คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาทันที แกล้งเหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาเพราะเขินจะแย่ไม่กล้าสบตาเลย ท่าทางแบบนี้คงมีแต่สาวมาติดเป็นพรวน อันตรายน่าดู
“ถามเหมือนมีอะไร”
“…” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเอื้อมมือม้วนปอยผมของฉันเล่น
วินาทีแรกฉันตกใจ แต่วินาทีต่อมาก็ต้องใจสั่นกับพฤติกรรมนั้นของเขา พี่ไมเนอร์เป็นคนแบบไหนกันนะ
“เห็นแวบแรกพี่ก็สะดุดตาแล้ว” คำพูดเรียบง่ายแต่ซ่อนความหวานอยู่ภายในของเขาชวนให้ฉันหวั่นไหวเหลือเกิน แต่พนายามนิ่งไว้ไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันกำลังทรมานใจกับคำพูดแบบนั้นขนาดไหน
“แกล้งชมหรือเปล่าคะ”
เขาเก่งนะที่ทำให้บทสนทนาของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมันฟังดูเหมือนเรารู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากต่อเวลาเพื่อทำความรู้จักเขาอีกสักหน่อย
“ไม่ได้แกล้ง พูดจริงๆ” มือของเขาที่ม้วนผมฉันเล่นอยู่นั้นผละออกไป เมื่อมีสายโทรเข้าของใครบางคน “เออ ว่าไง”
ดูเหมือนคนปลายสายจะเป็นผู้ชายแถมยังบ่นอะไรมากมายแต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ที่พอเดาออกว่าเป็นเพศไหนก็เพราะในนี้มันเงียบมากๆ
“ก็มึงนัดกูห้าโมง พวกไอ้ฟิวส์ก็ยังไม่ไปจะมาเร่งเพื่อ!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดแต่ไม่จริงจังนักคงเป็นเพื่อนแน่ๆ “เออ อีกสักพักกูเข้าไป”
พูดจบเขาก็กดตัดสายก่อนจะเลื่อนมือถือพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปถึงใครบางคน ฉันไม่ได้แอบมองกลัวจะเสียมารยาทแต่เพราะหางตามันพอมองเห็นว่าทำอะไรอยู่
“มีไลน์ไหม” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นมือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดนั้นมาให้
“คะ” ฉันรับมันมาแบบมึนงง แต่ก็ยอมกดไอดีตัวเองลงไปอย่างไร้เหตุผล
“ไว้พี่จะทักไปหานะ หาคนกินข้าวด้วย” เขาพูดแล้วก็ยิ้มหวานส่งมาให้ ก่อนที่จะเก็บเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกระเป๋ากางเกง
“ระรินมาเร็วจังลูก”
“เจ๊บ๊วย” ฉันรีบหันไปทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูจากรุ่นพี่ บวกกับความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาตอนนี้
“อีเนอร์มาจีบน้องกูเหรอ หยุดเลยมึง”
“น้องเขาจีบกู”
“อย่ามาพูดค่ะ เว้นน้องกูสักคนเถอะกูกราบมึงละ”
แล้วพี่ไมเนอร์ก็หัวเราะลั่นกับพี่บ๊วยที่ยกมือไหว้ย่ออย่างสวยงาม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมายิ้มให้ฉันที่นั่งอยู่ก่อนจะบอกลาและเดินออกไป
“อย่าไปยุ่งกับมัน พี่ขอเตือน”
“ไม่ได้มีอะไรเลยค่ะพี่บ๊วย พี่ไมเนอร์เขาบังเอิญเจอระรินพอดี” ฉันรีบโบกมือไปมาเพื่ออธิบาย กลัวจะถูกเข้าใจผิด
“ยังไงก็ช่าง แต่เพื่อนพี่มันร้ายค่ะหนู ใสๆ แบบระรินไม่ควรเข้าใกล้”
“โอเคค่ะ” ฉันรับปากไปเพราะคิดว่าพี่บ๊วยก็คงหวังดี พี่ไมเนอร์ก็น่าจะร้ายจริงๆ เขาดูเจ้าชู้ไม่เบาเลย
“อย่าไปหลงเสน่ห์มันเด็ดขาด”
ฉันยิ้มแล้วพยักหน้าให้พี่บ๊วย แล้วพวกพี่ๆ ก็เริ่มเข้ามากันในหอประชุม ฉันกับกายจึงเริ่มซ้อมเดินและซ้อมการแสดงคู่กันเหมือนทุกๆ วัน
ครืด~
Minor : ส่งสติกเกอร์
หลังจากซ้อมเสร็จเวลาทุ่มครึ่งฉันก็ต้องขับรถกลับบ้าน ระยะทางจากมหาวิทยาลัยถึงบ้านค่อนข้างไกลพอสมควรแต่เพราะพ่อกับแม่อยากให้กลับบ้านทุกวันจึงซื้อรถให้ใช้
ใจจริงอยากพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนเพราะมันเหนื่อยที่ต้องฝ่ารถติดทุกๆ วัน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าขอ พ่อเพิ่งจะซื้อรถให้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองขืนบอกว่าอยากย้ายไปอยู่คอนโดคงด่นบ่นแน่
“วันนี้กลับเร็วจัง ไม่มีซ้อมเหรอลูก”
“วันนี้เลิกเร็วค่ะ” ฉันตอบผู้เป็นแม่แล้วยิ้มให้ท่าน ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร
แม่รีบหยิบจานสลัดผักกับผลไม้มาให้ เพราะรู้ว่าช่วงนี้ฉันต้องเข้าประกวด มื้อเย็นจึงเป็นของที่ควบคุมน้ำหนักทุกวัน และฉันจะไม่บอกใครว่าแอบทานของอร่อยมาแล้วจากตลาดหลังมหาวิทยาลัย เพราะถ้ารู้ถึงหูแม่คือแย่แน่
แม่เป็นคนที่เข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ท่านชอบที่ฉันได้ขึ้นเวทีประกวดมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้บังคับแต่ก็แสดงเจตนาว่าท่านชอบและอยากให้ทำสิ่งนั้น
“วันประกวดแม่จะชวนพ่อเขาไปดูด้วย”
“พ่อจะว่างเหรอคะ ไม่เห็นพ่อมีเวลาว่างให้เราเลย” ฉันจิ้มผลไม้เข้าปาก รู้สึกอิ่มจนจุกแต่ต้องแกล้งทานเพราะกลัวว่าแม่จะสงสัย
“แม่บอกพ่อแล้ว ต้องว่างสิ”
พ่อของฉันเป็นแพทย์ที่รักษาโรคทางจิตเวช อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาโรคทางนี้มาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ท่านยังได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกด้วยเลยทำให้เวลาสำหรับครอบครัวน้อยลงไปทุกที
“กำลังใจล้รขนาดนี้ จะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
หลังจากทานเสร็จฉันก็ขอตัวขึ้นห้องพักผ่อน อาบน้ำแต่งตัวเข้านอน เพิ่งเห็นว่ามีข้อความจากใครบางคนที่ส่งเข้ามาตอนหกโมงเย็นแต่ฉันไม่ได้สนใจดู เพิ่งรู้ว่าพี่ไมเนอร์ทักมาหากัน แต่มีเพียงสติ๊กเกอร์ตัวเดียวที่ยืนโบกมือให้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ส่งสติกเกอร์
ฉันยิ้มกับมือถือแล้วส่งสติกเกอร์คล้ายกันนั้นกลับไป ไม่ถึงนาทีเขาก็เปิดอ่านมันก่อนจะส่งข้อความกลับมา
Minor : กินข้าวหรือยัง
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คุมน้ำหนักอยู่ค่ะ
Minor : กลัวพี่ชวนทานข้าวเหรอถึงตอบแบบนี้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่
ฉันรีบตอบข้อความนั้นไปเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด ลืมสิ้นคำเตือนของพี่บ๊วยที่บอกว่าอย่าหลงเสน่ห์ของพี่ไมเนอร์ เพราะตอนนี้ฉันนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อย่างกับคนบ้า
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ทานแล้วค่ะ วันนี้
Minor : งั้นวันหลังก็ได้เนอะ ก่อนจะทานข้าวอย่าลืมคิดถึงหน้าพี่นะ
ฉันยิ้มกว้างมองข้อความนั้นของพี่ไมเนอร์โดยไม่รู้ตัว รู้ว่าเขาหยอดคำหวานตามประสาของผู้ชายเจ้าชู้แต่ก็ห้ามตัวเองยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นใครจะไม่ยิ้มบ้างล่ะเจอแบบนี้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คิดถึงแล้วอิ่มเหรอคะ จะได้ไม่อ้วน
Minor : เปล่า จะได้ไม่ลืมชวนพี่ทานด้วยกันไง
พี่ไมเนอร์หยอดคำหวานอยู่เรื่อยๆ เราคุยกันยาวจนเกือบชั่วโมงก็บอกลากันก่อนเข้านอน ความรู้สึกเหมือนตอนที่กำลังแอบชอบใครตอนมัธยมเลย มันมีความกระตือรือร้นแบบนั้น แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้เพราะได้ยินพวกรุ่นพี่คุยกันมาเรื่องพี่ไมเนอร์มาเหมือนกัน
เขาคุยและเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าตกหลุมรักผู้ชายแบบเขา ก็เท่ากับเอาหัวใจไปทิ้งลงกลางทะเล คุยเพื่อความสนุกไม่เหงาคงไม่เป็นอะไรหรอก
------------------
จีบลูกสาวแล้วค่า แต่ถามว่าจริงจังไหม...
