เข้าสู่ระบบ“ผู้ใดมีปากเสียงกันอย่างนั้นหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในห้องส่วนตัวด้านบนของร้าน
“เป็นคุณหนูสกุลหลิวพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปากเสียงกับใต้เท้าโจว”
คำตอบของคนสนิททำเอาจอกสุราในมือแกร่งชะงักนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอสงสัย จากที่รับรู้มาบุตรีอดีตราชครูหลิวลุ่มหลงโจวเทียนฉีมากมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมีปากเสียงกันรุนแรงถึงเพียงนี้
“เจ้าฟังผิดหรือไม่ มิใช่ว่านางรักใคร่อยู่กับโจวเทียนฉีหรือ”
“มิผิดพ่ะย่ะค่ะ เป็นคุณหนูหลิวที่ด่าทอใต้เท้าโจว แต่กระหม่อมคิดว่าคำพูดของนางดูแปลกชอบกล ต่างจากก่อนหน้านี้ที่กระหม่อมเคยเจอมากนักพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” จอกสุราในมือถูกหมุนวนช้าๆ ราวกับคนกระทำกำลังคิดบางสิ่งอยู่
“...”
“ส่งคนตามดูเสียหน่อย สกุลหลิวถือว่ามีอำนาจอยู่หลายส่วน หากผิดใจกับสกุลโจวขึ้นมาจริงๆ จะทำเราวุ่นวายไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้คนติดตามดูคุณหนูหลิว”
“เราจะไปที่ใดกันหรือขอรับท่านน้า”
“น้าจะพาพวกเจ้าไปเล่นสิ่งนี้อย่างไรเล่า” ว่าวในมือถูกยกขึ้นมาให้เด็กน้อยทั้งสองดู
หลังจากวันที่ทะเลาะกับพระเอกนางเอกของเรื่อง ฟ่านซีก็อารมณ์เสียอยู่พักใหญ่ เลยไม่ได้ออกไปที่ใดอยู่ช่วยพี่สะใภ้เลี้ยงหลานอย่างที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ กิจกรรมยามว่างของสามน้าหลานจึงกลายเป็นการประดิษฐ์ของเล่นซะส่วนใหญ่
หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นว่าว ที่เหมาะกับช่วงวสันตฤดูเช่นนี้
“หึ ท่านน้ารับจ้างพาพวกเราออกห่างท่านแม่ต่างหากเล่าท่านพี่เฟยหยา” เด็กสาวจิ๊ปากพูดราวกับล่วงรู้ทุกอย่าง
“เจ้าเด็กแก่แดดนี่ รู้ไปเสียทุกเรื่อง สมเป็นบุตรสาวพี่รอง”
“จริงหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
“ก็ไม่ปฏิเสธ แต่น้าก็พาพวกเจ้ามาเล่นสนุกด้วยอย่างไรเล่า มิดีหรือ” หลิวฟ่านซีไม่คิดจะปฏิเสธ นางได้รับการไหว้วานจากพี่ใหญ่พี่รองให้พาเด็กน้อยทั้งสองออกห่างจากมารดาเสียบ้าง เพื่อแลกกันคันธนูที่นางขอไป
ฟ่านซีคิดว่าจะกลับมาฝึกธนูหลังจากที่หยุดไปตั้งแต่มาที่นี่ แม้ตอนนี้จะมีความสุขดีแต่ชีวิตที่ไม่ได้จับธนู ก็เหมือนขาดบางสิ่งไป คงเป็นอาการเสพติดกระมัง นางฝึกมาตั้งแต่เด็ก มีคันธนูเป็นเพื่อนคนแรกเลยก็ว่าได้
นึกถึงตรงนี้ก็อดคิดถึงเจ้าปุ๊กปิ๊กไม่ได้
“นั่นย่อมดีขอรับ”
“ข้าก็ว่าดีเจ้าค่ะ” สามน้าหลานเดินตามสาวใช้ที่กำลังนำไปยังทะเลสาบ เห็นว่าบริเวณนั้นมีสนามกว้างอยู่พอควร ทั้งลมยังพัดนิ่ง เหมาะแก่การปล่อยว่าวเป็นที่สุด
ทันทีที่มาถึง คนที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดคงไม่พ้นฟ่านซี เพราะนางพึ่งจะเคยเห็นสถานที่นี้ครั้งแรก ผืนน้ำนิ่งสงบ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศร่มรื่น มีลมพัดเย็นสบาย จนคนมาเยือนยิ้มไม่หุบ
