จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะมุมในห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นสถานที่นัดพบพูดคุยเรื่องงานของคนทั้งสองไปโดยปริยาย
พระหนุ่มยกถ้วยชาที่ส่งควันฉุยขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “รินเซนว่าคุณอนุญาตให้เธอไปด้วย”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ “ฉันมีเหตุผลที่ให้รินเซนไปด้วยนะคะ คือ...หนึ่งฉันจะได้มีเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย สองเธอเป็นล่ามให้ฉันแทนคุณหลิงได้ และข้อสุดท้ายเธออาจค้นพบวิธีรักษาพ่อของเธอให้หายจากอาการป่วยได้”
จามิลหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่ผมไม่ให้รินเซนไปด้วยแต่แรกก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ การไปค้นหากันเดนของพวกเราไม่ได้มีผลสุดท้ายที่แน่นอน อาจจะพบ อาจจะไม่พบ อาจจะไปถึง อาจจะไปไม่ถึง อาจจะได้กลับ และอาจจะไม่ได้กลับ”
คำท้ายของเขาทอดหางเสียงเบาลงจนธีรารู้สึกใจหายไปด้วย จริงสิ...ทุกคนที่ไปกันเดนอาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก เหมือนอย่างคณะก่อนๆ ที่ไปกัน
“ฉันลืมคิดถึงข้อนี้ไป ฉันจะพูดกับเธอใหม่แล้วกันนะคะ” พูดถึงตรงนี้รินเซนก็เดินเข้ามาพร้อมกับคัง
เณรน้อยเดินมายังไม่ทันถึงโต๊ะก็ส่งเสียงเอะอะโวยวายกับจามิล หญิงสาวมองหน้ารินเซนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
รินเซนยิ้มเล็กน้อย รีบแปลให้ธีราฟังชนิดประโยคต่อประโยค “เณรคังว่าศิษย์พี่ต้องพาผมไปกันเดนด้วยนะ”
จามิลขมวดคิ้วพูดเสียงต่ำ “เจ้ายังเด็กเกินไป”
“ถึงผมจะเป็นเด็ก ผมก็เป็นเด็กที่กล้าหาญ มีความรู้ด้านธรรมะไม่ต่ำนัก ทั้งยังมีกำลังใจที่เข็มแข็ง ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีเยี่ยม” รินเซนแปลถึงตรงนี้ธีราก็อดหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้
“คุณหัวเราะจนฉันแปลไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” รินเซนพูดทักท้วง ในขณะที่เณรคังยังคงพูดจ้อไม่หยุด
ธีราหยุดหัวเราะร่วน พยักหน้าให้รินเซน “ค่ะๆ คุณแปลต่อเถอะ”
รินเซนเม้มริมฝีปากคล้ายพยายามกลั้นหัวเราะเหมือนกัน ก่อนจะตีสีหน้าเคร่งขรึม “สรุปคือเณรคังบอกว่าผู้ออกบวชทั้งหลายต่างปรารถนาไปให้ถึงกันเดน ไม่จำกัดว่าจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ ขอให้ศิษย์พี่ส่งเสริมผมเหมือนที่ท่านอาจารย์ส่งเสริมศิษย์พี่ด้วย”
จามิลอึ้งไปครู่หนึ่ง หันมามองหญิงสาว
“เณรคังคารมดีนะคะ” ธีราเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
จามิลถอนหายใจเฮือกก่อนตอบเณรน้อย “เอาเถอะ ไว้เราจะเรียนถามท่านอาจารย์”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่อนุญาต” เณรคังค้อมศีรษะคารวะจนแทบจรดพื้น
“ยัง” จามิลรีบพูดแย้ง “ต้องให้ท่านอาจารย์อนุญาตก่อน”
“ถ้าศิษย์พี่อนุญาตแล้ว ท่านอาจารย์คงไม่ขัดข้องเป็นแน่” เณรคังเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนจะหันมายิ้มให้หญิงสาวชาวไทยแล้วกล่าวต่อ “ให้ผมไปด้วย จะช่วยงานคุณผู้หญิงอย่างดีที่สุดครับ”
