หิมะแรกของปีมาถึงเร็วกว่าทุกครา เร็วจนชาวบ้านในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงต่างกล่าวขานว่าเป็นลางร้าย บ้างว่าเพราะปีนี้ดวงดาวเรียงตัวผิดแผก บ้างก็ลือกันว่าเป็นเพราะเสียงพิณต้องห้ามกำลังจะกลับมา ทว่าในสายตาของลู่จิ่นซาน หิมะแรกนั้นกลับงดงามเหลือเกิน
ชายหนุ่มในชุดขนสัตว์สีเทานั่งอยู่บนหลังม้า บนไหล่ของเขามีเกล็ดหิมะโปรยปรายปกคลุมเป็นแผ่นบาง เขาเงยหน้ามองผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยละอองขาว ก่อนจะถอนใจเบา ๆ พลางมองไปยังทางลาดสู่ภูเขาหมอกเบื้องหน้า
“หิมะเช่นนี้ หากมิใช่เพื่อป่าหยก คงไม่มีผู้ใดยอมเดินทางผ่านเขตนี้”
เขาพึมพำกับตนเอง ริมฝีปากแดงเรื่อท่ามกลางความเย็นยะเยือก
เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านซอกผาหิน พัดพาเอาเกล็ดหิมะลอยว่อน ราวกับมีเสียงกระซิบแว่วมากับสายลม เสียงที่คล้ายเสียงสายพิณขาดสะบั้น เสียงที่หาได้จากที่ใดมิได้ นอกจากภูเขาหมอกในคืนหิมะแรกเช่นนี้
“เจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่?” จิ่นซานถามม้าคู่ใจอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายจะเหม่อลอย แต่วาววับไปด้วยบางอย่างที่คล้ายความหวาดกลัว
ม้าเงียบ แต่โลกกลับมิใช่เงียบเช่นนั้น
เสียงหนึ่ง เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน แว่วมาแตะหูเขา
เสียงพิณ...
จิ่นซานชะงัก หัวใจเต้นแรงโดยไร้เหตุผล
เสียงนั้นคล้ายจะดังมาจากยอดเขา ท่วงทำนองแปลกประหลาดไม่เหมือนเสียงพิณของชาวยุทธ ไม่เหมือนเสียงพิณที่เขาเคยได้ยินในงานราชสำนัก และมิใช่แม้กระทั่งเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านที่เขาเติบโตมา เป็นเสียงที่เหมือนจะมาจากอีกภพหนึ่ง
“ใครเล่นพิณในคืนหิมะเยี่ยงนี้?” เขาพึมพำ ลมหายใจรินไอขาวออกมาจากปาก
ดวงตาของเขาไล่มองไปตามแนวสันเขาที่สูงชัน และแม้หิมะจะขาวโพลนจนบดบังสิ่งใดเกือบหมด แต่เขากลับเห็นร่างหนึ่ง ร่างที่เลือนรางยิ่งกว่าเงา ยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ราวกับผู้ใดเนรมิตขึ้นมา
มือเรียวยาวของนางวางลงบนพิณไม้สีดำสนิท สายพิณทั้งเจ็ดส่องประกายสีเงินในยามต้องแสงจันทร์ ลู่จิ่นซานนิ่งงัน เขาลืมแม้แต่การหายใจ
เมื่อสายพิณแรกถูกดีด เสียงนั้นก็แทรกผ่านหิมะ แทรกผ่านผืนลม และพุ่งเข้ามาถึงหัวใจ
เขาเคยได้ยินบทเพลงมากมาย แต่มิครั้งใดเลยที่เสียงจะไหลเข้าสู่หัวใจได้โดยไม่ผ่านโสตประสาท เสียงนี้มิใช่แค่ได้ยิน แต่มันรู้สึกได้
หัวใจเขาบีบรัด ความทรงจำพร่าเลือนหลายฉากแล่นเข้ามาในห้วงคิด ภาพสนามรบ ภาพหญิงสาวในชุดขาว ภาพเปลวไฟ และเลือดที่สาดลงบนสายพิณ จิ่นซานทรุดเข่าลงบนหิมะโดยไม่รู้ตัว
“นี่มัน อะไรกัน...” เขากุมอก รู้สึกเจ็บจี๊ดราวกับมีคมดาบบาดจากภายใน
เพลงยังไม่จบ แต่จังหวะสะดุดกะทันหัน ราวกับผู้ดีดพิณหยุดไปชั่ววินาที แล้วท่วงทำนองก็เปลี่ยน จากอ่อนโยนเป็นกดดัน จากเศร้าโศกเป็นเยียบเย็น ราวกับหิมะทั่วแผ่นดินพร้อมจะกลืนกินทุกอย่าง
“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้!” เขาร้อง แต่เสียงของเขากลับอ่อนแรงเหลือเกิน
ลู่จิ่นซานฝืนลุกขึ้น มือสั่นเทาเมื่อจับสายบังเหียนม้า เขาตัดสินใจควบม้าขึ้นเขาไป เพื่อหาเจ้าของเสียงพิณ เขาจำไม่ได้ว่าเดินทางไปไกลเพียงใด หรือเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุด เขาก็มาถึงยอดเขาหมอก
ที่นั่นไม่มีใคร นอกจากพิณหนึ่งรางวางอยู่บนหิมะ ไม่มีรอยเท้า ไม่มีเงา ไม่มีแม้แต่ไออุ่น เขาเอื้อมมือไปแตะพิณนั้น ทันใดนั้น เสียงกระซิบหนึ่งแว่วเข้ามา
“อย่าแตะ เจ้ายังไม่พร้อมจะจำ...”
เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี อ่อนหวานและเศร้าสร้อย ราวกับน้ำตาที่รินไหลใต้ม่านหิมะ
จิ่นซานชะงัก ถอนมือกลับอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง
ที่นั่น ไม่มีใคร แต่สายลมยังคงพัด ท่วงทำนองยังคงอยู่ในหัว และหิมะยังคงโปรยปราย
เสียงในหัวเขาเงียบลง ทว่าเงาของคำพูดเมื่อครู่ยังคงก้องกังวานอยู่ในใจ
“อย่าแตะ เจ้ายังไม่พร้อมจะจำ...”
ลู่จิ่นซานยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ สายลมหอบเอาเกล็ดหิมะปะทะใบหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความงุนงงและคลางแคลง หากแต่ในขณะเดียวกันกลับมีบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจที่อบอุ่น
ใช่แล้ว อบอุ่น ทั้งที่รอบกายคือหิมะหนาวเหน็บ ทั้งที่ลมพัดกระหน่ำจนชุดขนสัตว์ไม่อาจต้านทานได้
เขาก้มลงมองพิณไม้ดำเบื้องหน้าอีกครั้ง พิณนั้นเยือกเย็นราวกับสลักจากน้ำแข็ง แต่ในแววตาของลู่จิ่นซานกลับมีแสงอ่อนโยนฉายวาบอยู่แวบหนึ่ง
“พิณเช่นนี้ มีอยู่จริงในใต้หล้านี้หรือ?” เขาพึมพำเบา ดวงตาฉายความตกตะลึงและหลงใหลไปพร้อมกัน
พิณนั้นดูไม่เก่า หากแต่เต็มไปด้วยลวดลายโบราณ ตัวพิณทำจากไม้ดำไม่มีเสี้ยนเงา สายทั้งเจ็ดทอประกายสีเงิน แม้ไม่มีผู้ดีด แต่เสียงสะท้อนของบทเพลงเมื่อครู่ยังแว่วคล้ายเงาลม
หรือแท้จริงแล้ว มิใช่แค่เสียงสะท้อน แต่เป็นความทรงจำที่ยังหลงเหลือ?
ลู่จิ่นซานย่อตัวลง มือนั้นสั่นเล็กน้อยขณะวางลงบนขอบพิณ เย็นเยียบ ราวกับสัมผัสกับความตายที่แช่แข็งไว้
ทันใดนั้น...
“เจ้าช่างดื้อรั้นนัก”
เสียงหญิงสาวเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงในหัว แต่กังวานอยู่เบื้องหลัง จิ่นซานหันขวับไปโดยพลัน
สายลมพัดรุนแรงขึ้นหนึ่งช่วง ทว่าภายใต้ม่านหิมะ เขากลับเห็นเงาร่างบางในชุดขาวคลุมหน้าด้วยผ้าบางบางดุจหมอก สตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นสนโบราณ ใบหน้ามองไม่ชัด มีเพียงสายตาคู่นั้นที่มองตรงมายังเขา ลึกซึ้งดั่งผืนน้ำ แฝงความโศกเศร้าอันไร้คำอธิบาย
“เจ้าคือ...เจ้าของพิณนี้หรือ?” เขาถาม
“พิณนี้มิใช่ของข้า...” นางตอบเสียงเบา “...แต่ข้าคือผู้ดีดมัน”
“เสียงของเจ้า...” ลู่จิ่นซานนิ่งไป “ข้าฟังแล้ว ราวกับหัวใจจะหยุดเต้น”
“เจ้าควรหยุดฟังมันตั้งแต่ท่อนแรก”
“ข้าไม่อาจทำได้ ข้ารู้สึกว่า ข้าเคยได้ยินมันมาก่อน”
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าจำไม่ได้หรอก”
“หมายความว่าอย่างไร?”