“เริ่มกันเลยดีหรือไม่” ผู้เป็นน้าจัดแจงสอนหลานๆ ปล่อยว่าวอยู่พักใหญ่ จนเด็กๆ สามารถจับสายว่าวได้เองแล้ว จึงปล่อยให้เด็กทั้งสองวิ่งเล่นตามประสา ส่วนนางก็เดินชมทิวทัศน์ไปพลาง สอดส่องสายตาดูหลานๆ ไปพลาง
นึกไปนึกมาแล้ว ใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย ไม่ต้องดิ้นรนทำสิ่งใด ชีวิตนี้นางย่อมไม่ลำบาก หากว่าไม่เอาตนเองไปยุ่งกับตัวหลักของเรื่อง พระนางก็ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตไป ส่วนนางก็อยู่บ้านเลี้ยงหลานไปวันๆ
เฮ้อ~ สงบสุขจริงๆ
“ขอประทานอภัยเพคะ ขอประทานอภัยเพคะ” เสียงตะโกนร้องของสาวใช้ที่ดูแลเด็กทั้งสอง เรียกให้ฟ่านซีและจูหลิงหันไปมอง
“เกิดสิ่งใดขึ้น นั่นผู้ใดกัน”
“เอ่อ นะ นั่นจวิ้นอ๋องมิใช่หรือเจ้าคะ”
“จวิ้นอ๋อง...หะ! จางกงเต๋อหัวน่ะหรือ” แย่ล่ะ นั่นมันตัวร้ายของเรื่องเลยนะ เหตุใดถึงได้บังเอิญถึงเพียงนี้!
เขามาทำอะไรที่นี่กัน
คนถูกตกเป็นเป้าสายตามิได้สนใจเลยสักนิด ยามนี้ฟ่านซีเห็นเพียงเป้าที่อยู่เบื้องหน้า ปากเล็กเป่าลมออกจนสุดก่อนจะสุดลมหายใจเข้าเต็มปลอดและ...ปล่อยศรออกไปฟิ้ว~ปัก!“...” เสียงรอบข้างเงียบสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงเฮดังลั่น เมื่อศรธนูปักลงบนกลางเป้าอย่างน่าเหลือเชื่อ ผู้แข่งขันที่อยู่เบื้องหน้าของฟ่านซี บัดนี้แตกกระจายกันไปทั่วทุกทิศทางเพื่อล่าสัตว์ใหญ่มาใช้ในการสักการะเทพเจ้าคนทั้งลานพิธีต่างปรบมือให้กับความสามารถของคุณหนูสกุลหลิว น้อยคนนักที่จะสามารถยิงลงกลางเป้าได้ ยิ่งเป็นสตรียิ่งไม่มีผู้ใดเคยทำได้ ขนาดจวิ้นอ๋องของแคว้นยังยอมปรบมือให้ สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ดุร้าย ฉายชัดว่าสนใจในตัวหลิวฟ่านซีมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าการกระทำนั้นตกอยู่ในสายตาของจางกงเหลียนป๋อ เป้ยเล่อของแคว้น ที่มีฐานะเป็นน้องชายต่างมารดา สายตาของจางกงเหลียนป๋อเต็มไปด้วยความเวทนาต่อหลิวฟ่านซี ดูท่าชีวิตของคุณหนูหลิวคงหนีไม่พ้นตกไปเป็นอนุในจวนอ๋องเสียแล้ว“เฮ้อ~ นึกว่าจะถูกโบยซะแล้ว” ร่างเล็กทรุดลงบนแท่นยิงด้วยอาการแข้งขาอ่อนแรง พี่ชายทั้งสองจึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของน้องสาว แต่บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะวิ่งออกมาด้ว
หลิวฟ่านซีเดินวนไปเวียนมาอยู่หลังลานพิธี เพื่อรอเวลา ยอมรับว่านางค่อนข้างตื่นเต้นและกังวล จริงอยู่ว่านางเคยยืนอยู่บนการแข่งขันระดับโลก ตอนนั้นถ้าพลาดก็แค่เสียใจ แต่ครั้งนี้ถ้าพลาดอาจถึงขั้นเสียชีวิต ฮื้อ~ “มองเป้าให้ดี อย่าให้ว่อกแว่ก อย่าให้พลาดเด็ดขาด เจ้าเคยซ้อมอยู่ที่เรือนทุกเช้า”“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าก็ทำได้ดียิ่งนัก” ทั้งไห่คุนและจ้งเหลียนต่างก็มาให้กำลังใจน้องสาวอยู่หลังลานพิธี“มันจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า ถะ ถ้าข้ายิงพลาด ฝ่าบาทจะไม่สั่งตัดหัวข้าหรือ”“ไม่หรอก องครักษ์ที่เคยยิงพลาดก็เพียงแค่ถูกโบยและโดนปลด”“พี่รอง! ข้าใจเสียยิ่งกว่าเดิม” ฟ่านซีโอดครวญ นึกอยากตบปากตนเองนักที่พูดออกไปว่าช่วงนี้กำลังฝึกยิงธนู“เอาล่ะๆ ไม่ต้องกังวลไป ฝ่าบาทมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น ตอนนี้ประกาศผู้ชนะการบรรเลงดนตรีแล้ว เจ้าต้องออกไปแล้ว” เสียงประกาศว่าผู้ชนะในการแข่งบรรเลงดนตรีวันนี้เป็นเถียนลี่มี่ แต่ฟ่านซีไม่ได้สนใจเลยสักนิด ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นเต้นรัวเพราะกลัวว่าจะทำพลาดไม่ต่างกับเหล่าขุนนางและผู้คนในลานพิธี บัดนี้ไม่มีผู้ใดสนใจผู้ชนะในการแข่งขันบรรเลงดนตรีแม้แ
“ผู้ชนะมาแล้วสินะ” หลิวฟ่านซีพึมพำอย่างหน่ายๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรบทนางเอกก็ต้องเด่น ยังไงการแข่งขันครั้งนี้เถียนลี่มี่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ ขณะที่ฟังการเป่าตี้จื่อ (ขลุ่ยผิว) ของแม่นางเอก ก็อดที่จะหันไปมองโจวเทียนฉีไม่ได้ ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคืออีกฝ่ายมองนางอยู่ก่อนแล้วช่วงที่ผ่านมา แม้ฟ่านซีจะเอ่ยว่าไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับตัวละครหลักของเรื่อง แต่กลับมีหลายครั้งที่พบกันโดยบังเอิญ และโจวเทียนฉีก็ยังพูดกระทบนางเรื่องเดิมว่านางกำลังจะทำให้สกุลหลิวเดือดร้อน ครั้งหนึ่งเขายังเคยเดินตามมาส่งนางกับจูหลิงกลับเรือน นับวันชักทำตัวแปลกขึ้นทุกที“มองทำไม เดี๋ยวก็จิ้มตาบอด” หลิวฟ่านซีอดเบะปากรำคาญมิได้ สุดท้ายนางต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกมา เพราะอีกคนจ้องหน้านางไม่เลิก อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป ไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง“การแข่งขันสิ้นสุดลง-” ขุนนางหนุ่มกำลังจะประกาศสิ้นสุดการแข่งขันชะงักนิ่ง เมื่อไท่กงกง ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทเดินมากระซิบข้างหู“เอ่อ ฝ่าบาททรงตรัสถามถึงคุณหนูสกุลหลิว ปีก่อนคุณหนูหลิวเป็นผู้ชนะการบรรเลงผีผา ปีนี้จะเข้าร่วมการแข่งหรือไม่”“ห๊ะ!” หลิวฟ่านซีที่กำลังอ้าปากกินขนมถึงกับค้างเมื
เสียงบรรเลงดนตรีดังขับกล่อมผู้คนในลานพิธี ท่ามกลางต้นไม้สูงลิ่วบนเนินเขาเหยี่ยนเฟิง ในช่วงสารทฤดูเช่นนี้ ราชสำนักแคว้นต้าเฉวียนมีพิธีการสำคัญคือการสักการะเทพเจ้าตามความเชื่อของเหล่าบรรพบุรุษผู้ล่วงลับเชื่อกันว่าทั้งผืนดิน ผืนป่า ผืนน้ำ และผืนฟ้า ล้วนมีองค์เทพคอยปกปักดูแล ในทุกปีจึงมีการจัดพิธีสักการะ เซ่นไหว้ ขอให้แคว้นต้าเฉวียนสุขสงบร่มเย็น ไร้ซึ่งภัยพิบัติต่างๆ ประชาชนอยู่ดีมีสุข“พี่ใหญ่ พี่เค่อไม่มาด้วยหรือ”“อะฮึ่ม! มะ ไม่มา” ไห่คุนกระแอมกลบเกลื่อน สายตาเฉียบคมวันนั้นเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าตัวมิอยากเปิดเผยตัวตน แม้จะสงสัยว่าเหตุใดซีซีจดจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็จำต้องเก็บความสงสัยนั่นไว้ มิเช่นนั้นอาจทำให้ความแตกได้“แย่จริง ช่วงนี้ข้าไปที่ค่ายก็ไม่ค่อยเจอเขา หรือเขาไปทำงานที่อื่นแล้ว”“ท่านน้าเปลี่ยนเป้าหมายแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของซิงอีดังแทรกบทสนทนาของผู้ใหญ่ ทำเอาคนทั้งกระโจมตกใจกับคำพูดคำจาของเด็กอายุเพียงสี่หนาว ดีที่เป็นกระโจมของสกุลหลิวเอง จึงมีเพียงครอบครัวของพี่ใหญ่ พี่รอง และหลิวฟ่านซีเท่านั้น“ซิงเอ๋อร์ พูดเช่นนั้นกับท่านน้ามิได้นะ”“เปลี่ยนเป้าหมาย คำนี้เป็นบิดาเจ้าท
