ในตำหนักส่วนพระองค์ของโอรสสวรรค์
เฟยเซียนกับอวี้หลางนั่งคุยถึงสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายอย่างออกรสชาติ โดยมีเสียงท่านแม่ทัพขัดขวางขึ้นเป็นระยะ
จ้าวเหมยฮวาลอบหาวด้วยความเบื่อหน่าย เพราะเป็นเพียงเด็กจึงไม่อาจร่วมวงสนทนา นางจึงทำได้แค่นั่งฟังเงียบๆ ไม่ช้าความอดทนก็หมดลง ร่างเล็กเริ่มขยับกายลุกส่งเสียงใสถาม
“เสด็จลุง ท่านแม่ ขอฮวาเอ๋อร์ออกไปเล่นข้างนอกได้ไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินจ้าวฟังคำบุตรีแล้วจึงหันไปมองหน้าผู้เป็นพี่ชายเพื่อขอความเห็น อวี้หลางขยับพระพักตร์ให้เป็นเชิงอนุญาต พระองค์ทรงเข้าใจดี ว่าเด็กวัยนี้คงจะเบื่อยิ่งนัก หากต้องมานั่งทนฟังผู้ใหญ่คุยกันเป็นเวลานานๆ
“ฮวาเอ๋อร์ ไปกับพ่อดีกว่าลูก เดี๋ยวพ่อไปเล่นขายของกับเจ้าเอง” หมิงหลงรีบเอ่ยบอกบุตรสาว ร่างสูงพลางกุลีกุจอลุกทันที
หลิวกงกงที่ยืนถวายการรับใช้มีอันต้องเงยหน้าสะดุ้ง ในหัวจินตนาการภาพแม่ทัพไร้พ่ายผู้มีใบหน้าถมึงทึงกำลังเล่นขายของด้วยการตักดินหั่นใบไม้มาสมมุติเป็นอาหาร ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นภาพท่านแม่ทัพกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับบุตรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
‘อา... สวรรค์ ต้าเฉินกำลังจะเกิดอาเพศใช่หรือไม่’
อวี้หลางรีบเอ่ยขัด “หมิงหลง เจ้าให้ฮวาเอ๋อร์ไปเล่นผู้เดียวก่อนเถิด พวกเราจะได้มาปรึกษาเรื่องงานกันต่อ”
เขาหวังจะอาศัยช่วงเวลานี้ปรึกษาปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง ที่ยามนี้มีแต่เรื่องให้วุ่นวายมิเว้นวัน ทว่าแม่ทัพคู่พระทัยกลับแยกเขี้ยวใส่เต็มใบหน้า ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธออกมาอย่างไร้เยื่อใย ไม่คิดสนใจสถานะที่สูงส่งกว่าของพระองค์แม้แต่น้อย
“เรื่องอะไร นี่มันวันหยุดข้านะ เหตุใดข้าต้องมานั่งปรึกษาอันใดกับเจ้าด้วย”
ฮ่องเต้แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย พระพักตร์งดงามที่ยามปกติมักมีรอยยิ้มประดับ เวลานี้เขียวคล้ำขึ้นหลายส่วนด้วยความโมโห
“หมิงหลง ไอ้คนสารเลว เจ้าพรากน้องข้าไปแล้ว ยังไม่เคารพข้าผู้เป็นถึงฮ่องเต้และพี่เขยอีก”
จ้าวเฟยเซียนมองสามีสลับมองพี่ชาย แววตามีร่องรอยความอ่อนใจ ก่อนเอ่ยตัดบททั้งคู่ขึ้น
“ท่านพี่ ให้นางกำนัลไปเล่นเป็นเพื่อนลูกฮวาเอ๋อร์ก่อน แล้วพวกเรามาคุยกันต่อจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”
แม่ทัพหันมาทางภรรยา เตรียมจะเอ่ยปากคัดค้าน ทว่าเมื่อสบสายตาดุๆ ก็พลันนิ่งเงียบ ถึงอย่างไรเสียเขาก็ยังไม่อยากถูกซ้อมในวังหลวงให้ทุกคนเอาไปกระจายข่าวหรอกนะ
“คุยก็คุยสิ ข้าว่ามันก็ดีนะที่เราจะมาปรึกษากัน จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เจ้าว่าจริงไหมอวี้หลาง”
ฮ่องเต้มองสหายรักควบตำแหน่งน้องเขย ผู้เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ในใจก็นึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายยิ่งนัก
‘ฮึ! อย่างเจ้าสมควรแล้ว ที่ต้องเจอยอดหญิงเช่นน้องข้า’
