/ รักโบราณ / เสียงพิณในม่านหิมะ / บทที่ 2 หญิงผู้นั้นคือใคร?

공유

บทที่ 2 หญิงผู้นั้นคือใคร?

작가: Bosskerr
last update 최신 업데이트: 2025-07-29 01:43:14

แสงจันทร์ทอดทอลงมาผ่านม่านหมอกบาง ทาบเงายาวของต้นไม้ลงบนทางลาดเขา ลู่จิ่นซานควบม้าลงจากภูเขาช้า ๆ พลางหันมองกลับไปยังยอดเขาอีกครั้ง

เสียงพิณเงียบไปแล้วจริง ๆ แต่หัวใจเขายังคงกังวานด้วยเสียงนั้นไม่จาง

คืนนั้น เขากลับถึงโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงช้ากว่าทุกครั้ง สภาพของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะ เสื้อคลุมชุ่มน้ำเย็นจนแทรกถึงกระดูก

“อ้าวคุณชายลู่! ข้านึกว่าท่านหลงป่าหิมะไปแล้วเสียอีก!”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราร้องทัก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเขาแบกพิณดำลงมาจากหลังม้า

“ไปที่ภูเขาหมอกมาหรือ? นั่นมัน หุบเขาต้องห้ามเลยนะขอรับ!”

ลู่จิ่นซานพยักหน้าน้อย ๆ ไม่กล่าวสิ่งใด พลางเดินเข้าไปยังห้องพักชั้นบนสุด เมื่อถึงห้อง เขาวางพิณลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง ก่อนจะหย่อนกายลงกับเบาะผ้าทออย่างหมดแรง มือเรียวยาวของเขาเลื่อนปลายนิ้วแตะลงบนสายพิณหนึ่ง อย่างเบาที่สุด

พลิ้ว~

เสียงสายสะท้อนออกมาเบาราวเสียงหายใจ แต่กลับกระเพื่อมในอากาศเหมือนละอองหิมะที่ถูกปล่อยจากท้องฟ้า

ท่วงทำนองเพียงหนึ่งสาย ทำให้ภาพที่เขาเห็นบนภูเขากลับมาแจ่มชัดในหัวอีกครั้ง

หญิงสาวผู้นั้น...นางคือใครกันแน่?

เหตุใดจึงมีพิณอันลี้ลับเช่นนี้อยู่กับนาง?

และเหตุใดนางจึงกล่าวว่า “เจ้าไม่พร้อมจะจำ”

คำว่า “จำ” ที่นางใช้ มันหมายถึงความหลังอันใด?

ลู่จิ่นซานถอนใจยาว เขาลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมเปียกชื้น เปลี่ยนเป็นชุดนอนผ้าหยาบ แล้วดับตะเกียงลง

ภายนอกหน้าต่าง หิมะยังคงตก แม้จะไม่หนักเกินไป แต่ก็ตกต่อเนื่อง ราวกับมีใครเล่นพิณอยู่ไกล ๆ แล้วดึงหิมะให้ตกลงมาตามจังหวะนั้น ในห้องที่เงียบงัน ลู่จิ่นซานหลับตาลงช้า ๆ ทว่าในความฝัน เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ในความฝันนั้น เขายืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ท้องฟ้าไม่ใช่ยามราตรี แต่กลับคล้ายช่วงพลบค่ำที่ดวงอาทิตย์เจือแสงสุดท้ายไว้บนปลายฟ้า

ไม่มีหิมะ ไม่มีลมหนาว มีเพียงกลิ่นดินและเสียงพิณ

ใช่ เสียงพิณนั้นอีกแล้ว

แต่ครั้งนี้ต่างจากที่เขาเคยได้ยินบนยอดเขา มันไม่เยียบเย็น ไม่เว้าวอนเศร้าโศก หากแต่โอบอุ่น ราวเสียงกล่อมของผู้เป็นแม่

เขาหันไปรอบกาย และที่ปลายทุ่งไกลตา มีร่างหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ มือขาวเรียวดีดพิณเงียบงัน ขับท่วงทำนองที่แม้ฟังไม่ออก แต่กลับเข้าใจ

หญิงผู้นั้น คือใคร?

ลู่จิ่นซานยกเท้าก้าวเดินไปโดยไม่รู้ตัว ฝ่าเท้ากระทบพื้นดินอย่างแผ่วเบา ทว่าทุกย่างก้าวกลับหนักอึ้งเหมือนแบกพันธะบางอย่างไว้

เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเบื้องหลังหญิงสาวผู้ดีดพิณ

“อวี้หลาน?”

เสียงเรียกหลุดออกจากริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว และทันทีที่เขาเอ่ยนามนั้น หญิงสาวก็หยุดดีด

นางหันหน้ามา แต่เขามองไม่เห็นดวงหน้านั้น มีเพียงเงาเลือนรางคลุมเคลือ บดบังทุกสรรพางค์

“อวี้หลาน” เขาเรียกอีกครั้ง เสียงแผ่วลง “เป็นเจ้าจริงหรือไม่?”

หญิงสาวไม่ตอบ แต่สายตานั้นจับจ้องเขา ราวกับจะสื่อบางสิ่งที่ลึกซึ้งและมิอาจกล่าวออกมาได้ด้วยคำพูด

เขาเอื้อมมือไปแตะนาง แต่ก่อนจะสัมผัสได้ ทุ่งหญ้ากลับเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าฟาดฉีกท้องฟ้าออกเป็นเส้นแสง ทุ่งหญ้ากลายเป็นทุ่งเลือด กลิ่นคาวตลบอบอวล เสียงหวีดร้องของทหารนับพันแผดก้องขึ้นจากรอบทิศ ภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสนามรบ

เขายืนอยู่กลางศพนับไม่ถ้วน เสื้อเกราะเปรอะเปื้อน เลือดไหลอาบแขน ดาบในมือยังร้อนฉ่าจากการสังหาร แล้วเขาก็เห็นนางอีกครั้ง...

หญิงสาวในชุดขาวนั่งดีดพิณอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ดวงตานางชุ่มไปด้วยหยาดน้ำใส ท่วงทำนองที่นางดีดครานี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากก่อนหน้า มันคือเพลงที่บรรจุด้วยความสิ้นหวัง

เสียงสุดท้ายก่อนตาย

เสียงกล่อมวิญญาณทหารทั้งกองทัพ

เสียงที่เรียกความสงบให้ผู้ล้มตาย และเรียกการลงทัณฑ์ให้ผู้ทรยศ

จิ่นซานผวาตื่น เหงื่อเย็นชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่ในห้องนั้นหนาวเยือกจนไอเย็นเกาะขอบหน้าต่าง เขาเอื้อมมือปัดผมเปียกชื้นบนหน้าผาก ดวงตาสั่นไหวราวถูกฉุดกลับจากห้วงนรก

“ความฝันนั้นคืออะไร?” เขาพึมพำ

เขามิอาจทราบได้ว่าความฝันนั้นเกิดจากความเหนื่อยล้า จากเสียงพิณที่ได้ยิน หรือจากความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในร่างกายนี้แต่ชาติก่อน

ชื่อของนาง...

“อวี้หลาน”

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงเรียกชื่อนั้นได้ในฝัน แต่ในใจลึก ๆ กลับรู้สึกมั่นใจว่าใช่ มันต้องเป็นชื่อนั้น

ลู่จิ่นซานนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปยังพิณที่วางไว้ข้างหน้าต่าง เขาแตะสายพิณเบา ๆ เสียงสะท้อนกลับมาแผ่วพร่าเหมือนเสียงร้องเรียกจากอีกภพ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ วางมือลง

“ข้าจะหาคำตอบให้ได้...” เขากล่าวช้า ๆ กับตนเอง “ว่าเจ้าคือใคร และข้าเป็นใคร...”

แสงเช้าเล็ดลอดผ่านม่านหิมะลงมาแตะแก้มเขาเบา ๆ แต่เสียงพิณในใจเขายังไม่เงียบลงเลยแม้แต่น้อย

รุ่งเช้าของวันถัดมา หิมะยังคงตกไม่หยุด แม้จะเบาบางลง แต่ก็ยังพอทำให้พื้นทางกลายเป็นขาวโพลน และต้นไม้ล้วนเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งบาง ๆ

ลู่จิ่นซานเดินลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม สวมเสื้อคลุมยาวหนาแน่น สีเทาเข้มขลิบลายบนชายเสื้อ ดวงหน้าแม้ดูเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ดวงตานั้นกลับเต็มไปด้วยความครุ่นคิด เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องโถงของโรงเตี๊ยม ก็พบชาวบ้านไม่กี่คนกำลังนั่งจิบชาร้อน คุยกันเบา ๆ ข้างเตาไฟ

“พวกท่านว่าอย่างไรนะ? เสียงพิณน่ะหรือ?” เสียงของชายแก่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นพอได้ยิน

“ก็ข้าบอกว่าได้ยินเสียงพิณจริง ๆ น่ะสิ!” อีกคนเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“เมื่อคืนตอนย่ำสอง ข้าออกไปให้อาหารไก่เพราะลืมไว้ กลับได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล ราวกับลอยมากับสายลม”

“หรือเจ้าจะฝันไป?”

