"แม่ครับ ผมว่าบอกความจริงกับมันไปเถอะ" คำพูดของบุตรชายคนโตทำให้จางหลินที่กำลังยกมือปิดปากแน่นส่ายหน้าไปมา
"แม่คะ ฉันเห็นด้วยกับพี่ฉีนะคะ บอกกับเขาไปเถอะ" ฟางหลานเองก็ถือโอกาสนี้ยุแยงออกมาบ้าง
"นี่มันเรื่องอะไรกันครับ!?" เสิ่นหานตะโกนถามเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสับสนและเจ็บปวด เขามองหน้าแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้สลับกันไปมาต้องการคำตอบต้องการความจริงที่จะมาปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายไปในชีวิตของตน
จางหลินยังคงส่ายหน้ายกมือปิดปากแน่นดวงตาสั่นระริก นางไม่อยากพูดไม่อยากให้ความลับที่เก็บงำมานานถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด แต่นางก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นเกินกว่าจะปิดบังได้อีกต่อไป
"แม่ครับ บอกเขาไปเถอะ" เสิ่นฉีกระตุ้นอีกครั้ง น้ำเสียงมีความสมเพชระคนสะใจอยู่ในที
"ให้มันรู้ความจริงไปเลย มันจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นแค่กาฝากอะไรที่ไม่สมควรได้ก็ไม่ควรเรียกร้อง"
"ใช่ค่ะแม่ บอกไปเลยค่ะ" ฟางหลานเสริมอย่างกระตือรือร้น "อาหานจะได้รู้บุญคุณที่แม่กับพ่อเลี้ยงดูมา"
แรงกดดันจากลูกชายคนโตและลูกสะใภ้กอปรกับสายตาคาดคั้นที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวของเสิ่นหานทำให้กำแพงในใจของจางหลินพังทลายลงในที่สุด
นางลดมือลงจากปากถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายและจำนน ก่อนจะเริ่มเล่าความจริงด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเย็นชา
"ก็ได้...ในเมื่อแกอยากรู้มากนัก ฉันก็จะบอกให้!" นางจ้องมองเสิ่นหานเขม็ง "หลายปีก่อน...นานมากแล้ว ตอนที่ฉันกับพ่อแกยังลำบากอยู่ที่เก่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง...หน้าตาสะสวย แต่งตัวมอซออุ้มแกตอนยังเป็นทารกมาหาพวกเรา"
นางจางเว้นจังหวะ มองปฏิกิริยาของเสิ่นหานที่ยืนนิ่งฟังราวกับรูปปั้น "หล่อนบอกว่ามีเหตุจำเป็น เลี้ยงแกไม่ได้ ต้องเดินทางไกล ขอฝากแกไว้กับพวกเราก่อน...นางบอกว่าจะฝากไว้แค่สิบปี แล้วจะกลับมารับคืน"
เสิ่นหานแทบหยุดหายใจ...สิบปี?