จ้าวเหมยฮวาคลี่ยิ้มใต้ผ้าคลุมสีขาว พลางส่งมือน้อยให้นางกำนัลสาวคนหนึ่งที่หลิวกงกงจัดให้มาคอยดูแลนาง ก่อนที่เด็กหญิงจะก้าวตามอีกฝ่ายหายไปด้านนอกตำหนักอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” เสียงใสเอ่ยถาม
นางกำนัลสาวก้มมองใบหน้าเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีขาว ก่อนจะสบตากับดวงตาคู่โตที่เป็นประกายระยิบระยับดุจผืนราตรีที่มีดวงดาวเต็มฟ้า ดูแล้วชวนให้นึกเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าน้อยมีนามว่า ‘จิงหยู’ เจ้าค่ะคุณหนู”
คำตอบที่ได้รับมีความอ่อนน้อมถ่อมตน สำเนียงอ่อนโยนไม่อวดเก่งข่มตนใส่ทั้งที่นางเป็นเด็ก จ้าวเหมยฮวารู้สึกถูกชะตาคนตรงหน้ายิ่งนัก ด้วยท่าทางการวางตัวที่อ่อนโยนเรียบร้อย ทำให้บรรยากาศโดยรอบตัวนางกำนัลผู้นี้แลดูอบอุ่นเป็นมิตรอย่างยิ่ง
ทำเอาเด็กหญิงนึกอยากจะเอ่ยปากขอตัวจิงหยูจากเสด็จลุงนัก เผื่อว่าถ้าให้อยู่คู่กันกับจิ้งเหยียนของนาง ทางนั้นอาจจะอ่อนโยนไม่เย็นชาแบบนี้ก็เป็นได้
“คุณหนูอยากเล่นอะไรเจ้าคะ เดี๋ยวจิงหยูจะหามาให้” นางกำนัลเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างเล็กเงียบไป
ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันส่ายเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อยากเล่น แค่เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามาผ่านอุทยาน เห็นมีดอกไม้เยอะมากเลยอยากจะไปดู”
จิงหยูอมยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ฟัง นี่ล่ะนะเด็กผู้หญิง จะอย่างไรก็ย่อมชมชอบของสวยๆ งามๆ ด้วยกันทั้งนั้น
“งั้นบ่าวจะพาคุณหนูไปชมทางด้านโน้นดีไหมเจ้าคะ ดอกไม้ในอุทยานหลวงยามนี้กำลังเบ่งบานงดงามนัก”
จ้าวเหมยฮวาหัวเราะน้อยๆ กับน้ำเสียงหลอกล่อของนางกำนัลสาว ที่ทำประหนึ่งว่านางนั้นเป็นเพียงทารกน้อย ก่อนจะผงกศีรษะให้เป็นเชิงตกลง
ไม่นานจิงหยูก็พาร่างเล็กมาหยุดที่ศาลากลางอุทยาน รอบด้านมีบุปผาหลากหลายชนิดชูช่ออวดโฉม โบตั๋นดอกใหญ่หลากสีเบ่งบานราวกับจะแข่งขันความงามกัน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือแปลงเหมยกุ้ยฮวาที่ออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณยามที่ลมพัดมา
“สวยจัง” เด็กหญิงเอ่ยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม ดวงตาพราวระยับนั้นจ้องมองสวนดอกไม้เบื้องหน้าไม่วางตา
“ชอบหรือไม่เจ้าคะ” นางกำนัลสาวถามก่อนจะแย้มยิ้มยินดี เมื่อเห็นแววตาพอใจฉายในดวงตาคู่งามของคุณหนูตัวน้อย
‘เฮ้อ… ช่างน่าเสียดายนัก นี่ถ้าคุณหนูจวนแม่ทัพไม่ได้ติดโรคร้ายจนหน้าตาเปลี่ยนไปดั่งข่าวลือแล้วละก็ นางต้องเติบโตมาเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงแน่ๆ’
จิงหยูครุ่นคิดในใจ เมื่อสายตาลอบมองไปยังใบหน้าของเด็กหญิงที่มีผ้าคลุมสีขาวปิดอยู่
“บังอาจนัก! ใครใช้ให้นางกำนัลเยี่ยงเจ้ามายืนเสนอหน้าชมดอกไม้ในอุทยานหลวงเช่นนี้ได้”
เสียงแหลมกราดเกี้ยวของสตรีสาวผู้มาใหม่ดังขึ้นด้านหลังจ้าวเหมยฮวากับนางกำนัลข้างกาย จิงหยูพลันสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าหญิงสาวยามนี้ซีดขาว ร่างบางสั่นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสายตาหันไปมองเห็นสตรีที่ก้าวเข้ามาในศาลา
“พระสนมเสียนเฟย!”
“บังอาจ! ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใคร แล้วทำไมยังไม่ถวายความเคารพ หรือว่าพระสนมเยี่ยงข้านั้นต่ำต้อยจนไม่อยู่ในสายตาของเจ้า”
จิงหยูได้ยินดังนั้นจึงได้สติ นางทิ้งร่างคุกเข่าก่อนจะหมอบลงโขกศีรษะกับพื้นรัวๆ เพื่อขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ พระสนมโปรดเมตตา”
จ้าวเหมยฮวามองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ เด็กหญิงพอจะเดาออกว่าสตรีหน้าตาสวยงาม ผู้มีเรือนร่างอรชรดุจกิ่งหลิว อยู่ภายใต้อาภรณ์สีแดงสดปักลวดลายเหมยกุ้ยฮวาหลากสีงดงามนั้น เป็นถึงพระสนมขั้นหนึ่งชั้นเอกแห่งฮ่องเต้ แต่นางหาได้สนใจจะทำความเคารพไม่ ยิ่งเห็นวิธีปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคนตรงหน้าด้วยแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
เด็กหญิงรู้ตัวเองดีว่าหาใช่คนใจดีมีเมตตา ทว่าเพราะมีปมในใจทำให้นางเกลียดคนประเภทนี้ยิ่งนัก ถือว่าตนสูงส่งข่มเหงรังแกคนที่ต่ำต้อยกว่า ช่างน่ารังเกียจนัก!
พระสนมว่านเสียนเฟยใช้สายตาเย็นเยียบมองนางกำนัลสาวที่โขกศีรษะขอความเมตตาอย่างเฉยเมย จริงๆ แล้วคนตรงหน้าก็หาได้ทำสิ่งใดผิดไม่ ทว่ายามนี้เป็นตัวของนางต่างหากที่มีโทสะเสียจนต้องมาระบายเอากับนางกำนัลตัวเล็กๆ แทน
‘ฮึ! เป็นเพราะนังสารเลวเฟยเซียนแท้ๆ ฝ่าบาทถึงได้ผิดนัดเสวยน้ำชากับข้า’
เมื่อคิดถึงองค์หญิงพระขนิษฐาของฮ่องเต้ที่แต่งออกไปกับชายที่นางหลงรัก ยิ่งทำให้ว่านเสียนเฟยโมโหหนักขึ้น ใบหน้าสวยยามนี้จึงยิ่งบึ้งตึงเป็นทวีคูณ
จิงหยูผู้น่าสงสาร ด้วยนางเป็นเพียงนางกำนัลมาใหม่ จึงยังไม่รู้กฎระเบียบในวังหลวงดีพอ ที่ได้เป็นนางกำนัลประจำตำหนักฮ่องเต้ก็เพราะหลิวกงกงขันทีคนสนิทชื่นชมนิสัยอ่อนน้อมและรู้จักประมาณตน จึงเลือกให้ไปช่วยงานเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่จิงหยูไม่เคยรู้เลยก็คือ พระสนมว่านเสียนเฟยนั้นรู้สึกขัดหูขัดตานางมานานแล้ว ที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็เพราะที่ผ่านมานางกำนัลผู้นี้มักอยู่ในสายพระเนตร หรือไม่ก็มีหลิวกงกงคอยดูแลตลอด ทำให้ว่านเสียนเฟยไม่สบโอกาสที่จะหาเรื่องลงโทษอีกฝ่าย ยามนี้เป็นโอกาสอันดี มีหรือที่นางจะยอมปล่อยให้มาเป็นหนามยอกอกในวันข้างหน้า คิดได้เช่นนั้น เท้าข้างหนึ่งจึงเหยียบขยี้บดแรงลงบนหลังมือนางกำนัลสาวอย่างไม่เบานัก
จิงหยูแม้รู้สึกเจ็บมากเพียงใด แต่รู้ดีแก่ใจว่ายิ่งขัดขืนอาจยิ่งโดนโทษหนักกว่านี้ นางจึงไม่คิดที่จะชักมือกลับ ชีวิตข้ารับใช้ในวังจะอยู่หรือตายนั้นสุดแท้แต่ผู้เป็นนายจะบงการ หากต้องตายนางก็หาได้กลัวไม่ จะกลัวก็แต่บิดาผู้ป่วยชราอยู่ที่บ้านนอก ใครเล่าจะส่งเสียเลี้ยงดูท่านเมื่อนางตายไป
‘ท่านพ่อ จิงหยูอกตัญญูนัก คงต้องตายก่อนไม่อาจแทนคุณท่านได้’
