ในที่สุดก็ถึงเช้าวันจันทร์ เพลินตายังคงต้องไปทำงานตามปกติ หลังจากที่นั่งกลั้นใจอยู่ในรถตั้งนานกว่าที่จะทำใจให้ยอมลงจากรถไปได้ เธอไม่พร้อมเจอหน้าปฏิธาน ไม่พร้อมหรืออาจจะถึงขั้นไม่อยากเจอ ยิ่งพอได้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันศุกร์แล้วก็ได้แต่อยากร้องไห้เมื่อความจริงที่ว่าเธอมีอะไรกับปฏิธานไปแล้วนั้นมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่ตอนนี้เธอกลายเป็นคนทรยศหักหลังพี่สาว
แต่ถ้าให้เลือก..ว่าระหว่างคนที่มาช่วยเธอคือ ปฏิธาน หรือจะให้เป็นใครคนอื่น บอกตามตรงว่ามันช่างเป็นคำตอบที่ยากแสนยาก เพลินตาไม่อยากให้เป็นคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธออยากให้มันป็น เขา ผู้ที่ได้ชื่อว่ากำลังจะมีสถานะมาเป็นว่าที่สามีของพี่สาวตัวเองในอนาคต
"สวัสดีตอนเช้าครับน้องเพลิน"
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกสีหน้าที่ดูเครียดอยู่ก็เปลี่ยนไปในทางแปลกใจเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ยืนตรงหน้าคือกันตธีร์ ผู้ชายที่เธอพึ่งเจอที่ผับเมื่อคืนวันนั้น หลังจากที่เกิดเรื่องไปเธอก็ไม่ได้ติดต่อเขาอีก ส่วนมินตราพอโทรไปหาก็ดูเงียบไปแปลกๆ ก็เลยยังไม่กล้าถามหรือแม้แต่เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง
เช้านี้กันตธีร์อยู่ในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตแขนสั้นคอปกสีน้ำเงินเข้มตามฟอร์มของบริษัท ซึ่งตัวเธอเองก็เหมือนกัน ไม่ยักรู้ว่าหลังจากที่พึ่งคุยกันไปแค่สองวัน วันนี้กันตธีร์จะเข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกันกับเธอแล้ว
"สวัสดีค่ะพี่กาย นี่เริ่มงานวันนี้แล้วเหรอคะ"
"ครับ จริงๆแล้วต้องเป็นอีกสองอาทิตย์หน้า แต่อยู่ๆบริษัทก็เรียกให้พี่เข้ามาเลย เห็นว่าช่างภาพคนเก่าเขาไม่เข้ามาทำงานแล้วน่ะ"
"ช่างภาพเหรอคะ"
"ครับ พี่เป็นช่างภาพของบริษัท แล้วเพลินล่ะฝึกงานอยู่แผนกไหน เผื่อว่าบางทีเราอาจจะได้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน"
"อ๋อ เพลินอยู่ช่วยพี่ๆฝ่ายการตลาดนะค่ะ ยังไงถ้าเกิดว่าพี่กายไม่มีเพื่อนกินข้าวกลางวันด้วยจริงๆแล้วล่ะก็บอกเพลินได้นะคะ เดี๋ยวเอาไว้เพลินไปนั่งกินข้าวด้วย"
"งั้นถ้าเกิดว่าจะขอรบกวนเป็นวันนี้เลยจะได้ไหมครับ พอดีพี่พึ่งมาทำงานที่นี่วันแรก เลยยังไม่รู้จักใคร"
กันตธีร์ยิ้มแหยตาหยี ทำให้ลุคหนุ่มหน้าตี๋นั้นดูโดดเด่น ระหว่างระยะทางจากลานจอดรถไปถึงยังลิฟท์ ทั้งเธอและเขาก็ยังคุยกันไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะข้องใจว่าเหตุการณ์หลังจากคืนนั้นที่เขามีเรื่องให้ต้องเคลียร์กันกับนางแบบสาวเป็นยังไงต่อ หากแต่เธอกลับไม่ได้ถาม จนกระทั่งเป็นกันตธีร์เองที่เป็นคนพูดออกมา
"พี่เลิกกับแฟนแล้วนะ"
"คะ? เคลียร์กันไม่ลงตัวเหรอคะ"
กันตธีร์ส่ายหน้าแล้วเบะปาก ตอนที่พูดอยู่ๆใบหน้ายิ้มแย้มของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเรียบเฉย เพลินตาฟังแล้วก็อดที่จะสงสารกันตธีร์ไม่ได้ ในเมื่อเขาก็ดูเหมือนว่าจะรักแฟนมากขนาดนั้นทำไมคนดีๆที่ซื่อสัตย์กับแฟนแบบนี้ถึงได้ไม่เจอกับความรักที่ดีๆ ล่ะ
"เขาบอกว่าไม่อยากไปต่อกับพี่แล้วน่ะ"
"อย่าบอกนะคะว่าเป็นเพราะ..."