ธีรายิ้มรับก่อนหันมาพูดกับรินเซนอย่างที่ตั้งใจไว้ “ฉันพูดเรื่องเธอกับคุณจามิลแล้ว แต่คุณจามิลบอกว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอจึงอยากให้เธอตัดสินใจใหม่อีกที”
“ฉันไม่ล้มเลิกความตั้งใจอย่างแน่นอน คุณรับปากฉันแล้ว คุณต้องไม่กลับคำนะคะ” รินเซนเอ่ยพลางค้อนควักจามิลอย่างแง่งอน
ธีราพูดไม่ออก หันไปมองหน้าพระหนุ่ม
จามิลได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ “คณะเดินทางที่มีทั้งเด็กและผู้หญิง คงยุ่งเหยิงและสนุกพิลึก”
รินเซนตาลุกวาว พูดโต้ตอบทันควัน “เป็นผู้หญิงแล้วยังไง เผลอๆ ฉันจะมีประโยชน์มากกว่าลูกหาบผู้ชายของคุณเสียด้วยซ้ำ”
ส่วนเณรคังพูดจาภาษาคีรีมันราวกับต่อยหอย
เกมโลกีย์ผ่านพ้น...วิษณุกับหลิงนอนซุกตัวเบียดชิดกันใต้ผ้าห่มนวมผืนเก่าบนเตียงที่ก่อด้วยดิน ใต้เตียงมีเตาอุ่น ที่นี่สภาพอากาศหนาวจัดแม้ในเวลากลางวัน เตียงที่ก่อจากดินเหนียวก็ยังเย็นเยียบเสียดกระดูก ชาวบ้านจึงใช้วิธีก่อเตาเล็กแล้ววางเตาไว้ในช่องใต้เตียงเพื่ออุ่นเตียงนอนให้อบอุ่นขึ้น
ตอนหลิงมาเจรจาขอใช้กระท่อมของหญิงชราเป็นรังรักชั่วคราว หล่อนพูดภาษาท้องถิ่นกับเจ้าของกระท่อมว่า ‘ป้า ฉันขอยืมกระท่อมของป้าใช้หน่อย ป้าช่วยจุดเตาอุ่นเตียงให้ด้วยแล้วป้าหลบไปชั่วคราว และต้องทำตัวไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เงินนี้ก็จะตกเป็นของป้า’
ขาดคำธนบัตรเกือบสิบใบยื่นมาตรงหน้าหญิงชรา เจ้าของกระท่อมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย รับเงินไปนับด้วยมือไม้สั่นเทาแล้วรีบไปทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ก่อนจะเดินออกไปนอกกระท่อมโดยไม่ปริปากถามอะไรสักแอะอย่างรู้หน้าที่ เพราะนี่เป็นการใช้บริการครั้งที่สามของสาวชาวจีนผู้นี้
วิษณุเอ่ยกระซิบข้างหูหลิงหลังผ่านพ้นเกมโลกีย์ “เรื่องแรกที่เราจะต้องจัดการก็คือไปหาหลงกัน”
หลงมองดูชายหนุ่มฉกรรจ์ที่มาหาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “เจ้าชื่ออะไร?”
“ผมชื่อต้าครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยทีท่านอบน้อมอยู่นอกประตูรั้ว
หลงที่ยืนอยู่หลังประตูรั้วสูงเทียมคอพยักหน้ารับรู้พลางถามต่อ “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?”
“ผมจะมาสมัครเป็นลูกหาบไปกันเดนครับ” ต้าตอบด้วยสีหน้ายิ้มประจบ
“เจ้ามาช้าไป ข้าได้ลูกหาบครบแล้ว” หลงตอบ อดนึกแปลกใจไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าคงหาลูกหาบไปกันเดนไม่ได้ หรือถ้าได้ก็คงต้องจ่ายค่าจ้างในอัตราสูงลิบลิ่ว
ทว่าผิดคาด วันนี้พอเขาประกาศรับสมัครลูกหาบไปกันเดน ชายฉกรรจ์ต่างกรูกันมาสมัครจนได้ลูกหาบครบอย่างรวดเร็ว แถมแต่ละคนยังไม่เกี่ยงงอนเรื่องค่าจ้างอีกด้วย
“ขอให้ช่วยรับผมไปอีกคนเถอะครับ” ต้าขอร้อง
“ไม่ได้หรอก คนเต็มแล้ว เงินข้าก็จ่ายไปหมดแล้ว” หลงตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
“ผมไม่เอาเงินก็ได้ ขอให้ผมได้ไปด้วยคนก็พอครับ” ต้าเอ่ยแทบจะลงทุนก้มกราบ
หลงนึกเอะใจจึงย้อนถาม “ทำไมเจ้าถึงอยากไปกันเดนนัก?”