ว่านเสียนเฟยแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหวาดกลัวไม่กล้าตอบโต้หรือขัดขืน เท้านางก็ยิ่งเพิ่มแรงขยี้จนมือเรียวขาวครูดกับพื้น ผิวหนังเปิดถลอกเห็นเนื้อแดงๆ ที่ชุ่มโลหิต มือขาวนวลเนียนของผู้เป็นพระสนมฮ่องเต้คว้าจับไปที่ผมของอีกฝ่าย ก่อนจะกระชากให้แหงนหน้าขึ้นอย่างแรง แล้วเอ่ยน้ำเสียงต่ำคำรามในลำคอ
“เจ้าลบหลู่เกียรติข้าเช่นนี้ หากปล่อยเจ้าไปแล้วข้าจะยังมีหน้าไปมองหน้าใครได้อีกเล่า”
นางกำนัลสาวยามนี้มีน้ำตานองใบหน้า ร่างบอบบางสั่นสะท้านจนตัวโยน มือข้างที่ถูกเหยียบมีโลหิตไหลจนชุ่มไปถึงแขน ตัวนางหาได้คิดลบหลู่พระสนมไม่ แต่ชีวิตนางกำนัลเล็กๆ ไร้ค่านัก เจ้าเหนือหัวสั่งให้ตายก็ต้องตาย
“โปรดเมตตาด้วย หม่อมฉันหาได้คิดเช่นนั้นเพคะ ขอโปรดเมตตา...”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับผิวหน้านางกำนัลสาว จนใบหน้าขาวผ่องนั้นปรากฏรอยนิ้วมือแดงก่ำ โลหิตสีแดงรสเค็มปร่าไหลซึมมุมปากสีชมพู ก่อนตกสู่พื้นเป็นดวงๆ
“ป่าเถื่อน!” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกสายตาทุกคนในศาลาให้หันไปมองคนพูด
“จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต” เด็กสาวเจ้าของเสียงยังคงเอ่ยต่อช้าๆ ดวงตากลมโตฉายแววเย็นชาหลายส่วน
“อา... ข้านึกว่าคนเป็นพระสนมจะต้องงดงามเพียบพร้อมทั้งกายและใจทุกคน ไม่นึกว่าจะเอาสัตว์เดรัจฉานมาเป็นได้ด้วย มิน่าเล่ากิริยามารยาทถึงได้ทรามนัก… เห็นแล้วช่างไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย”
ภายในศาลาเกิดความเงียบ นางกำนัลผู้ติดตามว่านเสียนเฟยต่างมองมาที่ร่างเล็กซึ่งไม่มีผู้ใดสนใจเมื่อครู่ จวบจนกระทั่งร่างเล็กได้เปิดปากพูดออกมา
‘อา... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร นางคงต้องตายแน่ๆ’
ว่านเสียนเฟยผละจากร่างจิงหยูสืบเท้ามายืนเบื้องหน้าร่างเล็กก่อนจะกรีดเสียงแหลมถามขึ้น “นังเด็กสารเลว เจ้าเป็นใคร? บังอาจมาด่าข้า”
เจ้าของร่างน้อยแสร้งเอียงคอ ก่อนถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดุจจะยั่วเย้า “ใครด่าท่านหรือ”
“สามหาว นังเด็กทารกปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้าหรือ”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของนางไม่ได้ทำให้เด็กหญิงตรงหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเล็กๆ นั่นยังคงเลิกคิ้วสูงใส่ประดุจจะยียวน
“ข้าด่าพระสนมที่กระทำตนป่าเถื่อน หยาบช้า ไร้เหตุผล ทำร้ายผู้อื่นเยี่ยงสัตว์เดียรฉาน ท่านกระทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
ประโยคคมนั้นดุจมีด พระสนมว่านเสียนเฟยได้ฟังพลันนึกสะอึกในใจ นางเป็นถึงเสียนเฟย พระสนมแต่งตั้ง ในวังหลวงเป็นรองแค่ไม่กี่คน ไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าหักหน้า แล้วนี่อะไรกัน แค่ทารกน้อยวัยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันผู้นี้กินดีหมีใจเสือที่ใดมา ถึงได้กล้าท้าทายอำนาจนางเยี่ยงนี้
“ปากคอเราะรายนักนะนังเด็กสารเลว ดี... ในเมื่อเจ้ากล้ามาท้าทายข้าก็จะสนองให้ เด็กๆ ตัดลิ้นนังเด็กนรกนี่เสีย แล้วจงนำมันไปโบยให้ตาย”
อวี้เจี้ยนองค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน ในยามนี้ยืนมองรถม้าที่บรรทุกอัดแน่นด้วยขนมทั้งหลายแหล่ที่ตนสั่งให้นำไปกำนัลแด่สาวเจ้าตัวน้อยเวลานี้มีถึงสี่คัน ซึ่งนำมาจอดเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ลานหน้าตำหนักส่วนพระองค์ ด้วยสายตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองโม่ฉีองครักษ์คนสนิท ที่นั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพลางเอ่ยปากถาม“เกิดอะไรขึ้น?”โม่ฉีเงยหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย ในดวงตามีร่องรอยของความเสียใจไม่น้อย “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย เป็นเพราะกระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ แม้แต่จะก้าวเข้าประตูจวนไร้พ่ายก็ไม่อาจทำได้“เพราะเหตุใดกัน”โม่ฉีมีดวงตาแดงก่ำยามคิดถึงตอนที่เขานำรถม้าที่บรรทุกขนมไปเต็มคันรถวิ่งเข้าไปจอดหน้าจวนตระกูลจ้าว“ข้าคือองครักษ์ขององค์ชายสาม นามว่าโม่ฉี ได้รับคำสั่งจากองค์ชายของข้าให้นำขนมเหล่านี้มามอบให้แก่คุณหนูจ้าว”สิ้นคำพูดแสดงความจำนง บ่าวคนรับใช้ที่ยืนอยู่หลังประตูก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม“ขอท่านองครักษ์ได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบเข้าไปรายงานนายท่านก่อนขอรับ”พูดจบบ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งหายเข้าไปในจวนชั่วครู่หนึ่ง ก่อน
ยามค่ำคืน ณ ตำหนักขององค์ชายสามอวี้เจี้ยนร่างสูงที่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มเวลานี้กำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าเป็นโต๊ะไม้เนื้อเงางาม ข้างบนมีพิณสีดำตัวใหญ่วางอยู่ นิ้วเรียวยาวของเด็กหนุ่มกรีดกรายไปตามสายอย่างชำนิชำนาญเสียงเพลงแผ่วหวานดังกังวานหนักแน่น แต่บางครั้งก็ทอดเสียงลงคล้ายจะขาดใจ สลับกับรวยระรินคล้ายเสียงสะอื้นไห้ในบางครา จนองครักษ์ประจำตำหนักรู้สึกราวกับตัวเองจะขาดใจตามเสียงนั้นไปด้วย ก่อนเจ้าตัวจะหยุดดีดนิ่งไปเสียดื้อๆ“องค์ชาย ทรงมีอะไรในใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” โม่ฉีเอ่ยถามเมื่อเห็นองค์ชายหยุดเล่นเพลงกลางคัน เอาแต่ทอดถอนใจดังเฮือกๆ“โม่ฉี เจ้าเคยรู้สึกแบบ... ใจเต้นแรง อึดอัดคล้ายหายใจไม่ออกยามอยู่ใกล้ แต่อยากเห็นหน้าอยากฟังเสียงอยากพูดคุยด้วยเมื่อห่างไกล อะไรแบบนี้บ้างหรือไม่”“เคยสิพ่ะย่ะค่ะ ถ้าให้กระหม่อมเดา คนผู้นั้นคงเป็นเด็กผู้หญิงด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อวี้เจี้ยนได้ยินดังนั้นจึงละความสนใจจากพิณตรงหน้า หันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทอย่างแปลกใจ“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เด็กหนุ่มหันใบหน้าหล่อเหลาที่ออกไปทางหวานดุจสตรีขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า เอ่ยถ้อยคำต่อด้วยน