เพลินตาอยากจะพูดออกไปเลยว่ามันเป็นเพราะปฏิธานใช่ไหม หากแต่ก็เลือกที่จะเงียบปากไม่พูด เพราะคิดว่ายังไงเสียกันตธีร์ก็คงจะรู้แหละว่าเธอหมายถึงใคร
"พี่ไม่โทษใครหรอกเพลิน มันเป็นเรื่องของคนสองคนมากกว่า ถ้าหากว่าเรารักและจับมือกันแน่นพอ ก็คงจะไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างพี่กับแฟนได้"
"เพลินเสียใจด้วยนะคะ แต่ว่าหล่อๆแบบพี่กาย เดี๋ยวก็หาแฟนใหม่ได้ไม่ยากหรอกค่ะ เชื่อเพลิน"
"ขอยังดีกว่า ไหนๆก็โสดแล้ว เลยอยากขอเวลาให้ได้อยู่ทบทวนตัวเองไปก่อน เผื่อพี่จะได้รู้ว่าตัวเองมีอะไรบกพร่องตรงไหนอยู่บ้าง จะได้ปรับปรุงตัว เวลามีความรักครั้งหน้าจะได้ไม่ถูกทิ้งเอาได้อีก"
พูดแล้วกันตธีร์ก็ยักไหล่ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เธอได้อีกครั้งและมีท่าทีที่ดูผ่อนคลายลง เพลินตาจึงได้ยิ้มตอบเขากลับไปได้
"ว่าแต่คืนนั้นเพลินกลับยังไง อันที่จริงพี่ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนหมดสนุก กำลังคุยกันอยู่เพลินๆแท้ๆเชียว"
"เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่จริงคืนนั้นเพลินก็.."
เพลินตานิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบไปว่ายังไงดี ในเมื่อคืนนั้นเธออยู่กับปฏิธานแล้วมีอาการแปลกๆโดยไม่รู้สาเหตุ จนกระทั่งมันเกิดเรื่องราวเกินเลยไปจนไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกใคร..
ปิ๊ง!
