เข้าสู่ระบบ“คนบ้าหรือจูหลิง ไล่ไปไกลๆ อย่าให้เข้าใกล้หลานข้า” ใบหน้างามชักสีหน้าไม่พอใจกับบุรุษไร้มารยาท ก่อนจะหันกลับมาสั่งชากับพนักงานของร้าน และเดินจูงมือหลานๆ ไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่
ถือว่าร้านนี้จัดแจงสถานที่ได้น่าสนใจไม่น้อย ถือว่าแปลกตาสำหรับฟ่านซีเป็นอย่างมาก เพราะต่างจากที่นางจินตนาการไว้เยอะ การตกแต่งร้านไม่ได้แหวกแนว ยังคงความเป็นยุคสมัยนี้เอาไว้ ซึ่งเป็นความฉลาดของเจ้าของร้าน ดึงดูดคนยุคใดก็ต้องศึกษาความนิยมของคนยุคนั้น
“ท่านน้า เหตุใดจึงเอ่ยว่าคนบ้าเล่า” เสียงเล็กของหลานสาวเรียกให้ฟ่านซีหันมาสนใจ
“ก็เพราะอยู่ๆ เขามาโวยวายใส่เรา ทั้งที่เรายังไม่ได้ทำสิ่งใด จะไม่ใช่คนบ้าได้อย่างไร...ดูนั่นสิ ยังจ้องมาที่เราไม่เลิก”
“ชาได้แล้วเจ้าค่ะ ว๊าย~” หลิวฟ่านซีที่กำลังจิกตามองคนบ้า รีบหันมามองตามเสียง จังหวะนั้นเห็นเสี่ยวเอ้อของร้านกำลังจะสะดุดล้ม
ดูจากทิศทางแล้ว คาดว่าอาเฟยของนางต้องถูกชาร้อนหกใส่เป็นแน่ ด้วยสัญชาตญาณ แขนเรียวจึงวาดไปปัดถาดชาก่อนที่มันจะถึงตัวหลานชาย
เพล้ง! เสียงข้าวของแตกกระจายเรียกให้ทุกคนในร้านหันมาสนใจ ขนาดเจ้าของร้านที่อยู่ด้านหลังยังวิ่งออกมาดู
“เกิดสิ่งใดขึ้น-” เสียงหวานของสตรีหน้าตาจิ้มลิ้มเงียบหายไป เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับโต๊ะของหลิวฟ่านซี
“เถียนลี่มี่” หลิวฟ่านซีพึมพำออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่จนรู้สึกถึงความเจ็บปวดไร้ที่มา จนเจ้าตัวต้องยกมือทุบอกสองสามที ก่อนที่ความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นจะเลือนหายไป
“ข้าคิดไว้แล้วไม่มีผิด! เจ้าตั้งใจจะมาสร้างความวุ่นวายใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ! ไอ้บ้านี่อีกแล้ว ไม่เห็นหรือว่าคนของที่นี่จะทำชาหกใส่หลานข้า หากข้าไม่ปัดป้องป่านนี้หลายชายข้าเป็นแผลพุพองทั้งตัวไปแล้ว!...จูหลิง ไอ้บ้านี่เป็นใคร” ฟ่านซีขมวดคิ้ว ชายผู้นี้มีบทบาทมากเกินไปจนน่าสงสัย
“คะ คุณหนู นั่นก็คือคุณชายโจวอย่างไรเล่าเจ้าคะ เหตุใดคุณหนูถามข้าแปลกๆ”
“โจวเทียนฉีหรือ...ไม่ใช่มั้ง” หลิวฟ่านซีหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ นี่น่ะหรือพระเอกของเรื่อง ทำไมหน้าตาไม่โดดเด่นเหมือนที่นิยายบรรยายเอาไว้เลย ใบหน้าเฉกเช่นบุรุษทั่วไป เพียงแค่ได้แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีสะอาดสะอ้านก็เท่านั้น
“เรื่องเป็นเช่นที่คุณหนูหลิวว่าจริงหรือ” เสียงสตรีเจ้าของร้าน ดึงให้ฟ่านซีหลุดจากภวังค์
“มะ มิใช่นะเจ้าคะ ข้าเพียงเดินมา อยู่ๆ ก็ถูกผลัก”
“อ่าว~ พูดงี้ก็สวยสิ ตั้งใจใส่ร้ายกันชัดๆ ข้าจะทำไปเพื่ออะไร”