เขาขยับเข้าใกล้ แต่สตรีตรงหน้าเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย แววตาเตือนสติและห่างเหินอย่างน่าประหลาด
“อย่าเข้าใกล้” นางกล่าว
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะข้ามิใช่คนในโลกนี้”
จิ่นซานชะงักไป หัวใจเต้นสะดุดเล็กน้อย
“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร...”
“กลับไปเสีย” น้ำเสียงของนางเย็นเยียบลงเล็กน้อย “เจ้าไม่ควรต้องมาได้ยินเสียงพิณนี้ในภพนี้”
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ความรู้สึกประหลาดเริ่มตีวนในทรวงอก ความปวดร้าวที่ไร้ที่มา ความผูกพันที่ไร้เหตุผล ความกลัวที่จะสูญเสียในขณะที่เขาเพิ่งได้เจอ
“หากเจ้ามิใช่คนในโลกนี้ แล้วเจ้าคือใคร?” เขาถามเสียงแผ่ว
หญิงสาวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเพียงคำเดียว
“เงา”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หมุนกายหันหลังให้ ดวงตาของลู่จิ่นซานเบิกโพลง
“เดี๋ยวสิ...เจ้าชื่ออะไร?”
นางไม่ตอบ เพียงเดินฝ่าหิมะออกไป เสียงฝีเท้าก็เบาหวิวดั่งมิได้ย่ำลงบนหิมะจริง
จิ่นซานฝืนขยับก้าวตาม ทว่าร่างของหญิงผู้นั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับม่านขาวพร่า ราวกับละลายไปกับหิมะ
“หญิงลึกลับผู้นั้น...” เขาพึมพำ “เจ้าเป็นใครกันแน่...”
เสียงพิณในหัวเขาเงียบไปแล้ว แต่ใจเขายังสั่นไหวไม่หยุด ลู่จิ่นซานยืนเหม่อมองผืนหิมะเบื้องหน้าอยู่เนิ่นนาน เขาไม่อาจทราบได้ว่าผ่านไปกี่เค่อแล้วตั้งแต่เงาร่างนั้นหายลับไป มีเพียงความเงียบและเสียงลมหิมะที่ยังพัดพาราวกับกล่อมเขาให้หลับใหลไปพร้อมความลึกลับที่ยังหาคำตอบมิได้
“เงา...หรือว่านางหมายถึงวิญญาณ?” เขาพึมพำ
ในใจเขานั้นมีคำถามมากมายปะทุขึ้นเป็นระลอก หากแต่เมื่อมองพิณบนพื้นหิมะอีกครั้ง ก็เหมือนถูกสายใยบางอย่างเหนี่ยวรั้ง
มันยังคงอยู่ พิณนั้นยังอยู่ตรงหน้าเขา หากว่านางเป็นเพียงเงา แล้วสิ่งนี้เล่าจะเป็นเงาด้วยหรือ?
จิ่นซานย่อตัวลงช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมืออีกครั้ง แตะลงบนขอบพิณอย่างแผ่วเบา ราวกลัวว่าสิ่งนี้จะละลายหายไปเช่นเดียวกับเจ้าของเสียงพิณเมื่อครู่
ไม้เย็นเฉียบยังคงสัมผัสได้ ชัดเจนจนเขารู้ว่าสิ่งนี้มิใช่ภาพลวงตา
“เช่นนั้น ข้าจะเก็บเจ้าไว้” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับสนทนากับพิณ
เขาหยิบพิณขึ้นมาถือไว้แนบอก แม้มันจะใหญ่และดูหนัก แต่กลับมิได้หนักอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับกันมันเบาราวกับสิ่งของที่มีเพียงเปลือก หรือสิ่งของที่บรรจุด้วยวิญญาณ เมื่อนำพิณขึ้นม้า ลู่จิ่นซานก็มองรอบกายอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างรั้งเขาไว้ ไม่ให้จากยอดเขานี้ไปง่ายดายนัก
ต้นสนที่หญิงสาวยืนอยู่เมื่อครู่ยังคงเดิม หากแต่เมื่อมองนาน ๆ กลับเหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไป หิมะที่ปกคลุมพื้นรอบโคนต้นไม้เบาบางกว่าจุดอื่น ราวกับมีบางสิ่งที่เคยหยัดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนานพอให้หิมะหลบเลี่ยง
ร่างนั้นอาจมิใช่เพียงเงา...
กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..
หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ
บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว
ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห
เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม
ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื