“นางไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
เทียนเหวินกลับมายังอุโมงค์หลังน้ำตกอีกครั้งในยามบ่ายแก่
หลังจากเหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็ออกตามหาผู้บุกรุกไปทุกที่ แม้กระทั่งลงเขาก็ไม่พบร่องรอย ทั้งยังไปจนถึงทางขึ้นสำนักฝั่งใต้ หากก็ไม่อาจเข้าไปได้เพราะไม่ได้รับอนุญาต และได้รับการยืนยันจากผู้เฝ้าประตูว่าไม่มีผู้ใดผ่านเส้นทางนั้น
อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งเจ้าสำนักและอาจารย์ในสำนักเรียกศิษย์ทั้งหมดรวมตัว หลังศิษย์พี่อาวุโสตรวจตราหอตำราและได้รู้ว่าคัมภีร์จันทราหายไป
‘เราทุกคนต่างรู้ดีว่าคัมภีร์จันทราสำคัญเพียงใด ผู้ที่เข้ามาขโมยคัมภีร์นี้ไม่ประสงค์ดีต่อหกพิภพเป็นแน่ อาจารย์จำต้องทูลต่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ ระหว่างนี้อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทุกคนสอดส่องภายในสำนักทุกที่ หากไม่มีผู้ใดลงเขาจริง หมายความว่าคนผู้นั้นยังหลบซ่อนอยู่ในสำนัก’
อาจารย์ใหญ่สั่งก่อนออกเดินทางไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า
นั่นทำให้เทียนเหวินนึกถึงสตรีที่ตนช่วยไว้ขึ้นมา ความเป็นไปได้ว่านางคือผู้บุกรุกนั้นน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย จะว่าไปแล้วการที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฝั่งเหนือ ทั้งยังเข้ามาที่นี่โดยพลการ ก็เท่ากับนางคือผู้บุกรุกแล้ว
จะอย่างไรเขาก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าในตัวของนางไม่มีคัมภีร์จันทรา เพื่อจะได้มั่นใจว่าตนไม่ได้ช่วยคนผิด แต่มาถึงอีกฝ่ายกลับไม่อยู่แล้ว เป็นเช่นนี้น่าสงสัยยิ่งนัก
หรือนางคือผู้ที่ขโมยคัมภีร์จันทรา?
สามวันผ่านไปยังไม่อาจค้นหาตัวผู้ขโมยคัมภีร์จันทราได้ สวรรค์ได้ส่งขุนพลกับกำลังทหารลงมาพร้อมอาจารย์ปู่ เพื่อค้นหาผู้บุกรุก ทั้งยังได้รับอนุญาตให้ตรวจค้นไปถึงสำนักฝั่งใต้อีกด้วย
“ท่านชายน้อย”
“ห้าวอี้”
เทียนเหวินไม่คิดว่าขุนพลที่มาจะเป็นพี่เลี้ยงซึ่งคอยดูแลตนนับแต่วัยเยาว์
“ท่านก้าวหน้ามากทีเดียว”
ทั้งสองพูดคุยกันโดยที่ผู้อื่นต่างเข้าใจว่าทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบธรรมดา ด้วยเทียนเหวินคือทายาทสวรรค์ ขุนพลสวรรค์ย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
“เพราะท่านชายน้อย ห้าวอี้จึงมีความดีความชอบ”
อีกฝ่ายถ่อมตน แต่ถึงอย่างนั้นก็คงมีส่วน ในเมื่อเป็นถึงพี่เลี้ยงของทายาทสวรรค์มีหรือที่ฝีมือจะธรรมดา ห้าวอี้ได้รับเลือกจากการประลองภายในของทหารสวรรค์ทั้งหมด ในตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นหัวหน้านายกองธงหงขาว ภายใต้สังกัดของเทพสงคราม บิดาของเทียนเหวินผู้เป็นราชบุตรเขยจักรพรรดิสวรรค์