“หึ ก็เพราะต้องการสร้างความวุ่นวายอย่างไรเล่า ขนาดมีข้าอยู่ด้วยเจ้ายังกล้า สตรีเช่นนี้หรือที่ท่านปู่อยากได้เป็นหลานสะใภ้ เมื่อก่อนเจ้าเป็นเด็กดี ว่าง่าย เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“...ไอ้บ้านี่” ฟ่านซีเลือดขึ้นหน้า หากว่านางทำจริง มีหรือจะไม่กล้ายอมรับตามตรง แต่นี่นางไม่ได้ทำเลยสักนิด! เรื่องอะไรต้องยอมรับผิด
“เรียกคนมาลากตัวออกไปเถิด ปล่อยให้อยู่ในร้านต่อไปคงสร้างเรื่องอีกแน่” โจวเทียนฉีจ้องหน้าว่าที่คู่หมั้นเขม็ง
“ไม่ต้องไล่ ข้าไปแน่! แต่ก่อนจะไปขอสักหน่อยเถอะ เจ้า! ตัวเองสะดุดล้มเกือบทำหลานข้าเจ็บตัว ยังโกหกว่ามิได้ทำ ลูกน้องเช่นนี้หากเจ้าเก็บไว้ก็โง่เต็มทนแล้วคุณหนูเถียน” ร่างบางสมส่วนลุกขึ้นชี้หน้าเสี่ยวเอ้อผู้นั้น ก่อนจะหรี่ตามองเจ้าของร้าน
“...”
“นอกเสียจากว่านางรับคำสั่งจากผู้อื่นให้จงใจใส่ร้ายข้า”
“เจ้าจะพูดสิ่งใด ระวังไว้เสียบ้าง”
“ปากข้า ข้าจะพูดอันใดมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหะ โจวเทียนฉี! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาสั่งข้า พูดฉอดๆ ว่าข้าไม่เหมาะสมกับสกุลเจ้า ไม่อยากแต่งข้าเข้าไป ถามข้าหรือยังว่าข้าอยากแต่งกับเจ้าหรือไม่” เสียงแหลมดังขึ้นไม่หยุด ยิ่งนึกถึงคำพูดดูแคลนเมื่อครู่ก็ยิ่งรู้สึกโมโหจนห้ามตัวเองไม่อยู่ ทำเอาคนถูกด่าทอถึงขั้นนิ่งอึ้งทำสิ่งใดไม่ถูก
“นะ นี่เจ้า-”
“แหม~ ตัวเองดีตายแหละ หน้าตาอย่างกับกบโดนรถทับ หน้าที่การงานก็แค่ขุนนางขั้นสาม พี่ชายข้าทั้งสองเจ้ายังเทียบไม่ได้เลย นี่ยังคิดว่าข้าอยากจะแต่งกับเจ้าอีกหรือ”
“!!?”
“เฟยหยา ซิงอี กลับ!” ไม่พูดพร่ำทำเพลง คุณหนูสกุลหลิวคว้าแขนหลานทั้งสอง อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับคำพูดของนางหนีออกจากที่ตรงนี้ทันที อยู่ให้โดนเตะก็โง่แล้ว~
เสียงซุบซิบของคนในร้าน ทำเอาเทียนฉีปั้นหน้าไม่ถูก เมื่อก่อนอย่าว่าแต่ด่าทอ แม้แต่ขัดใจเขา ฟ่านซีก็ยังไม่เคย แต่เหตุใดมาวันนี้จึงกล้าพูดเช่นนี้กับเขา
“เทียนฉี ท่านใจเย็นก่อนเถิด เข้าไปพักในห้องของข้าดีหรือไม่”
“มิเป็นไร ข้าจะตามไปดูหลิวฟ่านซีเสียหน่อย”
“เหตุใดต้องไปตามดูนางอีกเล่า” เสียงหวานติดหงุดหงิดว่าขึ้น
“ข้าว่านางต้องมีแผนการบางอย่างซ่อนไว้เป็นแน่ ข้าจะตามไปดูให้แน่ใจว่านางกลับเรือนจริงๆ ไม่ได้ไปสร้างเรื่องสร้างราวที่ใด” ว่าเพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็หันหลังกลับออกไปจากร้าน ทิ้งให้เถียงลี่มี่มองตามแผ่นหลังออกไปด้วยสายตาเรียบเฉยยากจะตีความหมายได้