ดีที่ว่ามีเสียงสัญญาณไฟในลิฟท์ช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทันเวลา เมื่อมันนำพาให้เธอขึ้นมาถึงยังชั้นที่ตัวเธอเองทำงานอยู่ เพลินตารีบบอกลากันตธีร์แล้วพาตัวเองออกจากลิฟท์ไปอย่างไว พ่นลมหายใจโพล่งออกจากปากได้ไม่เท่าไหร่ สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นว่าตรงเก้าอี้นั่งทำงานของเธอนั้นมีใครบางคนที่เธอพึ่งจะไม่อยากเอ่ยถึงนั้นนั่งรออยู่
"พี่เต็ม"
"พี่อยากคุยด้วย"
"แต่ว่าเพลินไม่อยากค่ะ"
"แน่ใจแล้วนะที่พูดออกมาแบบนี้"
"เออะ คือว่า..เพลินหมายถึง เพลินต้องทำงานค่ะ พอดีว่าพี่ๆเขาสั่งงานเอาไว้ ยังไงเพลินว่าเราเอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังดีกว่าไหมคะ"
เพลินตาพยายามพูดปัด ในขณะที่สีหน้าเคร่งขรึมของปฏิธานก็แสดงออกราวกับจะบอกให้เธอได้รับรู้ว่าการคิดที่จะปฏิเสธเขาได้นั้นมันไม่ง่าย
"ระหว่างพนักงานในแผนกกับพี่ที่เป็นผู้บริหาร เพลินคิดว่าควรน่าจะเชื่อฟังใครมากกว่ากัน"
บ้าอำนาจ! ทีตอนเมื่อเช้าวันเสาร์เธอขอร้องว่าให้เขาช่วยปกปิดหรือไม่ก็ทำเป็นลืมเรื่องที่มันเกิดขึ้นเสียเขายังไม่เห็นว่าจะยอมรับปาก นี่ไม่รู้ว่าปฏิธานดูไม่ออกเลยหรือไงว่าเธอไม่ได้อยู่ในโหมดที่อยากจะคุยด้วย
"พี่เต็มอยากคุยเรื่องอะไร งั้นคุยตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ"
"พี่อยากคุยเรื่องคืนก่อน เพลินแน่ใจนะว่าอยากให้พี่คุยตรงนี้เลยจริงๆ"
"ไม่นะคะ พี่เต็มห้ามพูดนะ"
"งั้นเพลินก็ตามพี่มานี่"
ถึงแม้ว่าเธออยากปฏิเสธ แต่ปฏิธานก็ไม่รอให้เธอพูดเลย เขาตรงเข้ามาดึงข้อมือให้เธอเดินตามเขาไปดื้อๆ จนเพลินตาต้องรีบพยายามแกะมือตัวเองออกเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น จากนั้นเขาก็พาเธอขึ้นลิฟท์มาอีกตั้งยี่สิบกว่าชั้น จนกระทั่งขึ้นมาถึงห้องทำงานของเขา แล้วก็บอกให้เธอนั่งลงไปบนโซฟา แถมตัวเขาเองก็นั่งลงมาข้างๆเธอด้วย
"พี่เต็มมีอะไรคะ"
"เรื่องคืนนั้นที่เพลินโดนวางยา พี่อยากรู้ว่าใครทำ"
"เพลินไม่ทราบค่ะ"
"แล้วสงสัยใคร ระหว่างไอ้คนที่มันนั่งข้างเพื่อน หรือว่าคนที่มันนั่งข้างเพลิน"
"พี่เต็ม เพลินไม่ทราบจริงๆ แล้วเพลินก็ไม่อยากปรักปรำใครด้วย เพลินโดนวางยาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่ตอนนั้นมัน..รู้สึกแปลกๆ ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ทั้งพี่แชมป์หรือพี่กายเลยก็ได้"
"โลกสวยว่างั้น ถ้าไม่ใช่ไอ้สองคนนั่นแล้วที่เพลินร้องขอให้พี่ช่วยทั้งคืนนั้น จะบอกว่ามันเป็นความต้องการของเพลินเองอย่างงั้นหรือไง"
"ไม่ใช่นะคะ! พี่เต็ม เพลินบอกเป็นร้อยรอบแล้วไงว่าไม่อยากให้พี่พูดถึงมันอีก"
"ทำไม"
ปฏิธานถามกลับเสียงเข้ม ไม่ใช่แค่เสียง หากแต่แววตาก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันทียามที่มองมา หลังจากสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกแล้วเพลินตาจึงได้รวบรวมความกล้า ตัดสินใจค่อยพูดถ้อยคำที่อยู่ในใจด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะแผ่วเบา