“มิใช่ฝันแน่! ข้าแน่ใจ เสียงนั้นมิใช่เสียงธรรมดา”

ลู่จิ่นซานหยุดเท้ากลางทาง แสร้งทำเป็นก้มชงชาของตนเองที่โต๊ะใกล้ ๆ แต่หูยังเงี่ยฟังทุกคำ

“ใช่ที่เขาว่าหรือไม่?” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวเบา

“ว่าเสียงพิณนั้น หากได้ยินยามหิมะแรก จะเป็นลางร้าย”

“โอ๊ย อย่าพูดให้ข้าขนลุกไปมากกว่านี้เลย!” ชายชราคนแรกสั่นหัวแรง

“คนเขาลือกันมานานแล้วว่า เสียงนั้นคือเสียงของ ‘พิณกลืนวิญญาณ’ มีมาตั้งแต่สมัยแคว้นโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน”

            “ได้ยินว่าใครได้ฟังแล้วจะหลับไม่ตื่น”

“หรือไม่ก็เป็นบ้าคลุ้มคลั่ง บ้างก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย...”

เสียงสนทนานั้นค่อย ๆ เบาลงเมื่อเห็นลู่จิ่นซานเดินผ่าน ทุกคนต่างก้มหน้าจิบชาอย่างเกร็ง ๆ ไม่มีใครกล้าพูดต่อ เขาเดินอย่างสงบออกจากโรงเตี๊ยมไปยังลานหน้าหมู่บ้าน ข้างทางคือต้นสนที่โค้งรับน้ำหนักหิมะ หิมะตกลงบนไหล่เขาอีกครั้ง และเขาก็ปล่อยให้มันตกโดยไม่สะบัดออก

“ตำนาน...” เขาพึมพำเบา

“หากข้าได้ยินเสียงนั้นแล้วจริง แล้วเหตุใดข้าจึงยังมีสติ?”

หรือว่า ตำนานนี้มิใช่เรื่องเล่าเปล่า ๆ?

หรือเขามิใช่เพียงคนในตำนาน?

เขาเดินไปยังหน้าร้านหนังสือเก่าแก่ของหมู่บ้าน สถานที่ที่แม้จะทรุดโทรม แต่ภายในกลับแน่นขนัดไปด้วยบันทึกโบราณจำนวนมาก

เจ้าของร้านเป็นชายวัยหกสิบกว่า ผมขาวโพนแต่ดวงตาคมยิ่งนัก

“คุณชายลู่หรือ?” เขายกตาเพียงเล็กน้อย “มาหาอะไรหรือขอรับ?”

“ข้าอยากรู้เรื่องเสียงพิณในคืนหิมะ...”

เจ้าของร้านชะงักไป “เสียงนั้น...” เขาเอ่ยเสียงเบา ดวงตาวูบไหว “ไม่ควรมีใครเอ่ยถึงและได้ยินมันอีก”

“แต่ข้าได้ยินมัน” เสียงของลู่จิ่นซานแน่นิ่ง

เจ้าของร้านเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะหยิบห่อผ้าเก่า ๆ ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ

“ตำราเล่มนี้ ไม่มีขาย ไม่มีให้ยืม แต่เจ้าควรได้อ่าน”

เขาวางห่อผ้าเบื้องหน้า แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน

ลู่จิ่นซานเปิดผ้าห่อช้า ๆ ข้างในคือบันทึกเก่าเล่มหนึ่ง กระดาษบางกรอบตามกาลเวลา

บนหน้าปกเขียนไว้ด้วยหมึกซีดจาง...

บทเพลงต้องห้ามแห่งหิมะ

มือของเขาสั่นวูบเมื่อแตะหน้าปก เพราะทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงไป เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในใจของเขา

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 3 เด็กสาวกับพิณสายสุดท้าย

    กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 2 คำสัญญาใต้ต้นเหมย

    หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 1 หิมะสุดท้ายในดินแดนไร้ชื่อ

    บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 23 ท่วงทำนองที่ไม่มีจุดจบ

    ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 22 เด็กสาวกับกล่องพิณเก่าเก็บ

    เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 21 ความเงียบของพิณที่ไม่มีสาย

    ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status