เมื่อเทียนเหวินต้องมาร่ำเรียนวิชาที่สำนักศึกษาซ่างเซียน ห้าวอี้ที่มีความชอบรับใช้ใกล้ชิดทายาทสวรรค์ย่อมได้รับบำเหน็จ รวมถึงได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น
“อย่าเรียกเช่นนี้เลย ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
เทียนเหวินอดตะขิดตะขวงใจนิดๆ ไม่ได้ จะเรียกว่าอายอยู่บ้างก็ถูก เมื่อห้าวอี้ทำเหมือนตนยังเป็นเด็ก เพราะที่นี่เขาอยู่ในฐานะศิษย์พี่ของศิษย์หลายคน
“เห็นจะยากสักหน่อย ในเมื่อท่านยังเป็นท่านชายน้อยของข้า กับเหล่าเซียนบนสวรรค์”
อีกฝ่ายบอกหน้าตาเฉยทำเอาเทียนเหวินถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
นอกจากค้นหาทุกพื้นที่บนเขาของสำนักศึกษา ทหารสวรรค์ยังตรวจตราภายในหอนอนของบรรดาศิษย์ทั้งหมด ก่อนจะเตรียมตัวลงเขาไปยังสำนักฝั่งใต้ ทว่าในตอนนั้นมีทหารวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“มีรายงาน”
บรรดาทหารต่างหลีกทางให้ผู้มาใหม่ กระทั่งอีกฝ่ายมายืนตรงหน้าขุนพลห้าวอี้
“ว่ามา”
“พบผู้น่าสงสัยที่น้ำตกในป่าลึกขอรับ”
“คนน่าสงสัยอย่างนั้นหรือ นำทาง”
อีกฝ่ายรีบนำไปทันที ห้าวอี้กับทหารคนอื่นรีบตามไป
เทียนเหวินเห็นว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ควรเรียนให้อาจารย์ทราบ จึงไปบอกกับอาจารย์ของตนฝูหมิง อาจารย์จึงเรียนให้อาจารย์ใหญ่รับรู้ เมื่อออกมาตรงลานหน้าสำนักก็เห็นว่าทหารจับตัวคนผู้หนึ่งมา ทว่ารูปร่างดูเล็กจนแทบมองไม่เห็นเพราะอยู่ท่ามกลางทหารกับศิษย์ของสำนักซ่างเซียนที่เป็นชายตัวสูงใหญ่
แต่แล้วในที่สุดก็ปรากฏร่างเล็กก้าวโซเซอ่อนแรง ทั้งท่าทางหวาดกลัวไม่กล้าสบตาผู้ใด และลำตัวยังถูกพันธนาการด้วยเชือกเวท
เทียนเหวินที่ก้าวตามอาจารย์ฝูหมิงกับอาจารย์ใหญ่ออกมาถึงกับชะงักเมื่อเห็นเจ้าของร่างบอบบาง ขณะเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้างุดตัวสั่นเทา
“นี่หรือคือผู้บุกรุก”
อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งถามเมื่อเห็นผู้ที่ถูกทหารสวรรค์จับตัวมา
“นางไม่ใช่ศิษย์ของพวกท่าน ย่อมเป็นผู้บุกรุก”
ห้าวอี้เอ่ยตามตรง เทียนเหวินกำลังจะเอ่ยแย้ง ผู้เป็นขุนพลสวรรค์ก็พูดต่อ
“แต่ยังไม่อาจบอกได้ว่านางคือผู้ขโมยคัมภีร์จันทรา”
มือหนากำแน่น แม้ยืนเบื้องหลังอาจารย์ทั้งสองหากสายตาสังเกตคนตัวเล็กจนถ้วนทั่ว นึกโล่งใจที่เหมือนนางจะไม่ได้ถูกทำร้ายให้บาดเจ็บแต่อย่างใด
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่สำนักซ่างเซียนเหนือด้วยจุดประสงค์ใด”
อาจารย์ใหญ่ถามหญิงสาว
บรรดาศิษย์สำนักซ่างเซียนเหนือมารวมตัวยังลานกว้างหน้าสำนักด้วยความสนใจ ต่างก็คิดว่าจับผู้ขโมยคัมภีร์ได้แล้ว
“อาจารย์ปู่ถาม ตอบสิ”
หลี่ไห่ฉินสั่งเสียงเข้ม เขาเป็นคนแรกที่รีบตรงไปยังน้ำตกเมื่อได้ยินว่าทหารสวรรค์จับกุมตัวคนน่าสงสัยได้
“ข้า...ข้าชื่อเสี่ยวเหลียน”
‘เสี่ยวเหลียน ดอกบัว?’