อย่าลืมกดติดตามไรท์ กดหัวใจ และกดเข้าชั้นกันด้วยนะคะ ❤️
ตอนที่ 23พี่ไมเนอร์เดินมาส่งฉันจนถึงโต๊ะ ระหว่างทางเดินก็มีคนมองตลอดไม่รู้ว่ามองอะไรกัน บางคนที่รู้จักพี่ไมเนอร์ก็แซวเขาใหญ่เล่นเอาฉันเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ให้เขามาส่ง เพราะตอนนี้เหมือนจะตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งร้านเลย“โอ๊ย มาส่งถึงโต๊ะขนาดนี้ก็บอกเขาไปเถอะค่าว่าเป็นแฟนกัน!! “ยายจินแซวพร้อมกับเสียงเพื่อนคนอื่นจนฉันต้องตีแขนมันก่อนจะขยับไปนั่งข้างมัน ส่วนพี่ไมเนอร์ก็นั่งลงข้างฉันอีกฝั่ง“พี่ไมเนอร์จะดื่มอะไร”“เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว” เขาบอกแล้วส่งมา เหมือนพอใจกับอะไรบางอย่าง“มาส่งจริง ๆ”“มาเปิดตัวให้คนอื่นรู้ว่าเรามีเจ้าของแล้ว” เขาพูดประโยคแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยพูด ความรู้สึกของฉันตอนนี้ก็คงไม่ต่างกับเขา มันทั้งเขินทั้งรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน“ขี้โกง”“ขี้โกงอะไร” พี่ไมเนอร์เลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม“ก็มีแต่รินที่เปิดตัวแต่พี่ไม่ได้เปิดตัวที่นุ่นไง แบบนี้พี่ก็ทำตัวโสดได้สบายใจสิ” ฉันแกล้งต่อว่าเขาจนเจ้าตคัวเราะชอบใจ“งั้นเราไปนั่งกับพี่ร้านนู้นไหม”เขาไม่ได้พูดเล่นแต่จริงจังมากในแววตาคู่นั้น จนฉันต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะกลัวว่าพี่ไมเนอร์จะให้ไปจริง ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปแต่
ช่วงนี้พี่ไมเนอร์เอาใจจนฉันได้ใจแล้ว เวลาพูดว่าอยากได้อยากทำอะไรเขาก็จะตามใจตลอด ขนาดที่ว่ายายจินเอ่ยปากบอกว่าสงสารพี่ไมเนอร์ที่ต้องมาตามใจฉัน“แค่แกบอกว่าอยากกินเครปพี่เขาก็แวะ ฉันโคตรสงสาร แล้วร้านนั้นคือรอคิวเป็นชั่วโมง มิน่าล่ะถึงไม่มาสักที” ยายจินบ่นอุบเพราะฉันมันถึงไม่ได้กลับไปตอนสักที ก็พี่ไมเนอร์ยังไม่มาเพื่อนเลยเป็นคนดีที่อยากอยู่เป็นเพื่อน“ฉันแค่ถามว่าเขาผ่านหรือเปล่า ไม่ได้บอกให้แวะ” ฉันพูดไปแค่นั้นจริง ๆใช่ไหมนะ…“เขายอมแกขนาดนี้ ยังไม่รับรักอีกเหรอ” ยายจินกอดอกถาม สายตามันเหมือนหาเรื่องด่าฉันอยู่เลย“มันยังไม่ถึงเวลา”“ระวังเถอะ ถ้าเขาเจอดี ๆ กว่าแกแล้วไม่อยากเหนื่อยเอาใจ แกอย่ามาเสียใจให้เห็น”“ถ้าเขาไม่มั่นคงตั้งแต่ตอนจีบกันแบบนั้นฉันจะถือว่าโชคดีที่ไม่ยอมเป็นแฟน”“นินทาอะไรพี่อยู่เหรอ”เสียงเข้มคุ้นหูทำเอาฉันสะดุ้ง ก็เขาดันโผล่มาจากด้านหลังแบบนี้ตอนที่กำลังพูดถึงใครจะไม่ตกใจ แล้วเมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งพูดว่าเขาไปแถมยังเป็นเรื่องที่คิดกันไปเองกับยายจินอีกต่างหากอันที่จริงฉันไม่ได้เก่งอย่างที่ว่านั่นหรอกแต่ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อใจเขาแล้วต่างหากถึงกล้าปากดีและมั่นใจว่าพี่ไมเน
