าก้อนแป้งน้อยเริ่มถีบแข้งถีบขาประท้วงเขาเสียแล้ว
เว่ยซือเหลียงมองบิดาตนเองก่อนพูดออกมาด้วยแววตาใสซื่อ “ท่านแม่ เมื่อครู่น้องเล็กก็ร้องออกมาแบบนี้ตอนพี่ใหญ่ถาม แต่ท่านพ่อหาว่าน้องเล็กเรียกท่านพ่อ”
สิ้นคำบุตรชายคนรองหลิวลี่หงก็หัวเราะออกมาพร้อมมองสามีด้วยสายตารู้ทัน ส่วนผู้เป็นสามีนะหรือนอกจากปั้นหน้าถมึงทึงแล้วยังมองบุตรชายคนรองด้วยสายตาตักเตือนอีกด้วย
เจ้าลูกหมา สงสัยข้าเลี้ยงดูเจ้าสุขสบายเกินไป เห็นทีว่าต้องส่งไปอยู่ในค่ายทหารแล้ว
“ท่านพี่เจ้าคะ” นางปรามออกมาเมื่อเห็นสายตาไม่น่าไว้วางใจของสามี
“ลี่เอ๋อร์” แม่ทัพคู่เเคว้นหน้าม่อยคอตก ช้อนสายตามองภรรยาอย่างน่าสงสาร
เขาจะพูดอันใดได้เล่า ตั้งแต่แต่งงานกันมาเขาก็ยอมและเชื่อฟังนางที่สุดอยู่แล้ว หากนางบอกซ้ายย่อมไม่มีวันที่เขาจะไปขวา ดูก็รู้ว่าเขารักนางมากเพียงใด ใต้หล้านี้ไม่มีใครรักภรรยาได้เท่าเขาอีกแล้ว อ้อ ยกเว้นท่านพ่อของเขาไว้คนหนึ่ง เพราะท่านพ่อก็รักท่านแม่ของเขามากเช่นเดียวกัน
ซึ่งสองผู้เฒ่าที่เว่ยซือซานกล่าวถึงบุตรชายไล่กลับไปพักแล้ว ด้วยเห็นว่ามันดึกเกินไป สุขภาพทั้งสองยิ่งไม่ค่อยดี ควรพักผ่อนให้มากกว่านี้ เว่ยซือซานจึงให้กลับไปพัก ค่อยมาเยี่ยมหลานสาวในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้รวมถึงบิดามารดาของหลิวลี่หงเองด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าสองคนหลังได้เก็บเสื้อผ้ามานอนที่จวนตระกูลเว่ยเรียบร้อยแล้ว รอจนถึงรุ่งสางพวกเขาจะพากันมาเยี่ยมหลานน้อยโดยไว
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“