คุณหนูจ้าวหายตัวไปไม่ทันถึงครึ่งวันท่านแม่ทัพถึงขนาดนำกองกำลังในสังกัดเข้าค้นวังหลวง‘อา... คุณหนูจ้าวผู้นี้ นางช่างเป็นตัวเรียกความวุ่นวายจริงๆ’นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิด หลังจากที่ถูกท่านแม่ทัพบังคับให้ช่วยกันตามหาบุตรสาวสุดรัก ทว่าก็ได้แค่คิดอยู่ในใจ เพราะความจริงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งแน่นอนวันนี้ครอบครัวท่านแม่ทัพตัดสินใจออกจากวังกลับสู่จวนตนเอง เพราะทิ้งจวนให้เหล่าคนรับใช้ดูแลกันเอง นานไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อฮูหยินจ้าวสามารถขยับตัวเดินเหินได้แล้ว ทุกคนจึงตกลงใจกันว่าจะกลับสกุลจ้าว โดยทิ้งให้อวี้หลางฮ่องเต้ที่มีพระพักตร์บูดบึ้งไว้เบื้องหลัง เพราะไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้น้องสาวกับหลานสาวพักอยู่ในวังหลวงต่อไปได้อีก“หลิวกงกง เราคิดอะไรออกแล้ว” ฮ่องเต้รับสั่งกับขันทีคนสนิทสุรเสียงยินดี ก่อนจะสะดุ้งพระวรกายด้วยความเจ็บที่ก้นเมื่อขยับองค์อา... น้องสาวที่ถูกแทงนั้น ขณะนี้สามารถเดินเหินเป็นปกติได้แล้ว แต่พระองค์ที่ถูกกระบองแม่ทัพผู้เป็นน้องเขยฟาดก้นนี่สิ ยามนี้แม้แต่จะลุกหรือนั่งก็ยังไม่อาจทำได้เลย“คิดอะไรออกหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นจากก้นผู้เป็นนายพร้อมกับเอ่ยถามอวี้หลาง
‘อา... องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแห่งแคว้นต้าเฉินช่างแปลกประหลาดนัก หากมิใช่เสด็จลุงแล้ว คงหาคนที่เลี้ยงลูกให้กินง่ายอยู่ง่ายเช่นนี้ได้ยากยิ่งเด็กหญิงเฝ้าคิดบอกกับตัวเองแบบนั้นขณะเดินผละออกมา ปล่อยให้องค์ชายห้าผู้ติดดินก้มหน้าก้นโด่งคุ้ยหาไส้เดือนกินต่อไปตามอัธยาศัยร่างเล็กเดินลัดเลาะมาตามแนวร่มไม้ จนป่านนี้นางยังหาทางกลับไม่เจอ หูได้ยินเสียงฝีเท้าอีกหนึ่งเสียงที่ลอบตามมาพักใหญ่แล้วดวงตากลมโตลอบมองคนที่แอบตามมา ก็พบว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวัยไม่น่าจะห่างจากนางมากนัก เจ้าตัวเดินมากับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งจ้าวเหมยฮวาแกล้งทอดฝีเท้าเดินช้าบ้างเร็วบ้าง บางครั้งก็แกล้งหยุดเดินเพื่อดูทีท่า ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตามติดไม่ลดละ‘ช่างเถอะ เด็กตัวแค่นี้คงไม่ใช่พวกสโตกเกอร์โรคจิต แบบในชาติก่อนที่นางเคยอยู่หรอกน่า’ อวี้เยี่ยนมองร่างเล็กในชุดขาวแล้วลอบกระหยิ่มนึกยิ้มลำพองใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่รู้ตัวว่าเขาแอบติดตามนางอยู่อันที่จริงองค์ชายแปดผู้นี้ลอบเดินตามอีกฝ่ายมาตั้งแต่เห็นนางเดินออกจากลานฝึกยุทธ์ของพี่ห้าแล้ว พระมารดาเคยบอกไว้ว่า ถ้าอยากเอาชนะพี่สามกับพี่ห้า อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งกับบุตรสาวแ