"ลืมไปแล้วเหรอคะว่าอีกหน่อยพี่เต็มก็จะต้องหมั้นกับพี่พราว แค่นี้เพลินก็รู้สึกผิดจะตายอยู่แล้ว"
"หมายความว่า เพลินต้องการให้พี่ทำเหมือนกับว่าระหว่างเรามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
เพลินตาพยักหน้าหงึกในทันที แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาแปลกๆ ปฏิธานไม่น่าถามคำถามนี้ด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อมันต้องสมควรที่จะต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
"แล้วถ้าวันหนึ่งพี่ต้องหมั้นกับพราว แต่งงานกับพราว เพลินก็ยอมได้ว่างั้น ทั้งๆ ที่ตอนนี้เพลินเป็นคนได้กับพี่ก่อนพราวเสียอีก"
"บอกแล้วไงคะว่าห้ามพูดๆ"
เพลินตาตกใจจนอ้าปากค้างที่ปฏิธานพูดมันออกมาตรงๆ จนเธอต้องรีบขยับตัวเข้าไปหาแล้วใช้ฝ่ามือตัวเองปิดปากของคนตัวใหญ่เอาไว้ด้วยความลืมตัว ส่วนคนที่ถูกปิดปากก็รีบจับมือของคนตัวเล็กออก แล้วเถียงเธอกลับอย่างไว
"โอเค! พี่จะไม่พูดก็ได้ถ้าหากว่าเพลินไม่อยากให้พี่พูด แต่เพลินลองคิดดูสิว่าตัวเองได้พี่ไปแล้วแท้ๆ เกิดวันหนึ่งพี่สาวของเพลินรู้เรื่องของเราทีหลังขึ้นมา คิดไหมว่าพี่สาวของเพลินจะรู้สึกยังไง ถ้าสำหรับพี่มันเหมือนกับว่าถูกหลอกแทงข้างหลังดีๆนี่เอง"
เพลินตาหน้าเครียดเมื่อได้คิดตามคำพูดของปฏิธาน ถ้าหากวันนั้นมาถึงแล้วเกิดพราวมุกรู้เรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ยังจะอยากมีเธอเป็นน้องสาวอยู่อีกไหม บิดามารดาจะยอมให้อภัยเธอไหมที่เธอเป็นคนแทงข้างหลังพี่สาว
"แต่ว่าเรื่องนี้..นอกจากพี่เต็มกับเพลินแล้วก็ไม่มีใครคนอื่นรู้อีก ถ้าเกิดว่าเพลินอยากจะขอร้อง ถ้าพี่เต็มไม่บอก เพลินไม่บอก พี่พราวจะรู้ได้ยังไง"
"ตั้งใจว่ายังไงก็จะหลอกพี่สาวให้ได้เลยว่างั้น"
"เพลินไม่ได้หลอก แต่จะให้เพลินทำยังไงในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว ขอแค่พี่เต็มอย่าบอกพี่พราวเท่านั้น แล้วเพลินสัญญาว่าวันที่พี่พราวกลับมา เพลินจะอยู่ให้ห่างๆ จากพวกพี่"
ปฏิธานนิ่งเงียบ ดวงตาคมที่จ้องมองใบหน้างดงามของคนตรงหน้านิ่งสนิทราวกับมีบางสิ่งที่กำลังต้องใช้คววามคิดอยู่ในใจ กระทั่งในที่สุดก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดเอาไว้อยู่ออกมา
"ได้สิ อยากปิดปากพี่เรื่องของเรา งั้นเพลินก็ต้องยอมแลก"
"ยอมแลก พี่หมายความว่ายังไงคะ"
"ยอมพี่ ทุกครั้งจนกว่าพี่สาวของเพลินจะกลับมา"
"พี่เต็ม! แบบนี้มันเลวมากเกินไปแล้วนะคะ"
"เพลินจะไม่ทำก็ได้นะ แต่ถ้าเกิดว่าพี่ 'อยาก' ขึ้นมาแล้วพี่ไปมีผู้หญิงคนอื่น พี่สาวเพลินก็คงต้องยอมเสียชื่อเสียงหน่อย เพลินจะเอาแบบนั้นเหรอ"
