เณรคังเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเลยถูกจามิลดุเอา เณรน้อยทำคอย่น ถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง ทำให้จามิลคล่องตัวขึ้น เขาบอกธีราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมเป็นพระก็จริง แต่พระสงฆ์ที่คีรีมันมีกฎวินัยไม่เหมือนกับพระสงฆ์ที่บ้านเมืองของคุณ ที่คีรีมีนนี่พระสงฆ์แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ หากมีเจตนาบริสุทธิ์หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือ”
“หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “คล้าย ๆ กับพระสงฆ์ทิเบตบางนิกายเลย”
“ผมขอดูข้อเท้าของคุณหน่อย” จามิลเอ่ยพร้อมกับจับข้อเท้าหญิงสาว
ธีราไม่ขัดขืน มองดูเขาถอดรองเท้าบูทสั้นของเธอออกอย่างเบามือด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ พอเขาลองขยับข้อเท้าของเธอ หญิงสาวก็ร้องเบา ๆ “อู๊ย เจ็บ”
เขาปล่อยมือข้างที่จับเท้าให้ขยับ แต่มือซ้ายที่ประคองข้อเท้าไว้ไม่ได้ปล่อย “คุณลองขยับเท้าเองดูสิครับ”
หญิงสาวทำตาม ผลคือเธอขยับเท้าเองได้
“แต่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ๆ อยู่เลยค่ะ” เธอบอกอาการ
จามิลจึงใช้นิ้วมือคลึงข้อเท้า “อดทนหน่อยนะคุณธีรา ถ้าไม่รีบนวดตั้งแต่ตอนนี้มันจะอักเสบไปอีกนาน”
หญิงสาวพยักหน้า พยายามไม่ส่งเสียงร้องหรือครวญคราง จามิลนวดข้อเท้านานราวสิบนาทีก็วางเท้าหญิงสาวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
“ข้อเท้าคุณแพลง ควรงดการเดินสักวันสองวัน เดี๋ยวผมจะจัดยาให้นะครับ”
หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม
“เป็นยาสมุนไพรน่ะครับ” พระหนุ่มตอบยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบ
จามิลหันไปมองเชิงเนินพลางเอ่ย “บ้านพักของอู๋อยู่ทางโน้น ต้องเดินต่ออีกประเดี๋ยวเดียว”
“หา!” หญิงสาวอุทานลั่น “ยังมีอีกประเดี๋ยวเดียวหรือคะ?”
“อะไรหรือครับ?” จามิลถามอย่างงุนงง
“ฉันว่าฉันคงเดินต่อไม่ไหวแน่ ๆ” หญิงสาวบอกตามตรง
“นั่นน่ะสิ” เขามีสีหน้าครุ่นคิดก่อนตัดสินใจพูดว่า “งั้นผมแบกคุณไปเอง”
“หา!” หญิงสาวอุทานลั่นอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ดีมั้งคะ”
คังพูดขัดจังหวะ จามิลหันไปพูดกับเณรน้อยสองสามประโยค เณรน้อยก็ตรงเข้ามาจับเท้าหญิงสาวข้างที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้า พยายามถอดรองเท้ากึ่งบูทสั้นออก
หญิงสาวกระถดเท้าหนีพลางถาม “เณรจะทำอะไรน่ะ?”
“คังจะช่วยถือรองเท้าให้คุณเอง ผมจะได้แบกคุณสะดวกหน่อย” จามิลกล่าว
“คุณเอาจริงหรือ?” หญิงสาวย้อนถาม
“จริงสิครับ” พระหนุ่มตอบหนักแน่นก่อนพูดต่อ “คุณถอดรองเท้าอีกข้างให้คังเถอะ เพราะข้างที่เจ็บคงใส่รองเท้าไม่ได้ ใส่ข้างไม่ใส่ข้างมันดูแปลกๆชอบกล”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ถอดรองเท้าแล้วยื่นให้เณรน้อย คังถือรองเท้าแล้ววิ่งตัวปลิวลงไปยังเชิงเนิน
จามิลยอบตัวลงให้หญิงสาวเกาะบ่าได้ถนัดแล้วแบกเธอขึ้นหลัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วเดินลิ่วๆ ลงไปยังเชิงเนิน
ธีราอดถามไม่ได้ “คุณไม่รู้สึกหนักหรือคะ?”
“ตัวคุณยังเบากว่ากระสอบข้าวสาร” เขาตอบ
“พูดอย่างกับคุณแบกกระสอบข้าวสารบ่อยๆ” หญิงสาวเอ่ย
“คุณพูดถูก ที่คีรีมันนี่ทุกคนต่างทำงานตามความสามารถ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ ตัวผมยังหนุ่มแน่นจึงมีหน้าที่แบกหามของหนัก” ปากของเขาพูดไปเรื่อย แต่ฝีเท้ากลับไม่ลดระดับความเร็วแม้แต่น้อย
“แล้วคุณไม่ต้องเรียนพระธรรมหรือคะ?” หญิงสาวถาม
“เรียนครับ แต่พวกเราจะเรียนกันตอนเย็นหลังเลิกงานประจำวันแล้ว” เขาตอบพลางหัวเราะเบาๆ
“คุณเรียนอะไรบ้างคะ?” หญิงสาวถามอย่างชวนคุย
ทว่าจามิลกลับตอบอย่างจริงจัง “พวกเราเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เรียนสมาธิกรรมฐาน และศิลปะการป้องกันตัว เพื่อกระตุ้นลมปราณให้ร่างกายอบอุ่นแข็งแรง”
พูดจบจามิลเดินเลี้ยวตรงเหลี่ยมเขาก็เห็นกระท่อมดินคลุมหลังคาด้วยผ้าใบขนจามรีที่เชิงเขาถัดลงไปหน่อยอย่างถนัดตา
“นั่น! บ้านของอู๋” จามิลเอ่ย
“ไหนคะ?” ธีราขยับตัวเพื่อให้เห็นถนัดตา
เธอเห็นสาวชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งตรงมาจากบ้านของอู๋ ตรงมาทางนี้ พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“จามิลๆๆ”
พอมาถึงตัวจามิล หล่อนตวัดสายตามองธีราแวบหนึ่งพร้อมกับพูดจายืดยาว
จามิลหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยเป็นภาษาไทย “นี่คุณธีรา ลูกสาวของครู รินเซนพูดภาษาไทยเถอะ คุณธีราจะได้ฟังรู้เรื่อง”
แม้ปากกล่าววาจาแต่เท้าจามิลก็ไม่ยอมหยุดพัก ยังคงเดินตรงไปที่กระท่อมหลังนั้นอย่างรวดเร็วและมั่นคง
รินเซนวิ่งตามพลางเอ่ยเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ “ผู้หญิงไทยมาคีรีมันทำไม?”
ธีรารับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรในน้ำเสียงของเจ้าหล่อน
“คุณธีรามาตามหาครู” จามิลตอบเสียงเรียบ
“ดอกเตอร์ธีระนะหรือ? เขาหายไปนานแล้ว หายไปตั้งแต่สิบปีก่อน” รินเซนพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจคนฟัง
“ก็เพราะพ่อหายไปฉันถึงต้องมาตามหายังไงละ” หญิงสาวชาวไทยเอ่ยบ้าง
“ไม่มีทางหาเจอหรอก” รินเซนพูดเสียงห้วน
เมื่อเดินถึงกระท่อมรินเซนเป็นคนเปิดประตูรั้วอย่างเสียไม่ได้ เดินผ่านประตูรั้วเข้าไปก็เห็นจามรีขนยาวตัวหนึ่งถูกล่ามอยู่หน้าบ้าน คังกุลีกุจอยกเก้าอี้ไม้มาให้
จามิลจึงค่อยๆ วางธีรานั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
“คุณมาบ้านฉันทำไม?” รินเซนถามทันทีที่อีกฝ่ายลงจากหลังจามิล
“ฉันมาหาอู๋ ลูกหาบคนเดียวของคุณพ่อที่รอดชีวิตกลับมา” ธีราตอบตามตรง
“พ่อฉันไม่พบคนแปลกหน้า” รินเซนพูดเสียงห้วนอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
“แต่…” ธีราเพิ่งอ้าปาก
รินเซนชิงตัดบท “ไม่มีแต่ ไม่ให้พบก็คือไม่ให้พบ”
หญิงสาวรู้สึกลำบากใจจนต้องหันไปสบตาจามิล
พระหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “ให้คุณธีราพบเถอะ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
“ไม่” รินเซนเอ่ยเสียงเรียบพลางเชิดดวงหน้าจิ้มลิ้มสูง
จามิลนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดเสียงเรียบ ทว่าเฉียบขาด “นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์นะรินเซน”
รินเซนลดทีท่าผยองลงเปลี่ยนเป็นอัดอั้นตันใจ ก่อนจะหันกายเดินนำเข้าไปในกระท่อม “งั้นตามมาสิ”
คังคว้าท่อนไม้ยาวเหมาะมือจากที่ไหนหญิงสาวไม่ทันเห็น เขายื่นส่งให้เธอยิกๆ หญิงสาวส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เณรน้อยแล้วรับท่อนไม้มาช่วยพยุงตัว เดินโขยกเขยกตามรินเซนเข้าไปในกระท่อม
ภายในกระท่อมมืดกว่าข้างนอกทำให้หญิงสาวต้องยืนนิ่งหลับตาเพื่อปรับสายตาครู่หนึ่งก่อนจะลืมตากวาดมองไปรอบห้อง ห้องที่มีขนาดไม่กว้างไม่ใหญ่ เครื่องเรือนมีน้อยชิ้น มุมห้องด้านในปูเสื่อและผ้าขนสัตว์จัดเป็นที่นอน
บนที่นอนมีชายชรารูปร่างผอมบาง ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง เส้นผมและหนวดเคราแซมหงอกจนเป็นสีเทา สวมเสื้อเก่าคร่ำคร่านั่งเหม่อลอยอยู่ รินเซนมองชายชราด้วยสายตาปวดร้าว ริมฝีปากสวยเม้มแน่นและสั่นระริก
จามิลจึงต้องเป็นคนเอ่ยแนะนำกับธีรา “นี่คืออู๋”
หญิงสาวลอบถอนหายใจ อดนึกเห็นใจรินเซนไม่ได้ ถ้าเธอตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับรินเซนก็คงไม่พอใจที่ใครจะมาพบพ่อซึ่งมีสภาพน่าอนาถอย่างนี้เป็นแน่ ทว่าธีราต้องตัดใจ เพราะว่าอู๋คือเบาะแสเดียวที่เธอจะสืบสาวถึงพ่อที่หายสาบสูญได้
“เราควรบอกท่านเพียงว่าคุณวิษณุประสบอุบัติเหตุ คุณเจอเขาอีกทีเขาก็มีอาการอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเขาประสบอุบัติเหตุอย่างไร เพียงพบเขานอนอยู่บนพื้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเขาหายตัวไปจากโรงแรมที่พัก ไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไร” ชายหนุ่มออกความคิด “เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่าถูกสูบขวัญวิญญาณเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “ฉันจะส่งพี่ณุเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเช็กสมองอย่างละเอียด เผื่ออาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง” “ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วย แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนสามารถช่วยเหลือวิษณุให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เครื่องบินที่ธีรา จามิล และวิษณุโดยสารมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ธีราพาวิษณุขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกทางบ้านถึงเวลาที่เดินทางกลับ ส่วนจามิลก็มาส่งธีราและวิษณุถึงบ้านก่อน จึงเข้าพักในโรงแรมสภาพค่อนข้างดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กลับถึงบ้านธีราโผเข้ากอดมารดาที่มองมาด้วยสายตายินดี แม้จะประหลาดใจที่อยู่ๆ ลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าว “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “แม่ก็
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หญิงสาวชาวไทยพลอยยินดีกับนางพญาอาโรจนาและพญานาคราชชมพูจนอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “ดิฉันดีใจจริงๆ ค่ะ ที่ทั้งสองสมหวังในความรักสักที...แต่ เอ้อ...” ราชฤาษีเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกอัก ก็รู้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” พอได้รับคำอนุญาตจากราชฤาษี ธีราก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขอร้อง “ดิฉันอยากจะขอให้ท่านช่วยพี่วิษณุค่ะ ให้เขามีสติเป็นปกติ ไม่ใช่คนเอ๋อแบบนี้” “ปกติเจ้าไม่ชอบเขามิใช่หรือ?” ราชฤาษีถาม “ค่ะ ดิฉันไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไป” “แล้วทำไมถึงได้ขอร้องแทนเขา?” “ดิฉันสงสารคุณป้าจิตราคุณแม่ของพี่ณุค่ะ คุณป้ามีลูกคนเดียวคือพี่ณุ แล้วพี่ณุมาเป็นแบบนี้ คุณป้าคงต้องเสียใจมากค่ะ” “เจ้าขอได้ แต่เราไม่ให้” ราชฤาษีตอบด้วยสุรเสียงเรียบๆ “ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ทุกคนมีบาปบุญเป็นของตนเอง” ราชฤาษีกล่าวหนักแน่น “เวลานี้วิษณุกำลังรับผลแห่งบาปที่เขาเคยก่อเอาไว้อยู่ ส่วนนารีผลที่สูบขวัญวิญญาณของเขาไปนั้น นางได้กลายเป็นมนุษย์มีเลื
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณเก็บผลไม้นี้ให้ดีเสียก่อนเถอะ เพราะไม่ว่ามันจะหอมหรือเหม็น มันก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้” จามิลเตือน สีหน้าระบายยิ้มจางๆ “ถูกต้องค่ะ ฉันต้องใส่ถุงพลาสติก ผูกปากถุงให้แน่น ป้องกันกลิ่นโชยออกมา” หญิงสาวเอ่ยพลางทำตามที่พูด นำถุงพลาสติกบรรจุผลไม้จากกันเดนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย “คุณเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางกัน” จามิลบอก “พวกเรา?” หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม “ครับ คุณ ผม และคุณวิษณุ ผมว่าจ้างรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณจะไปกับฉันและพี่ณุหรือคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ “ครับ คุณอยากรู้เหตุผลไหมครับ?” ชายหนุ่มย้อนถาม หญิงสาวนิ่ง เธอดีใจที่จะมีเขาไปด้วย ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม ทว่าจามิลยังคงอยากอธิบายเหตุผล “ผมมีเหตุผลทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายผม ฝ่ายคุณคือคุณต้องการคนดูแลคุณวิษณุระหว่างเดินทาง คุณเป็นผู้หญิงคงไม่สะดวก แต่ผมเป็นผู้ชายผมสะดวก ส่วนทางนี้...ไม่ช้าก็เร็วคนในคีรีมันจะต้องรู้ว่าผมไปกันเดนมา แล้วผมก็จะ
“ใครบอกให้คุณดูแลพี่ณุ?” ธีราเพิ่งมีโอกาสเปิดปากถามเป็นประโยคแรก “ก็ราชฤาษีน่ะสิ อยู่ๆ ก็พูดเจาะจงให้ฉันดูแลคุณณุ” หลิงสะบัดเสียงตอบ “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ให้ทำอย่างนั้น?” หญิงสาวถามเสียงเรียบ “ก็…” หลิงพูดอึกอัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราชฤาษีชนะกานตะอย่างไม่ยากเย็น เป็นการต่อสู้ที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ แม้ได้รับชัยชนะแต่ราชฤาษีไม่คิดทำร้ายกานตะ เพียงรับสั่งสุรเสียงเฉียบ “เจ้าแพ้เราแล้ว เจ้าจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไปกันเดนนั่น” กานตะขบฟันกรอดๆ จนเห็นสันข้างแก้ม ไม่พูดไม่จา สะบัดหน้าแล้วผละจากไปโดยไม่สนใจคณะเดินทางแม้แต่น้อย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ต้าเอ่ยขึ้น “เราจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังโลกที่พวกเจ้ามา แต่พวกเจ้าจะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง นึกถึงสถานที่เดียวกันให้ดี” ราชฤาษีรับสั่ง คณะเดินทางจึงปรึกษาหารือกันแล้วลงความเห็นว่าวัดกัมโปเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนรู้จัก จึงเลือกวัดกัมโปเป็นจุดหมายปลายทางในใจของทุกคน “พวกผมจะกลับไปวัดกัมโปขอรับ” ต้าและหลงเอ่ยขึ้นพร้อมเพียง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห