Share

บทที่ 9

"แม่ครับ ผมว่าบอกความจริงกับมันไปเถอะ" คำพูดของบุตรชายคนโตทำให้จางหลินที่กำลังยกมือปิดปากแน่นส่ายหน้าไปมา

"แม่คะ ฉันเห็นด้วยกับพี่ฉีนะคะ บอกกับเขาไปเถอะ" ฟางหลานเองก็ถือโอกาสนี้ยุแยงออกมาบ้าง

"นี่มันเรื่องอะไรกันครับ!?" เสิ่นหานตะโกนถามเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสับสนและเจ็บปวด เขามองหน้าแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้สลับกันไปมาต้องการคำตอบต้องการความจริงที่จะมาปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายไปในชีวิตของตน

จางหลินยังคงส่ายหน้ายกมือปิดปากแน่นดวงตาสั่นระริก นางไม่อยากพูดไม่อยากให้ความลับที่เก็บงำมานานถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด แต่นางก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นเกินกว่าจะปิดบังได้อีกต่อไป

"แม่ครับ บอกเขาไปเถอะ" เสิ่นฉีกระตุ้นอีกครั้ง น้ำเสียงมีความสมเพชระคนสะใจอยู่ในที

"ให้มันรู้ความจริงไปเลย มันจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นแค่กาฝากอะไรที่ไม่สมควรได้ก็ไม่ควรเรียกร้อง"

"ใช่ค่ะแม่ บอกไปเลยค่ะ" ฟางหลานเสริมอย่างกระตือรือร้น "อาหานจะได้รู้บุญคุณที่แม่กับพ่อเลี้ยงดูมา"

แรงกดดันจากลูกชายคนโตและลูกสะใภ้กอปรกับสายตาคาดคั้นที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวของเสิ่นหานทำให้กำแพงในใจของจางหลินพังทลายลงในที่สุด

นางลดมือลงจากปากถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายและจำนน ก่อนจะเริ่มเล่าความจริงด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเย็นชา

"ก็ได้...ในเมื่อแกอยากรู้มากนัก ฉันก็จะบอกให้!" นางจ้องมองเสิ่นหานเขม็ง "หลายปีก่อน...นานมากแล้ว ตอนที่ฉันกับพ่อแกยังลำบากอยู่ที่เก่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง...หน้าตาสะสวย แต่งตัวมอซออุ้มแกตอนยังเป็นทารกมาหาพวกเรา"

นางจางเว้นจังหวะ มองปฏิกิริยาของเสิ่นหานที่ยืนนิ่งฟังราวกับรูปปั้น "หล่อนบอกว่ามีเหตุจำเป็น เลี้ยงแกไม่ได้ ต้องเดินทางไกล ขอฝากแกไว้กับพวกเราก่อน...นางบอกว่าจะฝากไว้แค่สิบปี แล้วจะกลับมารับคืน"

เสิ่นหานแทบหยุดหายใจ...สิบปี?

"แกเห็นหรือยังว่าบ้านเสิ่นของเรามีน้ำใจกับแกมากแค่ไหน" นางจางเริ่มบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินที่ผู้หญิงคนนั้นให้ไว้

"ดังนั้นตอนนี้แกคิดว่าควรจะถึงเวลาที่แกควรตอบแทนพวกเราแล้วหรือยัง" คำพูดต่อมาอย่างหน้าไม่อายของจางหลินทำให้ครอบครัวของเสิ่นหานตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกเหลือเชื่อ

เสิ่นหานที่เพิ่งจะรับรู้ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองยังไม่ทันจะได้ประมวลผลความเจ็บปวดนั้นให้ดี ก็ต้องมาเผชิญกับการทวงบุญคุณที่ไร้ยางอายนี้อีก เขาจ้องมองใบหน้าของผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาด้วยแววตาว่างเปล่า

ความรู้สึกสับสน เจ็บปวด และตอนนี้...มีความขมขื่นและผิดหวังอย่างรุนแรงเข้ามาแทนที่ นี่นะหรือคือน้ำใจของผู้ที่ตัวเขาเรียกว่าแม่มาตลอดหลายปีพูดถึง? การเลี้ยงดูเขาและใช้แรงงานเขาเยี่ยงทาส

อีกทั้งมีอะไรก็ต้องคอยเสียสละให้เสิ่นฉีตลอดหลายปีเขายังตอบแทนน้ำใจไม่พออีกหรือ เซี่ยอวิ๋นซือโอบกอดสามีไว้แน่นยิ่งขึ้น หล่อนกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือดด้วยความโกรธอีกทั้งอยากจะกรีดร้อง อยากจะด่าทอความหน้าไม่อายของแม่สามี