"แกเห็นหรือยังว่าบ้านเสิ่นของเรามีน้ำใจกับแกมากแค่ไหน" นางจางเริ่มบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินที่ผู้หญิงคนนั้นให้ไว้
"ดังนั้นตอนนี้แกคิดว่าควรจะถึงเวลาที่แกควรตอบแทนพวกเราแล้วหรือยัง" คำพูดต่อมาอย่างหน้าไม่อายของจางหลินทำให้ครอบครัวของเสิ่นหานตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกเหลือเชื่อ
เสิ่นหานที่เพิ่งจะรับรู้ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองยังไม่ทันจะได้ประมวลผลความเจ็บปวดนั้นให้ดี ก็ต้องมาเผชิญกับการทวงบุญคุณที่ไร้ยางอายนี้อีก เขาจ้องมองใบหน้าของผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาด้วยแววตาว่างเปล่า
ความรู้สึกสับสน เจ็บปวด และตอนนี้...มีความขมขื่นและผิดหวังอย่างรุนแรงเข้ามาแทนที่ นี่นะหรือคือน้ำใจของผู้ที่ตัวเขาเรียกว่าแม่มาตลอดหลายปีพูดถึง? การเลี้ยงดูเขาและใช้แรงงานเขาเยี่ยงทาส
อีกทั้งมีอะไรก็ต้องคอยเสียสละให้เสิ่นฉีตลอดหลายปีเขายังตอบแทนน้ำใจไม่พออีกหรือ เซี่ยอวิ๋นซือโอบกอดสามีไว้แน่นยิ่งขึ้น หล่อนกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือดด้วยความโกรธอีกทั้งอยากจะกรีดร้อง อยากจะด่าทอความหน้าไม่อายของแม่สามี
แต่เมื่อเห็นสภาพจิตใจอันเปราะบางของสามี เธอก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นและกำลังใจให้เขาผ่านอ้อมกอด เสิ่นหยวนกำหมัดแน่นดวงตาที่ปกติจะอ่อนโยนบัดนี้ฉายแววโกรธขึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขารู้สึกขยะแขยงการกระทำของย่าและลุงป้าอย่างที่สุด เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่เอาเปรียบครอบครัวตนมาตลอด แต่ยังกล้านำเรื่องนี้มาขู่เข็ญพ่อของเขาอีก คำว่าบุญคุณนับตั้งแต่จำความได้ที่เสิ่นหานรับเขามาเลี้ยงดูไม่เคยมีวันไหนเลยที่คนบ้านใหญ่จะไม่รังแกพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก
ท่ามกลางความเงียบงันและความรู้สึกที่หลากหลายนั้น เสียงใส ๆ แต่เย็นชาของเสิ่นเมี่ยวก็ดังขึ้นทำลายความเงียบนี้ลง
"คุณจาง” เสิ่นเมี่ยวคิดว่าในเมื่อพ่อของตนไม่มีสายเลือดเดียวกับคนพวกนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องนับญาติกับพวกเขาอีกต่อไป
จางหลินหันขวับมามองหลานสาวตัวแสบนอกสายเลือดด้วยแววตาขุ่นเคือง "แกจะพูดอะไรอีก นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!"
เสิ่นเมี่ยวไม่สนใจคำด่าทอ เธอก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยจ้องมองย่าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
"ฉันอยากรู้ว่าย่าตัวจริงของพ่อฉันนั้นได้ทิ้งอะไรไว้ให้พ่อบ้างหรือเปล่า บอกตามตรงว่าฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณจะมีน้ำใจรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งโดยไม่มีผลประโยชน์"
คำถามนี้ของเสิ่นเมี่ยวราวกับระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกโยนลงมากลางวง จางหลินหน้าซีดเผือดทันที นังเด็กนี่! มันรู้เรื่องอะไรหรือเปล่าหรือว่ามันจะรู้เรื่องเงิน เป็นไปไม่ได้ฉันไม่เคยบอกใครอีกอย่างตอนนั้นเสิ่นหานก็ยังแบเบาะ
แววตาของนางจางกลิ้งกลอกไปมา เสิ่นเมี่ยวจึงคิดว่าตัวเองน่าจะมาถูกทางดังนั้นเธอจึงได้จี้ใจดำโดยการหยั่งเชิงขึ้นมาอีก
"อย่างเช่นเงินมหาศาลจำนวนหนึ่ง" เสิ่นเมี่ยวยังพูดไม่ทันจบนางจางก็โพล่งสวนมาทันที
"เงินอะไร...ไม่มีหรอก"