ตอนที่ 22Minor talkก่อนหน้านี้ผมไม่เคยจริงจังกับการรักษาโรคที่ตัวเองเป็นอยู่เลย และใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการปลดปล่อยความอึดอัดที่เกิดขึ้น ทั้งนอนกับผู้หญิงที่คุยด้วยหรือจะช่วยตัวเอง หลังจากนั้นมันก็จะเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี และมันเป็นอย่างนั้นประจำจนกระทั่งต้องตัดสินใจรักษาช่วงแรกที่เริ่มเป็นโรคนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ผมเรียนอยู่เพียงมอต้นเท่านั้น ตอนนั้นผมเลือกที่จะช่วยตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ในหนึ่งวันมันสามารถเกิดขึ้นเกิดสิบครั้งเลยหากใช้ชีวิตเงียบ ๆ คนเดียว มันเป็นโรคที่ดูเหมือนปกติแต่ความจริงแล้วไม่เลย มันทรมานจนต้องหาวิธีจัดการ หลังจากทำเรื่องแบบนั้นจิตใจของเราก็จะรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดปกติและน่ารังเกียจทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แต่สาเหตุมันเกิดมาจากครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นของผมตั้งแต่ในวัยเด็ก ผมจำเหตุการณ์พวกนั้นได้เลือนรางแต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเป็นโรคบ้า ๆ นี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก พ่อของผมชอบทำร้ายและตบตีแม่และพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาในบ้านจนแม่เสียใจและหนีจากเราไป ตอนนั้นผมอยากไปอยู่กับแม่ใจจะขาดแต่คำสั่งของพ่อทำใ
วันนี้ตอนเย็นฉันนัดกับพี่ไมเนอร์เอาไว้เพราะเขาบอกจะพาไปทานอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งซึ่งกำลังเปิดใหม่และมีโพรโมชัน ‘มาสามจ่ายหนึ่ง’ แต่เรามากันแค่สองคน นั่นหมายความว่าโพรโฒชันที่ว่ามานั้นไม่ได้มีผลอะไรเลยตลกตรงที่เขาพูดถึงโพรโมชันนี้แต่พอฉันบอกว่าควรหาเพื่อนไปด้วยอีกคนพี่ไมเนอร์ก็บอกว่าไม่ยอมเพราะอยากไปด้วยกันสองคน“ถ้าพาเพื่อนมาอีกคนก็หารสาม คุ้มกว่านี้ไหมคะ” ฉันดูราคาที่พนักงานเพิ่งส่งมาให้ดูแล้วบอกกับคนเสนอตัวจ่ายเต็มราคานั้นอย่างภูมิใจที่ได้เลี้ยงฉัน“พ่อเราบอกว่าให้พี่อยู่กับสิ่งที่ชอบ”“…”“พี่ก็เลยอยากอยู่กับเราแค่สองคน”“ไร้สาระค่ะ”จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้แกล้งถามเรื่องของยายพี่เมย์อะไรนั่นเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี กลัวเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนชอบหาเรื่องทะเลาะ หรือไม่ก็คิดว่าฉันเอาใจเขามากมายเดี๋ยวได้ใจเอา“อิ่มไหม หรืออยากไปทานอะไรต่อ”“พี่เพิ่งพารินทานบุฟเฟต์นะคะ ไม่ใช่น้ำเปล่า ถามมาได้รินกินเยอะขนาดนั้น ถ้าน้ำหนักขึ้นรินจะโทษพี่ไมเนอร์” ฉันบิดปากคว่ำมองเขาอย่างเอาเรื่อง ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาวันนี้คงกินเยอะจนลืมเรื่องน้ำหนัก“ถึงเราจะตัวกลมเท่าหมูพี่ก็รัก น่ารักแน่ ๆ”“ข