คนถูกตกเป็นเป้าสายตามิได้สนใจเลยสักนิด ยามนี้ฟ่านซีเห็นเพียงเป้าที่อยู่เบื้องหน้า ปากเล็กเป่าลมออกจนสุดก่อนจะสุดลมหายใจเข้าเต็มปลอดและ...ปล่อยศรออกไปฟิ้ว~ปัก!“...” เสียงรอบข้างเงียบสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงเฮดังลั่น เมื่อศรธนูปักลงบนกลางเป้าอย่างน่าเหลือเชื่อ ผู้แข่งขันที่อยู่เบื้องหน้าของฟ่านซี บัดนี้แตกกระจายกันไปทั่วทุกทิศทางเพื่อล่าสัตว์ใหญ่มาใช้ในการสักการะเทพเจ้าคนทั้งลานพิธีต่างปรบมือให้กับความสามารถของคุณหนูสกุลหลิว น้อยคนนักที่จะสามารถยิงลงกลางเป้าได้ ยิ่งเป็นสตรียิ่งไม่มีผู้ใดเคยทำได้ ขนาดจวิ้นอ๋องของแคว้นยังยอมปรบมือให้ สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ดุร้าย ฉายชัดว่าสนใจในตัวหลิวฟ่านซีมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าการกระทำนั้นตกอยู่ในสายตาของจางกงเหลียนป๋อ เป้ยเล่อของแคว้น ที่มีฐานะเป็นน้องชายต่างมารดา สายตาของจางกงเหลียนป๋อเต็มไปด้วยความเวทนาต่อหลิวฟ่านซี ดูท่าชีวิตของคุณหนูหลิวคงหนีไม่พ้นตกไปเป็นอนุในจวนอ๋องเสียแล้ว“เฮ้อ~ นึกว่าจะถูกโบยซะแล้ว” ร่างเล็กทรุดลงบนแท่นยิงด้วยอาการแข้งขาอ่อนแรง พี่ชายทั้งสองจึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของน้องสาว แต่บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะวิ่งออกมาด้ว
หลิวฟ่านซีเดินวนไปเวียนมาอยู่หลังลานพิธี เพื่อรอเวลา ยอมรับว่านางค่อนข้างตื่นเต้นและกังวล จริงอยู่ว่านางเคยยืนอยู่บนการแข่งขันระดับโลก ตอนนั้นถ้าพลาดก็แค่เสียใจ แต่ครั้งนี้ถ้าพลาดอาจถึงขั้นเสียชีวิต ฮื้อ~ “มองเป้าให้ดี อย่าให้ว่อกแว่ก อย่าให้พลาดเด็ดขาด เจ้าเคยซ้อมอยู่ที่เรือนทุกเช้า”“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าก็ทำได้ดียิ่งนัก” ทั้งไห่คุนและจ้งเหลียนต่างก็มาให้กำลังใจน้องสาวอยู่หลังลานพิธี“มันจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า ถะ ถ้าข้ายิงพลาด ฝ่าบาทจะไม่สั่งตัดหัวข้าหรือ”“ไม่หรอก องครักษ์ที่เคยยิงพลาดก็เพียงแค่ถูกโบยและโดนปลด”“พี่รอง! ข้าใจเสียยิ่งกว่าเดิม” ฟ่านซีโอดครวญ นึกอยากตบปากตนเองนักที่พูดออกไปว่าช่วงนี้กำลังฝึกยิงธนู“เอาล่ะๆ ไม่ต้องกังวลไป ฝ่าบาทมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น ตอนนี้ประกาศผู้ชนะการบรรเลงดนตรีแล้ว เจ้าต้องออกไปแล้ว” เสียงประกาศว่าผู้ชนะในการแข่งบรรเลงดนตรีวันนี้เป็นเถียนลี่มี่ แต่ฟ่านซีไม่ได้สนใจเลยสักนิด ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นเต้นรัวเพราะกลัวว่าจะทำพลาดไม่ต่างกับเหล่าขุนนางและผู้คนในลานพิธี บัดนี้ไม่มีผู้ใดสนใจผู้ชนะในการแข่งขันบรรเลงดนตรีแม้แ
“ผู้ชนะมาแล้วสินะ” หลิวฟ่านซีพึมพำอย่างหน่ายๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรบทนางเอกก็ต้องเด่น ยังไงการแข่งขันครั้งนี้เถียนลี่มี่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ ขณะที่ฟังการเป่าตี้จื่อ (ขลุ่ยผิว) ของแม่นางเอก ก็อดที่จะหันไปมองโจวเทียนฉีไม่ได้ ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคืออีกฝ่ายมองนางอยู่ก่อนแล้วช่วงที่ผ่านมา แม้ฟ่านซีจะเอ่ยว่าไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับตัวละครหลักของเรื่อง แต่กลับมีหลายครั้งที่พบกันโดยบังเอิญ และโจวเทียนฉีก็ยังพูดกระทบนางเรื่องเดิมว่านางกำลังจะทำให้สกุลหลิวเดือดร้อน ครั้งหนึ่งเขายังเคยเดินตามมาส่งนางกับจูหลิงกลับเรือน นับวันชักทำตัวแปลกขึ้นทุกที“มองทำไม เดี๋ยวก็จิ้มตาบอด” หลิวฟ่านซีอดเบะปากรำคาญมิได้ สุดท้ายนางต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกมา เพราะอีกคนจ้องหน้านางไม่เลิก อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป ไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง“การแข่งขันสิ้นสุดลง-” ขุนนางหนุ่มกำลังจะประกาศสิ้นสุดการแข่งขันชะงักนิ่ง เมื่อไท่กงกง ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทเดินมากระซิบข้างหู“เอ่อ ฝ่าบาททรงตรัสถามถึงคุณหนูสกุลหลิว ปีก่อนคุณหนูหลิวเป็นผู้ชนะการบรรเลงผีผา ปีนี้จะเข้าร่วมการแข่งหรือไม่”“ห๊ะ!” หลิวฟ่านซีที่กำลังอ้าปากกินขนมถึงกับค้างเมื
เสียงบรรเลงดนตรีดังขับกล่อมผู้คนในลานพิธี ท่ามกลางต้นไม้สูงลิ่วบนเนินเขาเหยี่ยนเฟิง ในช่วงสารทฤดูเช่นนี้ ราชสำนักแคว้นต้าเฉวียนมีพิธีการสำคัญคือการสักการะเทพเจ้าตามความเชื่อของเหล่าบรรพบุรุษผู้ล่วงลับเชื่อกันว่าทั้งผืนดิน ผืนป่า ผืนน้ำ และผืนฟ้า ล้วนมีองค์เทพคอยปกปักดูแล ในทุกปีจึงมีการจัดพิธีสักการะ เซ่นไหว้ ขอให้แคว้นต้าเฉวียนสุขสงบร่มเย็น ไร้ซึ่งภัยพิบัติต่างๆ ประชาชนอยู่ดีมีสุข“พี่ใหญ่ พี่เค่อไม่มาด้วยหรือ”“อะฮึ่ม! มะ ไม่มา” ไห่คุนกระแอมกลบเกลื่อน สายตาเฉียบคมวันนั้นเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าตัวมิอยากเปิดเผยตัวตน แม้จะสงสัยว่าเหตุใดซีซีจดจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็จำต้องเก็บความสงสัยนั่นไว้ มิเช่นนั้นอาจทำให้ความแตกได้“แย่จริง ช่วงนี้ข้าไปที่ค่ายก็ไม่ค่อยเจอเขา หรือเขาไปทำงานที่อื่นแล้ว”“ท่านน้าเปลี่ยนเป้าหมายแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของซิงอีดังแทรกบทสนทนาของผู้ใหญ่ ทำเอาคนทั้งกระโจมตกใจกับคำพูดคำจาของเด็กอายุเพียงสี่หนาว ดีที่เป็นกระโจมของสกุลหลิวเอง จึงมีเพียงครอบครัวของพี่ใหญ่ พี่รอง และหลิวฟ่านซีเท่านั้น“ซิงเอ๋อร์ พูดเช่นนั้นกับท่านน้ามิได้นะ”“เปลี่ยนเป้าหมาย คำนี้เป็นบิดาเจ้าท