"เลวมาก เลิกฝันไปได้เลยค่ะ เพลินจะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด ไม่คิดเลยนะคะว่าพี่จะมีความคิดที่มันเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ พี่มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย"
"ใช่สิ ยังไงพี่มันก็เป็นแค่ผู้ชายเลวๆ ในสายตาเพลินอยู่แล้วนี่ ในเมื่อสิ่งที่พี่เสนอแล้วเพลินไม่ยอมสนอง งั้นก็อย่ามาหาว่าพี่ใจร้ายทีหลังไม่ได้นะตอนที่พี่สาวเพลินกลับมา"
ช่วงเวลาตลอดทั้งบ่ายเพลินตายังคงต้องทำงานที่ที่ค้างเอาไว้อยู่ในแผนกต่อโดยการไหว้วานนิธิพลและพี่ๆ คนอื่นที่ต้องรีบไปเข้าประชุมภาคบ่าย จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน กระเป๋าสะพายใบโปรดก็ถูกรีบคว้าขึ้นมาบนบ่าและตัวเธอเองก็กะว่าจะรีบจ้ำอ้าวออกจากบริษัทไปก่อนที่ใครจะมาเห็นแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าโดดงาน ก็ในเมื่ออยู่จนถึงเวลาเลิกงานแล้ว เธอจะรีบออกเร็วหรือช้าก็เป็นสิทธิ์ของเธออยู่ดี กะว่าอยากจะรีบไปเดินผักผ่อนหย่อนกายเสียหน่อย เอาเป็นห้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณทางผ่านตอนจะกลับคอนโดมิเนียมนี่ก็แล้วกันสะดวกดี กะว่าแวะหาอะไรทาน เดินเลือกซื้อของ แล้วก็จะกลับ จนกระทั่งตอนที่เธอเปิดประตูลิฟท์ออกมาแล้วเจอเข้ากับผู้ชายคนนี้ หนึ่งในลูกหลานของตระกูลทรัพย์ณรงค์กุล"เลิกงานแล้ว เพลินช่วยไปดูหนังกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนหน่อยครับ""พี่ปรานต์"เพลินตายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนตรงหน้าคือใคร ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาฝึกงานที่นี่เรียกว่าแทบจะนับครั้งได้ที่เธอเจอเขา หนึ่งในผู้บริหารหนุ่มของ SNG ดีกรีความหล่อสูสีกับปฏิธานก็จริง แต่ปรานต์ออกจะดูเป็นผู้ชายอบอุ่นมากกว่า"ไปยังไงมายังไงคะ ถึงได้มาดักรอเพลินอยู่ที่ลิฟท์หน้าบริ
เพลินตาเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่แสนจะหลากหลาย สมองอื้ออึงและมึนตึงไปพร้อมๆ กันเมื่อคำพูดของปฏิธานเอาแต่รบกวนระบบประสาทของเธออยู่เรื่อย ปฏิธานจะให้เธอยอมไปเป็นผู้หญิงลับๆ ของเขาจนกว่าพี่สาวของเธอจะกลับมา เธอขอสัญญากับตัวเองไว้ตรงนี้เลยว่ายังไงเสียก็จะไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด ผู้ชายคนนั้นจะไม่มีทางได้ในสิ่งที่เขาอยากได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนดีเลิศเลอ แต่เธอก็จะไม่ยอมต่ำตมจนต้องยอมทำอะไรผิดพลาดอีก"อ้าวเพลินกลับมาแล้วเหรอ เห็นคุณต้นอ้อแจ้งมาว่าให้เพลินช่วยไปถ่ายเอกสารให้ที่ข้างบนมาเพราะว่าเตรียมเอาไว้ใช้ในห้องประชุมบ่ายนี้ไม่ทัน เป็นไง เสร็จเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหมจ๊ะ"หลังจากเดินกลับมาถึงยังชั้นที่ตัวเองทำงานอยู่เพลินตาก็เดินเข้าแผนกมาแบบเครียดๆ ในหัวตอนนี้ไหนจะมีเรื่องที่ปฏิธานพึ่งจะพูดกับเธอมา ไหนจะเป็นเรื่องที่ว่าตอนนี้พี่ๆ ในแผนกต่างมากันครบหมดแล้วอีก แล้วเธอควรต้องแก้ตัวว่าอะไร จนกระทั่งเดินเข้ามาเจอกับหัวหน้าแผนกอย่างคุณนิธิพล ที่แจ้งเหตุผลทันทีที่เห็นหน้าเธอว่าคุณต้นอ้อนั้นโทรมาบอกเหตุผลที่เรียกตัวเธอไปใช้งานเรียบร้อยแล้วเพลินตาอ้าปากแบบงงๆ คุณต้นอ้อคือใครแน่นอนว่า