แต่เมื่อเห็นสภาพจิตใจอันเปราะบางของสามี เธอก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นและกำลังใจให้เขาผ่านอ้อมกอด เสิ่นหยวนกำหมัดแน่นดวงตาที่ปกติจะอ่อนโยนบัดนี้ฉายแววโกรธขึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขารู้สึกขยะแขยงการกระทำของย่าและลุงป้าอย่างที่สุด เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่เอาเปรียบครอบครัวตนมาตลอด แต่ยังกล้านำเรื่องนี้มาขู่เข็ญพ่อของเขาอีก คำว่าบุญคุณนับตั้งแต่จำความได้ที่เสิ่นหานรับเขามาเลี้ยงดูไม่เคยมีวันไหนเลยที่คนบ้านใหญ่จะไม่รังแกพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก

ท่ามกลางความเงียบงันและความรู้สึกที่หลากหลายนั้น เสียงใส ๆ แต่เย็นชาของเสิ่นเมี่ยวก็ดังขึ้นทำลายความเงียบนี้ลง

"คุณจาง” เสิ่นเมี่ยวคิดว่าในเมื่อพ่อของตนไม่มีสายเลือดเดียวกับคนพวกนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องนับญาติกับพวกเขาอีกต่อไป

จางหลินหันขวับมามองหลานสาวตัวแสบนอกสายเลือดด้วยแววตาขุ่นเคือง "แกจะพูดอะไรอีก นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!"

เสิ่นเมี่ยวไม่สนใจคำด่าทอ เธอก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยจ้องมองย่าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

"ฉันอยากรู้ว่าย่าตัวจริงของพ่อฉันนั้นได้ทิ้งอะไรไว้ให้พ่อบ้างหรือเปล่า บอกตามตรงว่าฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณจะมีน้ำใจรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งโดยไม่มีผลประโยชน์"

คำถามนี้ของเสิ่นเมี่ยวราวกับระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกโยนลงมากลางวง จางหลินหน้าซีดเผือดทันที นังเด็กนี่! มันรู้เรื่องอะไรหรือเปล่าหรือว่ามันจะรู้เรื่องเงิน เป็นไปไม่ได้ฉันไม่เคยบอกใครอีกอย่างตอนนั้นเสิ่นหานก็ยังแบเบาะ

แววตาของนางจางกลิ้งกลอกไปมา เสิ่นเมี่ยวจึงคิดว่าตัวเองน่าจะมาถูกทางดังนั้นเธอจึงได้จี้ใจดำโดยการหยั่งเชิงขึ้นมาอีก

"อย่างเช่นเงินมหาศาลจำนวนหนึ่ง" เสิ่นเมี่ยวยังพูดไม่ทันจบนางจางก็โพล่งสวนมาทันที

"เงินอะไร...ไม่มีหรอก"

ท่าทางของจางหลินยิ่งทำให้เสิ่นเมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว

(เหอะ..ไม่มีกับผีนะสิ ฉันดูละครสั้นมาเยอะนะยะ) วิญญาณของหญิงสาวในร่างเด็กแย้ง

"ถ้าไม่มีเงิน อย่างนั้น...ฉันคิดว่าก็น่าจะมีหยกหรือเครื่องประดับหรือของแทนตัวอะไรสักอย่างที่บ่งบอกฐานะของพ่อฉัน ไม่อย่างนั้นหากว่าย่าตัวจริงของฉันกลับมาจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนคือลูกของเธอ" เสิ่นเมี่ยวยังไม่คิดยอมแพ้เธอคิดว่าหากพ่อไม่ใช่ลูกชายของบ้านเสิ่นจริงหลักฐานบอกตัวตนของเขาจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน

นางจางกำลังจะปฏิเสธอีกคำรบ ทว่า..."คุณจางคิดให้ดีก่อนตอบนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าการที่คุณบอกว่าพ่อไม่ใช่สายเลือดของคุณนั้นเป็นเพียงข้าอ้างที่คุณต้องการจะบีบให้พ่อสละตำแหน่งงานให้กับ..." เสิ่นเมี่ยวกล่าวเชิงขู่พลางปรายตามองไปทางเสิ่นฉีที่กำลังยืนหน้าดำหน้าแดง

"ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก แกคอยดูนะฉันจะไปเอาหลักฐานมาให้เดี๋ยวนี้แหละ" ด้วยความโกรธและโดนสายตาที่เด็กไม่กี่ขวบมองมาอย่างรู้ทันทำให้จางหลินไม่คิดหน้าคิดหลังจึงเดินหายไปทางห้องนอนของตน

ไม่นานนักหล่อนก็เดินกลับออกมาจากห้องด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในมือของนางกำวัตถุชิ้นหนึ่งไว้แน่น เมื่อมาถึงกลางห้องโถงเธอก็เหยียดแขนออกไปตรงหน้าเสิ่นหานอย่างแรง แบมือออกอย่างไม่เต็มใจนัก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น

ทันทีที่วัตถุชิ้นนั้นปรากฏแก่สายตาบรรยากาศในห้องก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้แต่แสงสลัว ๆ ภายในบ้านก็ดูเหมือนจะสว่างวาบขึ้นเล็กน้อยเมื่อกระทบกับสิ่งนั้น