ท่าทางของจางหลินยิ่งทำให้เสิ่นเมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว
(เหอะ..ไม่มีกับผีนะสิ ฉันดูละครสั้นมาเยอะนะยะ) วิญญาณของหญิงสาวในร่างเด็กแย้ง
"ถ้าไม่มีเงิน อย่างนั้น...ฉันคิดว่าก็น่าจะมีหยกหรือเครื่องประดับหรือของแทนตัวอะไรสักอย่างที่บ่งบอกฐานะของพ่อฉัน ไม่อย่างนั้นหากว่าย่าตัวจริงของฉันกลับมาจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนคือลูกของเธอ" เสิ่นเมี่ยวยังไม่คิดยอมแพ้เธอคิดว่าหากพ่อไม่ใช่ลูกชายของบ้านเสิ่นจริงหลักฐานบอกตัวตนของเขาจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน
นางจางกำลังจะปฏิเสธอีกคำรบ ทว่า..."คุณจางคิดให้ดีก่อนตอบนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าการที่คุณบอกว่าพ่อไม่ใช่สายเลือดของคุณนั้นเป็นเพียงข้าอ้างที่คุณต้องการจะบีบให้พ่อสละตำแหน่งงานให้กับ..." เสิ่นเมี่ยวกล่าวเชิงขู่พลางปรายตามองไปทางเสิ่นฉีที่กำลังยืนหน้าดำหน้าแดง
"ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก แกคอยดูนะฉันจะไปเอาหลักฐานมาให้เดี๋ยวนี้แหละ" ด้วยความโกรธและโดนสายตาที่เด็กไม่กี่ขวบมองมาอย่างรู้ทันทำให้จางหลินไม่คิดหน้าคิดหลังจึงเดินหายไปทางห้องนอนของตน
ไม่นานนักหล่อนก็เดินกลับออกมาจากห้องด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในมือของนางกำวัตถุชิ้นหนึ่งไว้แน่น เมื่อมาถึงกลางห้องโถงเธอก็เหยียดแขนออกไปตรงหน้าเสิ่นหานอย่างแรง แบมือออกอย่างไม่เต็มใจนัก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น
ทันทีที่วัตถุชิ้นนั้นปรากฏแก่สายตาบรรยากาศในห้องก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้แต่แสงสลัว ๆ ภายในบ้านก็ดูเหมือนจะสว่างวาบขึ้นเล็กน้อยเมื่อกระทบกับสิ่งนั้น
มันคือจี้หยกชิ้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคน ต้องเบิกตากว้างคือสีและเนื้อของหยกชิ้นนั้นซึ่งมีสีเขียวสดเข้ม และสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นราวกับสีเขียวมรกตซึ่งดูงดงาม อีกทั้งยังไม่มีตำหนิอย่างหยกราคาถูกทั่วไป เนื้อหยกดูฉ่ำวาวมีความโปร่งแสงสูงจนเกือบจะใส
เมื่อแสงตกกระทบก็เกิดประกายเรืองรองอ่อน ๆ ขึ้นมาจากภายในเนื้อหยกสัมผัสได้ถึงความเนียนละเอียดและเย็นเยียบในตัว แม้จะไม่ได้แกะสลักลวดลายซับซ้อน เป็นเพียงรูปทรงหยดน้ำเรียบ ๆ แต่ความงามอันบริสุทธิ์และคุณภาพเนื้อหยกที่เหนือกว่าหยกใด ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นก็บ่งบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา
เจ้านาย มันคือหยกจักรพรรดิ ราคาของมันไม่ธรรมดาเลยนะครับ สำหรับยุคนี้หากนำไปขายก็น่าจะได้หลายหมื่นหยวนทีเดียว เสียงของเสี่ยวหม่าวดังขึ้นซึ่งเสิ่นเมี่ยวเองก็เห็นด้วย
(แต่ในเมื่อหยกยังคงอยู่นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่คนโลภอย่างนางจางไม่นำไปขาย อีกทั้งยังคงเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้) เสิ่นเมี่ยวครุ่นคิดก่อนจะอาศัยช่วงเวลาที่นางจางไม่ทันตั้งตัวหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาดู
"นางเด็กบ้า! แกจะทำอะไร" จางหลินตวาดแหวเสียงดังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
"หลี่" ทว่าเสิ่นเมี่ยวหาได้สนใจ เธอจึงได้อ่านอักษรที่สลักบนตัวหยกออกมาก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่สอง "หาน หลี่หาน" เธอหันหน้าไปมองพ่อของตัวเองทันทีทันใดหลังอ่านอักษรทั้งสองคำรวมกัน