ตอนที่ 21หลังจากส่งพี่ไมเนอร์ลงจากรถเสร็จฉันก็กลับมาห้องของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วปกติถ้าไม่มีภารกิจอะไรหรือมีเรื่องให้คิดมากจนนอนไม่หลับฉันต้องเข้านอนและหลับปุ๋ยไปแล้ว ทว่าวันนี้มันต่างออกไปตรงที่มีคนขอให้รอเขาโทร.มาเพื่อที่จะบอกฝันดีก่อนนอน“อาบน้ำเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”ทันทีที่กดรับสายจากพี่ไมเนอร์ฉันก็ถามด้วยความประหลาดใจ แต่ดูเวลาบนหน้าจอตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่เราแยกจากกัน(“ถึงห้องก็อาบเลย กลัวเราจะง่วง”)“ง่วงแล้วค่ะ พรุ่งนี้รินมีเรียนเช้าด้วย จะนอนแล้วนะ”(“โอเคพี่ก็จะนอนแล้ว”) เขาพูดจบก็ได้ยินเสียงคล้ายกำลังกระโดดลงที่นอน แล้วเสียงพูดของเขาก็อู้อี้อยู่กับหมอนแน่ ๆ (“ฝันดีนะครับ”)“ฝันดีค่ะ”(“ชอบจริงนะ”)ฉันเผลอยิ้มอยู่คนเดียวกลางที่นอนเหมือนเป็นคนบ้า ทั้งที่ช่วงนี้ได้ยินพี่ไมเนอร์บอกว่าชอบออกจะบ่อยกว่าคำอื่นเลยด้วยซ้ำ เกลียดเขาที่ทำให้ฉันใจอ่อนยวบแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือฉันเองที่มันใจง่าย“ถ้าพูดจริงรินก็จะรับไว้นะ”(“พูดจริงครับ”)“วางแล้วนะ”(“พรุ่งนี้เจอกัน”)“ค่ะ”หลังจากกดวางสายปากของฉันมันก็ยังไม่ยอมหุบยิ้มจนต้องยกฝ่ามือขึ้นมา ใช้นิ้ว
อีกสิบนาทีออกมาเจอกันหน้าร้านหลังจากผ่านไปสิบนาทีอย่างที่ว่านั้นฉันก็มาถึงร้านเหล้าร้านหนึ่งพอดี เห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากประตูร้านฉันจึงเดินลงจากรถแล้วตรงดิ่งไปหาเขา ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันจะไม่มองได้ไงล่ะ ก็ฉันใส่ชุดนอนมาร้านเหล้าความกล้าหาญที่พกมาเต็มร้อยตอนนี้เหลืออยู่แค่ยี่สิบส่วนร้อยเท่านั้น ยิ่งตอนที่พี่ไมเนอร์กอดอกมองมาฉันยิ่งขาดความมั่นใจ ตอนนี้จะเรียกว่าสติมันกลับคืนมาหาตัวแล้วก็ว่าได้“ใส่มาทำไมแบบนี้” คำแรกที่เขาเอ่ยทักทายกันพร้อมกับทำคิ้วขมวดใส่แถมด้วยสายตาดุ ๆ“ก็จะมาคุยแค่แป๊บเดียว” ฉันตอบแล้วหยุดยืนอยู่ตรงริมฟุตพาท ยกแขนสองข้างขึ้นมากอด“อย่างกับคนมาตามผัวกลับบ้าน” แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมาเพราะคำพูดของตัวเอง“แล้วสรุปจะเอายังไงคะ พูดดิบดีว่าจะไม่ดื่มเหล้า เหอะ!” ฉันถามแล้วหัวเราะเยาะเบา ๆ“แล้วคุยอะไรกับมัน ทำไมต้องจับมือถือแขน”“เขามาขอคุยค่ะ แล้วรินก็ไม่ได้ขอให้เขาจับถ้าเห็นแค่นั้นแล้วพี่ไมเนอร์จะเข้าใจผิดไม่มีเหตุผลก็แล้วแต่เลย”เขามองมาแล้วเงียบ ดวงตาคู่คมนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันนึกไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะดีขึ้นกว