มันคือจี้หยกชิ้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคน ต้องเบิกตากว้างคือสีและเนื้อของหยกชิ้นนั้นซึ่งมีสีเขียวสดเข้ม และสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นราวกับสีเขียวมรกตซึ่งดูงดงาม อีกทั้งยังไม่มีตำหนิอย่างหยกราคาถูกทั่วไป เนื้อหยกดูฉ่ำวาวมีความโปร่งแสงสูงจนเกือบจะใส

เมื่อแสงตกกระทบก็เกิดประกายเรืองรองอ่อน ๆ ขึ้นมาจากภายในเนื้อหยกสัมผัสได้ถึงความเนียนละเอียดและเย็นเยียบในตัว แม้จะไม่ได้แกะสลักลวดลายซับซ้อน เป็นเพียงรูปทรงหยดน้ำเรียบ ๆ แต่ความงามอันบริสุทธิ์และคุณภาพเนื้อหยกที่เหนือกว่าหยกใด ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นก็บ่งบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา

เจ้านาย มันคือหยกจักรพรรดิ ราคาของมันไม่ธรรมดาเลยนะครับ สำหรับยุคนี้หากนำไปขายก็น่าจะได้หลายหมื่นหยวนทีเดียว เสียงของเสี่ยวหม่าวดังขึ้นซึ่งเสิ่นเมี่ยวเองก็เห็นด้วย

(แต่ในเมื่อหยกยังคงอยู่นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่คนโลภอย่างนางจางไม่นำไปขาย อีกทั้งยังคงเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้) เสิ่นเมี่ยวครุ่นคิดก่อนจะอาศัยช่วงเวลาที่นางจางไม่ทันตั้งตัวหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาดู

"นางเด็กบ้า! แกจะทำอะไร" จางหลินตวาดแหวเสียงดังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

"หลี่" ทว่าเสิ่นเมี่ยวหาได้สนใจ เธอจึงได้อ่านอักษรที่สลักบนตัวหยกออกมาก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่สอง "หาน หลี่หาน" เธอหันหน้าไปมองพ่อของตัวเองทันทีทันใดหลังอ่านอักษรทั้งสองคำรวมกัน

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 109

    หลังจากแสดงความยินดีและซักถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้ว หลี่หยุนก็เข้าเรื่องทันที "คืออย่างนี้ครับ ผู้อำนวยการหวัง ผมเองก็อายุมากแล้ว อยากจะขอเกษียณตัวเองจากตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงเสียที และผมก็เห็นว่าหลี่หานลูกชายของผมคนนี้เขามีความรู้ความสามารถทางด้านช่างเทคนิคและเครื่องยนต์ก

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 108

    ยามเช้าของวันต่อมา แสงแดดแรกของหางโจวในช่วงต้นฤดูร้อนสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่นปลุกชีวิตชีวาให้กับสรรพสิ่ง ณ อาคารที่พักของพนักงานของโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเฟยเยว่ ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง ที่ซึ่งหลี่หานกำลังจะก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงต่อจากบิดา

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 107

    เย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่ทุกคนได้กินอาหารมื้อเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น หลี่หยุนได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับหลาน ๆ ทั้งสองคนอย่างเต็มที่ เขารู้สึกเหมือนความสุขทั้งหมดในชีวิตได้ย้อนกลับคืนมาอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 106

    "จริงเหรอครับ/ค่ะ พ่อ" สองพี่น้องร้องออกมาด้วยความดีใจ " "จริงสิลูก แต่ว่าเรื่องตู้เย็นเอาไว้พวกเราค่อย ๆ เก็บเงินซื้อกันนะ ตอนนี้ก็ซื้อน้ำแข็งไปก่อนเพราะโรงงานน้ำแข็งประชาชนอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง พอหน้าหนาวพ่อว่าน้ำแข็งก็ไม่น่าจะเป็นที่ต้องการเท่าไหร่แล้วละ" พูดถึงเรื่องนี้เซี่ยอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 105

    เย็นวันนั้นข่าวการเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงโรงงานเฟยเยว่ของหลี่หาน และความสำเร็จในการซ่อมเครื่องจักรที่แม้แต่ทีมช่างของโรงงานยังจนปัญญาก็ได้สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้กับทุกคนในครอบครัวหลี่และครอบครัวเซี่ยเป็นอย่างมาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและคำชื่นชม เซ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 104

    (ซึ่งในระหว่างนี้ ทักษะการวิเคราะห์ปัญหาเครื่องจักรระดับสูงสุดที่เสี่ยวหม่าวมอบให้กำลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพในหัวของเขา) หลังจากใช้เวลาพิจารณาอยู่ไม่นานนัก ประมาณสิบกว่านาทีเห็นจะได้ หลี่หานก็เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่มั่นใจ "ผมคิดว่าผมพอจะมองเห็นสาเหตุแล้วครับท่านผู้อำนวยกา

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status