“เพราะว่า…” ต้าเอ่ยแล้วเหมือนนึกได้ว่าจะต้องต่อรองให้อีกฝ่ายรับตนเสียก่อนจึงจะบอกเหตุผลได้ ก็เลยยื่นข้อเสนอว่า “ถ้าผมบอกความลับแก่คุณ คุณต้องรับผมเป็นลูกหาบด้วยคนนะครับ”
“ข้าบอกแล้วไงว่าเงินค่าจ้างหมดแล้ว” หลงเอ่ย
“ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่เอาค่าจ้างก็ได้”
“หมายความว่าเจ้าจะยอมทำงานให้เปล่าๆ โดยไม่เอาค่าจ้างหรือ?” หลงถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“ครับ” ต้ารับคำน้ำเสียงหนักแน่น
“เพราะอะไร?” หลงถาม อยากรู้เป็นทวีคูณ
ต้ายิ้มเล็กน้อยก่อนพูดต่อรอง “คุณต้องรับปากผมก่อนสิว่าจะรับผมเป็นลูกหาบ ผมถึงจะบอก”
“เอาเถอะๆ ดูหน่วยก้านเจ้าก็ไม่เลว เท่ากับได้ลูกหาบเพิ่มโดยไม่ต้องเสียเงิน ข้าตกลง” หลงพูดอย่างตัดปัญหาก่อนเร่งรัดอีกฝ่าย “คราวนี้เจ้ารีบบอกเหตุผลมาได้แล้ว”
“เรื่องนี้เป็นความลับที่เพิ่งรั่วไหลออกมาจากวัดกัมโป” ต้าพูดพลางเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินเข้า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้บริเวณนั้นจึงลดเสียงพูดแผ่วเบาลง “เมื่อสิบปีก่อนมีคณะเดินทางไปค้นหากันเดน คุณรู้หรือเปล่า?”
“รู้สิ ไปแล้วก็ไปลับ ไม่มีใครกลับมาอีกเลย” หลงตอบ
“ผิดแล้ว” ต้าพูดพลางขยายความ “มีคนหนึ่งกลับมาได้ พระลูกวัดกัมโปไปพบเขานอนสลบไสลอยู่ริมลำธารนอกหมู่บ้านเลยพาเขากลับมาที่วัด จากนั้นเขาก็ถูกกักตัวอยู่แต่ในบริเวณวัดตลอดมา”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้?” หลงหลุดปากถาม
“ถ้าทุกคนรู้ จะเรียกว่าเป็นความลับเหรอ?” ต้าย้อนถาม
หลงพยักหน้าพลางถามอย่างคาดคั้น “ข้าไม่เชื่อว่าเหตุผลเพียงแค่นี้จะทำให้เจ้ายอมไปกันเดนโดยไม่เอาค่าจ้าง มีอะไรจงบอกออกมาให้หมด”
ต้ากลืนน้ำลายลงคอก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณรู้ไหมว่าทำไมเขาจึงถูกกักตัวอยู่แต่ในวัดกัมโป?”
“ข้าจะไปรู้เรอะ” หลงพูดอย่างรำคาญ
ต้าเลยรีบเฉลย “เพราะเขาไปถึงกันเดนมาแล้วน่ะสิ”
“มีอะไรเป็นหลักฐานว่าเขาไปถึงกันเดนมาแล้ว?” หลงถาม
“เขาลือกันว่าคนที่กลับมา ได้นำเพชรเม็ดใหญ่กว่าไข่ไก่กลับมาด้วยเม็ดหนึ่ง” ต้าพูดเสียงเบาราวกระซิบ
ทว่าหลงกลับร้องเสียงหลง “หา! แล้วเวลานี้เพชรเม็ดนั้นอยู่ที่ไหน?”
ต้ารีบยื่นมือข้ามรั้วมาปิดปากอีกฝ่าย “จุ๊ๆๆ เบาๆ หน่อย”
หลงพยักหน้ารับ ต้าจึงปล่อยมือก่อนกระซิบเสียงแผ่ว “น่าจะอยู่ที่ท่านเจ้าอาวาสวัดกัมโป”
ทั้งสองสบตากัน เหลียวมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
หลงตัดสินใจเปิดประตูรั้วพลางบอกอีกฝ่าย “เข้ามาคุยกันต่อข้างในเถอะ”
“ดีสิ”
พอต้าเดินเข้ามา หลงก็รีบปิดประตูรั้วแล้วจูงมืออีกฝ่ายเข้าไปนั่งตรงม้านั่งหน้าบ้านอย่างเร่งรีบ นั่งประชิดตัวพลางกระซิบถาม “แล้วคนอื่นๆละ ทำไมไม่กลับมา”
แทนคำตอบต้ากลับย้อนถาม “คุณเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับกันเดนไหม?”