“แปลกใจอันใดเจ้าคะ” เสียงหวานว่าพลางยื่นมือไปรับจอกสุราที่อีกฝ่ายยื่นมาให้“เจ้าปฏิบัติตัวไม่เหมือนคุณหนูในห้องหอ พยายามหนีห่างจากโจวเทียนฉี และที่สำคัญที่สุด เจ้าทำเหมือนว่าไม่รู้จักข้า เหมือนเราไม่เคยพบกันมาก่อน”“...อึก ทะ ท่านสงสัยมากมายนัก” ฟังคำพูดของบุรุษตรงหน้าแล้วได้แต่ยกสุราขึ้นดื่ม เฉตาไปมองทางอื่น แม้ดวงหน้างามจะเรียบเฉยแต่ในหัวคิดให้วุ่นว่าควรตอบกลับไปเช่นไรดี แกล้งบ้าไปเลยดีหรือไม่“ว่าอย่างไร หืม”“ก็...ข้าฝันเจ้าค่ะ”“ฝันหรือ”“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าฝันถึงท่านปู่ ในฝันท่านปู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาบอกกับข้าว่าทะเลาะกับท่านปู่ของโจวเทียนฉี เรื่องที่ท่านปู่โจวดันไปเกี้ยวเทพเซียนคนงามที่ท่านปู่ของข้าหมายตาไว้ เลยเข้าฝัน มาบอกให้ข้าเลิกยุ่งกับโจวเทียนฉี สัญญาหมั้นอะไรพวกนั้นยกเลิกให้หมด”“...” บุรุษตรงหน้าถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่านางจะยกเรื่องพวกนี้มาเป็นเหตุผลได้“จริงๆ นะพี่เค่อ หลังจากข้าตื่นมาก็บอกท่านพ่อให้เลิกพูดเรื่องที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับโจวเทียนฉี พอไม่ต้องหมั้น ข้าเลยใช้ชีวิตอย่างที่ข้าต้องการไง”“หึ พูดจาฉลาดนักนะ แล้วเรื่องที่เจ้าไม่รู้จักข้าเล่า จะว่าอย่างไร”“เอ่อ เร
เหตุการณ์เผชิญหน้ากันของสองบุรุษ แม้โจวเทียนฉีจะเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับจวิ้นอ๋อง แต่อีกฝ่ายก็ยกสายตาของชาวบ้านมาอ้าง เอาแต่พูดว่าหากจวิ้นอ๋องพาหลิวฟ่านซีไปด้วยอาจมีคำครหาว่าไม่ให้เกียรติชายาที่มาด้วยกันซึ่งจางกงเต๋อหัวถือเรื่องนี้เป็นที่สุด แคว้นต้าเฉวียนปกครองโดยราชวงศ์จางกง บัดนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดเรื่องการสืบทายาท แม้ว่าองค์ฮ่องเต้จางกงหลัวเค่อจะยังมีพระชนม์มายุเพียงยี่สิบแปดหนาว กระนั้นเหล่าขุนนางและราชวงศ์ก็ยังกังวล เนื่องด้วยองค์กษัตริย์ยังมิมีพระโอรสธิดาแม้เพียงองค์เดียวนั่นหมายความว่าพระเชษฐาอีกสองพระองค์ยังคงมีสิทธิ ในการครองราชสมบัติต่อจากองค์ฮ่องเต้อยู่ คนแรกคงหนีไม่พ้นจางกงเต๋อหัว จวิ้นอ๋องที่มีกำลังทหารและอำนาจอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่สองคือจางกงเหลียนป๋อ ที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป้ยเล่อ ซึ่งมีบทบาทในการช่วยบริหารงานราชการหลายส่วน แต่ดีที่เป้ยเล่อผู้นี้เป็นเพียงโอรสจากสนมขั้นผิน จึงไม่มีขุนนางหรือสกุลเดิมคอยสนับสนุนดังนั้นจึงไม่แปลกที่จวิ้นอ๋องจะเกรงสายตาชาวบ้าน เพราะลำพังชื่อเสียงในตอนนี้ก็เป็นคนโฉดอำมหิตอยู่แล้ว“เอ่อ โอ๊ยๆ อยู่ๆ ก็ปวดหนัก อยากเข