เทียนเหวินคิดในใจ การที่ตนได้กลิ่นดอกบัวจากกายอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะกำเนิดแท้จริงของนางคือดอกบัว
อาจารย์ใหญ่เดินลงบันไดหน้าสำนักใหญ่ไปหยุดพินิจสตรีท่าทางบอบบางไร้พิษสงครู่หนึ่ง ก่อนยื่นฝ่ามือไปใกล้หน้าผากของนาง ใช้พลังเบิกเนตรแล้วก็ปรากฏรูปดอกบัวกลางหน้าผากหญิงสาวแวบหนึ่ง
“ภูตดอกบัว”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำเสียงเบาแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง
คิ้วเข้มของเทียนเหวินขมวดนิดๆ นึกแปลกใจที่อาจารย์ใหญ่ต้องตรวจสอบดวงจิตวิญญาณว่านางพูดจริงหรือไม่
‘อาจารย์ปู่ไม่ได้กลิ่นดอกบัวจากนางหรือ?’
อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งนึกสงสัยนัก แม้จะเป็นเพียงภูต บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเซียน ทว่าตนกลับรับรู้ได้ถึงพลังเทพเซียนสูงส่งไหลเวียนอยู่ในกายของนาง ทำให้ชวนสงสัยจึงถามหยั่งเชิง
“เจ้าเป็นเพียงเซียนน้อย แต่กลับขึ้นมาถึงเขาผิงเหิง เพราะต้องการคัมภีร์จันทราอย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้ต้องการคัมภีร์จันทราอะไรนั่น พวกท่านถามข้ากี่ครั้ง ข้าก็ตอบเช่นเดิม ข้าไม่รู้จักคัมภีร์นั่นด้วยซ้ำ”
หญิงสาวเงยหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้าเข้ามาสำนักซ่างเซียนแห่งนี้ด้วยเหตุใด”
คนถูกจับได้เม้มริมฝีปาก หากสุดท้ายก็ตอบ
“ข้ามาตามหาของของข้า”
“โกหก ของของเจ้าอย่างนั้นหรือ ภูตต่ำต้อยเช่นเจ้าจะมีสิ่งใดตกหล่นอยู่ในสำนักซ่างเซียนได้ อาจารย์ปู่ นางคือผู้บุกรุกในคืนนั้นเป็นแน่”
หลี่ไห่ฉินแทรกขึ้นเสียงดังพร้อมก้าวมาใกล้หญิงสาวกับอาจารย์ปู่มากขึ้น
“ด้วยพลังปราณน้อยนิดของนาง ไม่มีทางมายังสำนักซ่างเซียนเพียงลำพังได้แน่ ต้องมีใครบางคนพานางมาที่นี่ และคนผู้นั้นก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด ขโมยคัมภีร์จันทรา”
คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ทำให้บรรดาศิษย์ในสำนักมองหน้ากันไปมา
“มีเพียงคนภายในสำนักเท่านั้นที่รู้ว่าคัมภีร์จันทราถูกเก็บไว้ที่ใด และมีไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปในสถานที่นั้นได้ คนผู้นั้นต้องขโมยคัมภีร์ให้นางเอาไปซ่อนที่อื่นเป็นแน่ หากยังอยู่ในสำนักนี้พวกเราคงหาเจอแล้ว วันนี้ที่นางแอบกลับมาอาจเพื่อนัดแนะบอกสถานที่ซ่อน”
หลายเสียงเริ่มดังเซ็งแซ่ คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ดูมีน้ำหนัก มีความเป็นไปได้ไม่น้อยทีเดียว ทั้งสีหน้าหลี่ไห่ฉินก็ดูมั่นอกมั่นใจ
“และคนผู้นั้นก็คือ เทียนเหวิน เจ้านั่นเอง”
=====
อ้าว? อยู่ๆ ศิษย์พี่ก็โยนความผิดมาให้เทียนเหวินหน้าตาเฉย ^^"
ต่างฝ่ายต่างแตะต้องกันและกัน มือกระด้างบีบนวดผิวบางในทุกสัดส่วน มือนุ่มก็เคล้นไปตามกล้ามแน่น ทั้งแขนกำยำ แผงอกกว้าง หน้าท้องแกร่ง รวมถึงต้นขาชายหนุ่มที่แข็งแรงชวนให้ต้องกลืนน้ำลาย ยิ่งยามที่มืออุ่นทาบทับแนบดอกไม้แสนงาม หญิงสาวก็เกาะกุมตัวตนแกร่งร้อนไว้ในมือตนเช่นกันสองหนุ่มสาวแบ่งปันห้วงอารมณ์วาบหวาม เร่งเร้านำพาให้ร่างกายทั้งคู่ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้น ตาสบตา ขณะที่ต่างก็หอบหนัก เอินเอินรู้สึกได้ว่ามือตนแทบไหม้ทีเดียว อึดใจต่อมาร่างสูงใหญ่จึงขยับมาชิดบดเบียดเรือนกายเสียดสีเร้าใจเปลือกตาบางปิดลงพร้อมครางเสียงหวานข้างใบหูชายหนุ่ม สองแขนเรียวกอดร่างหนา กางกรงเล็บเล็กเกาะเกี่ยวข่วนบางเบาบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ทั้งฟันเล็กยังกัดใบหูชายหนุ่มยั่วเย้า“อา คนดีของข้า เจ้าทำให้ข้าร้อนยิ่งกว่าร้อนแล้วในตอนนี้”เทียนเหวินเสียวสยิวไปทั้งกาย เพราะร่างที่แนบชนิดทั้งหอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม ทั้งเจ้าตัวยังรู้ดีว่าต้องปลุกเร้าตนเช่นไร นานวันที่ได้ร่วมรัก เอินเอินสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขากระตุ้นนาง นางก็กระตุ้นกลับไม่แพ้กัน หากนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ่งพอใจในคนรักของตน เพราะหญิงสาวเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพื่อ
ณ ศาลาริมสระน้ำตำหนักเทียนหลันอีกหมื่นปีต่อมาปลายนิ้วเรียวงามกรีดไปตามเส้นสายบรรเลงพิณตามที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักชี้แนะอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ ดวงหน้างามมีความจริงจังจนคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากอิ่มเม้มจดจ่อร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ห่างออกมา ทอดสายตามองภาพที่คล้ายตนเคยฝันถึง ทว่าในเวลานั้นเทพธดาจันทราผิงเชี่ยนบรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง ขณะที่เอินเอินไม่เคยแตะต้องมาก่อน เวลานี้หญิงสาวกำลังเรียนรู้ในสิ่งที่มารดากับท่านยายของเขาสอนสั่งเอินเอินต้องฝึกฝนตนให้เหมาะสมกับที่กำลังจะเป็นสตรีที่เคียงข้างทายาทสวรรค์ ด้วยอีกไม่นานองค์จักรพรรดิสวรรค์จะแต่งตั้งเทียนเหวินขึ้นเป็นรัชทายาท เนื่องจากชายหนุ่มอุทิศตนในหน้าที่ของตนมาตลอดหมื่นปีมานี้จนกระทั่งได้ตำแหน่งหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ นับว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยงานราชกิจของเทพสงครามกับองค์จักรพรรดิเต็มตัวและงานอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะตามมา แม้จะไม่เร็ววันนี้ก็ตาม เพราะเอินเอินสำเร็จเซียนขั้นสูงแล้ว หญิงสาวจึงฝึกหัดสิ่งที่สตรีชาววังสรรค์ต้องสามารถทำได้ไปพลางยืนมองจนพอใจแล้วเทียนเหวินก็ก้าวเข้าไปที่ศาลา และผู้