ในที่สุดก็ถึงเช้าวันจันทร์ เพลินตายังคงต้องไปทำงานตามปกติ หลังจากที่นั่งกลั้นใจอยู่ในรถตั้งนานกว่าที่จะทำใจให้ยอมลงจากรถไปได้ เธอไม่พร้อมเจอหน้าปฏิธาน ไม่พร้อมหรืออาจจะถึงขั้นไม่อยากเจอ ยิ่งพอได้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันศุกร์แล้วก็ได้แต่อยากร้องไห้เมื่อความจริงที่ว่าเธอมีอะไรกับปฏิธานไปแล้วนั้นมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่ตอนนี้เธอกลายเป็นคนทรยศหักหลังพี่สาวแต่ถ้าให้เลือก..ว่าระหว่างคนที่มาช่วยเธอคือ ปฏิธาน หรือจะให้เป็นใครคนอื่น บอกตามตรงว่ามันช่างเป็นคำตอบที่ยากแสนยาก เพลินตาไม่อยากให้เป็นคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธออยากให้มันป็น เขา ผู้ที่ได้ชื่อว่ากำลังจะมีสถานะมาเป็นว่าที่สามีของพี่สาวตัวเองในอนาคต"สวัสดีตอนเช้าครับน้องเพลิน"ทันทีที่ประตูรถเปิดออกสีหน้าที่ดูเครียดอยู่ก็เปลี่ยนไปในทางแปลกใจเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ยืนตรงหน้าคือกันตธีร์ ผู้ชายที่เธอพึ่งเจอที่ผับเมื่อคืนวันนั้น หลังจากที่เกิดเรื่องไปเธอก็ไม่ได้ติดต่อเขาอีก ส่วนมินตราพอโทรไปหาก็ดูเงียบไปแปลกๆ ก็เลยยังไม่กล้าถามหรือแม้แต่เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง เช้านี้กันตธีร์
หลายชั่วโมงผ่านไป แต่ก็ดูเหมือนว่าฤทธิ์ยาน่าจะยังคงไม่ยอมจางหายไปได้ง่ายๆ ในขณะที่ล้มตัวนอนลงไปข้างๆ กันด้วยความเหนื่อยหอบ ปฏิธานก็ดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้แล้วเริ่มบีบคลึงที่สองเต้าอวบอีก ช่วงจังหวะนี้เพลินตาเริ่มจะรับรู้ได้แล้วว่า สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นมาระหว่างเธอและปฏิธานนั้นคืออะไร หากแต่ความต้องการภายในที่ยากต่อการควบคุมนั้นกลับทำให้เธอยังคงเรียกร้องให้เขาทำมันอีกซ้ำๆ"ดูดนมให้เพลินอีกสิพี่เต็ม""ดูดแค่นมมันจะไปพออะไร เพลินอ้าขาสิ พี่อยากลงไปเลียข้างล่าง"ค่ำคืนนี้คุณหนูเพลินตาจอมเซี้ยวช่างว่าง่ายนัก ไม่ว่าปฏิธานจะเอ่ยปสกบอกให้ทำอะไรเธอก็คล้อยตามเขาไปเสียหมด ทันทีที่ลิ้นร้อนๆของปฏิธานจ่อเลียเข้ามา สองเรียวขาก็รีบกระหวัดเอี่ยวขึ้นไปบนบ่า ก่อนจะแอ่นเด้งกายสาวเข้าหาให้เข้าได้กินใกล้ๆ"อ๊า พี่เต็มขา เพลินรู้สึกดีจังเลย""อื้มเพลิน พี่ชอบมัน"ปฏิธานยกสองเรียวขาพาดบ่าให้แน่น ก่อนจะขยี้ปลายลิ้นบี้ลงไปกับเม็ดเสียว เพลินตาดิ้นเร่า พยายามแอ่นเนินเนื้ออวบของเธอเข้าหาใบหน้าเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บทรักที่แสนเร่าร้อนของปฏิธานนั้นแสนร้อนแรง แถมยังช่วยเปิดประสบการณ์เรื่องรักๆใคร่ๆให้กับเธอได
หลังจากถูกจับลอกคราบออกเสียจนสิ้น เรือนร่างที่แสนงดงามสมส่วนของเพลินตาก็นอนบิดเร่าอยู่บนเตียงใหญ่ ใบหน้างดงามเหยแกเพราะผลจากฤทธิ์ของยาจนไม่สามารถต้านทานต่อความต้องการที่เกิดขึ้นภายในกายได้ จึงได้เอื้อมมือเล็กของตัวเองบี้คลึงลงไปที่ใจกลางเกสรของดอกไม้งาม ก่อนจะแยกเรียวขาออกอย่างไม่นึกอาย"อ๊า พี่เต็มขาได้โปรดช่วยเพลินด้วย อื้อ เพลินทรมานเหลือเกิน"ปฏิธานจ้องมองภาพนั้นก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ภาพของเพลินตาที่นอนแหวกอ้าขาออก แล้วใช้มือตัวเองบีบขยี้บี้คลึงปุ่มเกสรกลางกาย ทำเอาต่อมความยับยั้งช่างใจของเขายิ่งตะเลิด ทั้งๆที่ใจจริงไม่เคยได้คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะกล้าถึงขั้นเลยเถิดลามปามเด็กผู้หญิงตัวน้อย หากแต่เป็นตอนนี้ ปฏิธานตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องช่วยเธอ หากว่าไม่ มีหวังเพลินตาคงต้องช็อกตายเพราะความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองเป็นแน่ราวกับสุนัขจิ้งจอกเตรียมพร้อมที่จะกลืนกินลูกแกะตัวน้อย ปฏิธานจ้องมองเรือนร่างงดงามที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเขาด้วยความหื่นกระหาย สายตากวาดไล่มองสำรวจตั้งแต่ใบหน้าสวยลากเลื้อยลงมาจนไปหยุดที่กึ่งกลางกาย เพลินตางดงามไปเสียทุกส่วน จนเขาไม่สามารถที่จะทนย
เพลินตาไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับเธอนั้นคืออะไร ความรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งตัวจนคอแห้งปากแห้งและยังใจสั่น อาการเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแล้วเปลี่ยนเป็นการคลั่นเนื้อคลั่นตัวแทน มือไม้สั่นระริกระคนจนแทบจะไม่สามารถควบคุมได้ หากแต่เวลาที่สัมผัสโดนผิวกายของปฏิธานแม้เพียงเล็กน้อย กลับทำให้เธอนั้นอยากทำเรื่องบ้าๆ ด้วยการกระโจนเข้าหาและดึงเขาเข้ามากอดจูบเสียอย่างนั้น "พี่เต็ม เพลินเป็นอะไรก็ไม่รู้"เพลินตาตัดสินใจหันไปพูดบอกกับปฏิธานตามตรง หากแต่จุดโฟกัสสายตากลับกลายเป็นเป็นสันจมูกโด่งและริมฝีปากของเขาที่เธอเคยได้สัมผัส จากนั้นดูเหมือนว่ามันจะยังคงไม่พอ เพลินตายังคงแอบละสายตาจากริมฝีปากของคนข้างๆ ไต่ไล่ลงมายังลูกกระเดือก ช่วงจังหวะที่มันขยับกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่ภายในใจจนตามร่างกายยิ่งร้อนวูบวาบ"เป็นอะไรเพลิน""มัน มันรู้สึกร้อนๆ แปลกๆ"ปฏิธานหันกลับมามองเธอเพียงแค่แวบหนึ่ง สภาพของเพลินตาที่เห็นในตอนนี้ก็คืออีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่สุดแสนจะหวานเชื่อม มือไม้ก็อยู่ไม่สุก ไล่เเกะปัดป่ายไปตามเนื้อตัวตัวเอง มองจากสภาพของเพลินตา ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะรู้อยู่หรอก