‘องค์ชายสามผู้นี้ช่างเป็นคนพอเพียงนัก อยากกินปลาก็หาจับเอง เสด็จลุงทรงเลี้ยงลูกได้ติดดินจริงๆ’ จ้าวเหมยฮวาคิดสรุปกับตนเองก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้อวี้เจี้ยนผู้เป็นองค์ชายว่ายน้ำดำผุดดำว่ายหาปลาคนเดียวต่อไปตามอัธยาศัยจ้าวเหมยฮวาเดินจากมาแบบงงๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้สตินึกขึ้นได้ว่า...‘อา... จริงด้วย ลืมไปเลย ข้าไม่ได้รอจิงหยู’ ใช่แล้วนางเดินจากมาโดยไม่ได้รอจิงหยู และที่สำคัญตอนนี้นางหลงทางเป็นที่แน่นอนแล้ว เด็กหญิงหันไปมองหาทางเก่าที่เดินจากมา ก็พบว่าเส้นทางทุกด้านดันเหมือนกันไปหมดเลย‘ลองไปข้างหน้าดูก่อนละกัน’ บอกตัวเองในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินลัดเลาะไปตามแนวรั้วต้นไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงามมองแล้วให้เพลินตายิ่ง ร่างเล็กยังคงเดินชมนกชมไม้อย่างสบายใจ หากใครได้พบเห็นคงมองดูคล้ายกำลังเดินเล่นเสียมากกว่า ก็นะ นางยามนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะหลงทางบ้างก็คงจะไม่แปลกอันใดคิดเองเออเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ หูพลันแว่วได้ยินเสียงดังแหวกอากาศ ฟังเหมือนมีคนกำลังฝึกยุทธ์ลอยมาจากทางด้านหน้า ร่างเล็กเดินเลาะแนวไม้เพื่อตามหาเสียงดังกล่าว จนมาถึงลานสนามหญ้าเล็กๆ ไม่กว้างนัก ดวงตาคู่ดำเป็นประ
ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเฉินยามนี้เกิดข่าวลือหนาหู ทุกคนต่างรู้ดีว่าต้นเรื่องนั้นคือบุตรีแม่ทัพไร้พ่ายเสียงเล่าลือต่อๆ กันไปว่า คุณหนูตระกูลจ้าวนั้นไม่ใช่แค่เพียงอัปลักษณ์ แต่นางยังเป็นตัวนำความโชคร้ายเข้ามาหาผู้อื่นอีก ดูแค่ก้าวเท้าย่างเข้าวังหลวงเพียงวันเดียวยังนำพาปีศาจร้ายเข้ามาอาละวาดในวังเสียจนพังพินาศไปตามๆ กัน ขนาดฮ่องเต้ผู้เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์ยังถึงกับประชวร ออกว่าราชกิจไม่ได้เป็นเดือนๆอา... สวรรค์ คุณหนูสกุลจ้าวนางช่างน่ากลัวเหลือเกิน“คุณหนูเจ้าคะ จะไปหาฮูหยินเลยไหมเจ้าคะ” จิงหยูเอ่ยถามน้ำเสียงสดใส ดวงตามองทรงผมที่นางขมวดไว้ครึ่งบนติดดอกไม้น่ารัก ปล่อยเรือนผมครึ่งล่างให้ยาวสยายจ้าวเหมยฮวาอยู่ในชุดขาวปักชายด้วยลวดลายบุปผาสีชมพูสดใสที่สาวใช้นำมาบรรจงสวมให้เจ้านาย คุณหนูของนางช่างงามเหลือเกิน จิงหยูลอบชมเจ้านายตัวน้อยในใจ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าสีขาวข้างมือมาคลุมผูกไว้บนใบหน้าน่ารัก“ทำไมคุณหนูต้องปิดหน้าด้วยล่ะเจ้าคะ เพราะคุณหนูปิดหน้าแบบนี้ พวกปากมากทั้งหลายเหล่านั้นถึงกล่าวหาว่าท่านอัปลักษณ์ได้” จ้าวเหมยฮวาหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสาวใช้พูดด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งยังมีท่าทีเป