“แปลกใจอันใดเจ้าคะ” เสียงหวานว่าพลางยื่นมือไปรับจอกสุราที่อีกฝ่ายยื่นมาให้“เจ้าปฏิบัติตัวไม่เหมือนคุณหนูในห้องหอ พยายามหนีห่างจากโจวเทียนฉี และที่สำคัญที่สุด เจ้าทำเหมือนว่าไม่รู้จักข้า เหมือนเราไม่เคยพบกันมาก่อน”“...อึก ทะ ท่านสงสัยมากมายนัก” ฟังคำพูดของบุรุษตรงหน้าแล้วได้แต่ยกสุราขึ้นดื่ม เฉตาไปมองทางอื่น แม้ดวงหน้างามจะเรียบเฉยแต่ในหัวคิดให้วุ่นว่าควรตอบกลับไปเช่นไรดี แกล้งบ้าไปเลยดีหรือไม่“ว่าอย่างไร หืม”“ก็...ข้าฝันเจ้าค่ะ”“ฝันหรือ”“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าฝันถึงท่านปู่ ในฝันท่านปู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาบอกกับข้าว่าทะเลาะกับท่านปู่ของโจวเทียนฉี เรื่องที่ท่านปู่โจวดันไปเกี้ยวเทพเซียนคนงามที่ท่านปู่ของข้าหมายตาไว้ เลยเข้าฝัน มาบอกให้ข้าเลิกยุ่งกับโจวเทียนฉี สัญญาหมั้นอะไรพวกนั้นยกเลิกให้หมด”“...” บุรุษตรงหน้าถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่านางจะยกเรื่องพวกนี้มาเป็นเหตุผลได้“จริงๆ นะพี่เค่อ หลังจากข้าตื่นมาก็บอกท่านพ่อให้เลิกพูดเรื่องที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับโจวเทียนฉี พอไม่ต้องหมั้น ข้าเลยใช้ชีวิตอย่างที่ข้าต้องการไง”“หึ พูดจาฉลาดนักนะ แล้วเรื่องที่เจ้าไม่รู้จักข้าเล่า จะว่าอย่างไร”“เอ่อ เร
เหตุการณ์เผชิญหน้ากันของสองบุรุษ แม้โจวเทียนฉีจะเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับจวิ้นอ๋อง แต่อีกฝ่ายก็ยกสายตาของชาวบ้านมาอ้าง เอาแต่พูดว่าหากจวิ้นอ๋องพาหลิวฟ่านซีไปด้วยอาจมีคำครหาว่าไม่ให้เกียรติชายาที่มาด้วยกันซึ่งจางกงเต๋อหัวถือเรื่องนี้เป็นที่สุด แคว้นต้าเฉวียนปกครองโดยราชวงศ์จางกง บัดนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดเรื่องการสืบทายาท แม้ว่าองค์ฮ่องเต้จางกงหลัวเค่อจะยังมีพระชนม์มายุเพียงยี่สิบแปดหนาว กระนั้นเหล่าขุนนางและราชวงศ์ก็ยังกังวล เนื่องด้วยองค์กษัตริย์ยังมิมีพระโอรสธิดาแม้เพียงองค์เดียวนั่นหมายความว่าพระเชษฐาอีกสองพระองค์ยังคงมีสิทธิ ในการครองราชสมบัติต่อจากองค์ฮ่องเต้อยู่ คนแรกคงหนีไม่พ้นจางกงเต๋อหัว จวิ้นอ๋องที่มีกำลังทหารและอำนาจอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่สองคือจางกงเหลียนป๋อ ที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป้ยเล่อ ซึ่งมีบทบาทในการช่วยบริหารงานราชการหลายส่วน แต่ดีที่เป้ยเล่อผู้นี้เป็นเพียงโอรสจากสนมขั้นผิน จึงไม่มีขุนนางหรือสกุลเดิมคอยสนับสนุนดังนั้นจึงไม่แปลกที่จวิ้นอ๋องจะเกรงสายตาชาวบ้าน เพราะลำพังชื่อเสียงในตอนนี้ก็เป็นคนโฉดอำมหิตอยู่แล้ว“เอ่อ โอ๊ยๆ อยู่ๆ ก็ปวดหนัก อยากเข