“ข้าต้องการเจ้า”ชุดบางลอยเหนือผิวน้ำแทบไม่ปกปิดร่างกายงดงาม เทียน เหวินเองก็ใส่เพียงกางเกงตัวเดียว สองเรือนกายแทบเปลือยเปล่า เมื่อโอบกอดเสียดสี ความรุ่มร้อนย่อมก่อเกิด แรงบดเคล้าจากตัวตนเบียดสะโพกอวบ มือกร้านกระด้างวนเวียนเหนือเกสรอ่อนบางทำเอาร่างอรชรอ่อนระทวยแทบทรงกายไม่ได้เพียงอึดใจต่อมาแรงแทรกลึกก็ล่วงล้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวานครางแผ่วอย่างหมดแรงต้านทาน จิตใจหญิงสาวหวั่นไหวไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกกับสถานที่อันแปลกใหม่ ได้เพียงรับกายแกร่งไว้ยามอีกฝ่ายส่งตัวตนดุนดันแนบสะโพก สองมือหนาย้ายมาโอบตระกองปทุมถันคู่งามราวโอบร่างเล็กไว้กลายๆทว่ายิ่งเบียดเร้าหญิงสาวยิ่งขาอ่อนแรงจนตัวลอย ชายหนุ่มจึงกอดเอวเล็กไว้แล้วพาไปยืนชิดโขดหินก้อนใหญ่ ให้เจ้าตัวได้เกาะพยุงกาย ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะกลับมาระรานเกสรดอกไม้แสนงาม บดขยี้พร้อมแรงรักจากสะโพกหนาภายในกายเอินเอินกำลังถูกพายุอารมณ์ร้อนแรงบ้าคลั่งพัดโหมอยู่ภายใน ความเสียวสยิวพุ่งสูงละลิ่วรวดเร็วจนกระตุกรุนแรงกะทันหัน“อื้อ”หญิงสาวครวญครางเสียงพร่าด้วยสุดจะทานทน เรือนร่างงามสั่นรัวพร้อมหอบหนัก เอนอิงพิงหลังกับแผ่นอกหนาขณะเดียวกันนั้นเทียนเหวินปลดชุ
สองร้อยปีในดินแดนมนุษย์ของเทียนเหวินกับเอินเอินผ่านไป ทว่าความหวานชื่นของคู่สามีภรรยากลับไม่ลดลง ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการลงไปขายของป่า และไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองมากไปกว่านี้ พอใจที่จะอยู่เพียงบนภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบแต่การที่ลงไปในตัวเมืองก็จำต้องพานพบผู้คน ในบางครั้งความงดงามของเอินเอินก็เป็นปัญหา เมื่อขายผักผลไม้ป่าตามลำพัง ในยามที่เทียนเหวินไปซื้ออาหารหรือข้าวของบางอย่างเพราะเขาไม่ต้องการให้นางลำบากดอกไม้งามย่อมมีภมรเข้ามาดอมดม เอินเอินก็ย่อมมีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพา“แม่นาง เจ้าจะลำบากอยู่กับสามีที่ยากจนไปไย นายท่านของข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ พาไปอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย รับรองว่าเจ้าไม่ต้องนั่งตากแดดขายของป่าทั้งวันให้เหนื่อยยากเช่นนี้”“ใช่ นายท่านของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องประทินโฉม หรือชุดสวยงาม เจ้าเพียงแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงาม ยิ้มหวานรอปรนนิบัติพัดวียามนายท่านกลับมาที่จวนก็เพียงเท่านั้น”บางครั้งผู้ที่เข้ามาถามไถ่พูดคุยก็ไม่รู้ว่านางสามีแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนาน หากก็มีบ้างที่รู้แก่ใจ ทว่ายังไม่วายตามตอแย ภูเขาที่เทียนเหวินกับเอินเอิน
“ข้าอยากแตะต้องเจ้า”“สุดแล้วแต่ท่านต้องการ ข้าไม่ได้ห้าม”บอกแล้วเอินเอินก็กลับมาจูบซ้ำเหนือริมฝีปากได้รูป ครั้งนี้ปลายลิ้นเล็กไล้เย้ายวนตามมาด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องเปิดรับหญิงสาว ทั้งสองรวบรัดเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นอย่างเร่าร้อน ขณะที่มือหนาเริ่มเคลื่อนไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงสาว สัดส่วนงดงามกับผิวเนียนน่าสัมผัสทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งได้ฝ่ามือกระด้างไต่ข้างเอวบางกับสะโพกอวบ ส่วนอีกข้างเคล้าคลึงหน้าอกหน้าใจนุ่มหยุ่น เอินเอินเริ่มกายอ่อยระทวยกับความเร่าร้อนที่ตนเป็นฝ่ายจุดชนวน และชายหนุ่มสานต่ออย่างเร้าใจ หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ พร้อมมือบางก็ลูบไล้แผงอกหนาขณะริมฝีปากอิ่มขยับลงจูบคางแกร่ง แตะแผ่วไซ้ลำคอหนาและได้ยินเสียงเครางเข้มในลำคอเทียนเหวินปลายนิ้วเรียวเกลี่ยสะกดเหนือยอดอกที่แข็งเป็นไตของชายหนุ่ม ขณะที่เขายังบีบเคล้นหน้าอกตน มือบางอีกข้างวางยันต้นขาแกร่งเพื่อพยุงกาย โดยลืมคิดไปว่านั่นเป็นการกระทำสุดล่อแหลม ยิ่งทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแรง ทว่าที่ทำเอาเขาต้องครางเสียงเข้มต่ำก็เพราะริมฝีปากนิ่มจูบเม้มยอดอกสีเข้ม“อืม”เหมือนเอินเอินจะค่อยๆ รับรู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรให้ชายหนุ่มพ
หลังจากช่วยกันขนย้ายข้าวของมายังกระท่อม โดยที่เทียน เหวินยกของหนักเสียเป็นส่วนใหญ่จนเสร็จ ทั้งยังใจดีตักน้ำมาให้เอินเอินอาบในส่วนที่เขาล้อมไม้ไผ่กั้นแบ่งด้านหลัง แม้นางจะเกรงใจบอกว่าไปอาบที่น้ำตกเช่นเดิมได้ หากชายหนุ่มก็ยืนยัน“ข้าตั้งใจทำไว้ให้เจ้า...”ใบหน้าขาวคมขยับมาใกล้พร้อมส่งสายตาวาววามพร้อมเอ่ยเสียงกระเส่าทำเอาใจสาวหวิว“กับข้าลงอาบในถังด้วยกัน”หลังปลายนิ้วแกร่งไล้แก้มนวล ทว่าสีหน้าแววตากลับเปลี่ยนไปเป็นแสนเสียดายแทน“แต่วันนี้เจ้าอาบคนเดียวเถิด ข้ายังต้องไปหาอาหารด้วย คงอาบจากที่น้ำตกมาเลย”เพราะวันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เร่งมือสร้างกระท่อมเสร็จ พาเอินเอินมาที่นี่แล้วก็ขนของ ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้จัดการเรื่องอาหารเย็น“ลำบากท่านแล้ว หรือข้าไปช่วยท่านดีกว่า”“อย่าเลย เจ้าเหนื่อยขนของขึ้นลงทางลาดชันหลายรอบแล้ว อาบน้ำพักให้สบายใจเถิด”“ท่านเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”“เถิดน่า หากข้าอยู่ด้วยเจ้าคงไม่ได้อาบน้ำเสร็จง่ายๆ”สุดท้ายเอินเอินก็เชื่อฟัง เพราะหาคำมาแย้งไม่ได้ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเขินอายค่ำคืนมาเยือนหลังจากทานอาหารมื้อเย็น เทียนเหวินก็นอนเอนกายรับลมเย็นที่ระเบียง สองมือยกขึ้นรองใ