“เคยสิ” หลงตอบ ดวงตาลุกวาว “เขาว่ากันว่า กันเดนคือแดนสวรรค์ มีเพชรนิลจินดาของมีค่ามากมาย มีสาวงามที่ไม่รู้จักแก่จักเฒ่า จริงสิ...ถ้าข้าได้ไปถึงกันเดนข้าคงไม่กลับมาหาอีแก่ที่บ้านหรอก” หลงทำนัยน์ตาลอยเคลิ้มฝันครู่หนึ่งก่อนกลายเป็นสีหน้าสลด “แต่การไปกันเดนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
ต้ายิ้มพลางเอ่ย “คราวนี้ไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าหัวหน้าคณะเมื่อสิบปีก่อนเป็นคนไทย ก่อนเดินทางไปกันเดนได้ส่งจดหมายกับแผนที่กลับไปเมืองไทย แล้วลูกหลานของเขาก็เดินทางมาเป็นหัวหน้าคณะในคราวนี้ด้วย”
“ใช่ จริงๆ” หลงร้องอย่างยินดี
“เราควรบอกท่านเพียงว่าคุณวิษณุประสบอุบัติเหตุ คุณเจอเขาอีกทีเขาก็มีอาการอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเขาประสบอุบัติเหตุอย่างไร เพียงพบเขานอนอยู่บนพื้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเขาหายตัวไปจากโรงแรมที่พัก ไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไร” ชายหนุ่มออกความคิด “เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่าถูกสูบขวัญวิญญาณเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “ฉันจะส่งพี่ณุเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเช็กสมองอย่างละเอียด เผื่ออาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง” “ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วย แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนสามารถช่วยเหลือวิษณุให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เครื่องบินที่ธีรา จามิล และวิษณุโดยสารมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ธีราพาวิษณุขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกทางบ้านถึงเวลาที่เดินทางกลับ ส่วนจามิลก็มาส่งธีราและวิษณุถึงบ้านก่อน จึงเข้าพักในโรงแรมสภาพค่อนข้างดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กลับถึงบ้านธีราโผเข้ากอดมารดาที่มองมาด้วยสายตายินดี แม้จะประหลาดใจที่อยู่ๆ ลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าว “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “แม่ก็
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หญิงสาวชาวไทยพลอยยินดีกับนางพญาอาโรจนาและพญานาคราชชมพูจนอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “ดิฉันดีใจจริงๆ ค่ะ ที่ทั้งสองสมหวังในความรักสักที...แต่ เอ้อ...” ราชฤาษีเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกอัก ก็รู้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” พอได้รับคำอนุญาตจากราชฤาษี ธีราก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขอร้อง “ดิฉันอยากจะขอให้ท่านช่วยพี่วิษณุค่ะ ให้เขามีสติเป็นปกติ ไม่ใช่คนเอ๋อแบบนี้” “ปกติเจ้าไม่ชอบเขามิใช่หรือ?” ราชฤาษีถาม “ค่ะ ดิฉันไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไป” “แล้วทำไมถึงได้ขอร้องแทนเขา?” “ดิฉันสงสารคุณป้าจิตราคุณแม่ของพี่ณุค่ะ คุณป้ามีลูกคนเดียวคือพี่ณุ แล้วพี่ณุมาเป็นแบบนี้ คุณป้าคงต้องเสียใจมากค่ะ” “เจ้าขอได้ แต่เราไม่ให้” ราชฤาษีตอบด้วยสุรเสียงเรียบๆ “ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ทุกคนมีบาปบุญเป็นของตนเอง” ราชฤาษีกล่าวหนักแน่น “เวลานี้วิษณุกำลังรับผลแห่งบาปที่เขาเคยก่อเอาไว้อยู่ ส่วนนารีผลที่สูบขวัญวิญญาณของเขาไปนั้น นางได้กลายเป็นมนุษย์มีเลื
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณเก็บผลไม้นี้ให้ดีเสียก่อนเถอะ เพราะไม่ว่ามันจะหอมหรือเหม็น มันก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้” จามิลเตือน สีหน้าระบายยิ้มจางๆ “ถูกต้องค่ะ ฉันต้องใส่ถุงพลาสติก ผูกปากถุงให้แน่น ป้องกันกลิ่นโชยออกมา” หญิงสาวเอ่ยพลางทำตามที่พูด นำถุงพลาสติกบรรจุผลไม้จากกันเดนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย “คุณเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางกัน” จามิลบอก “พวกเรา?” หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม “ครับ คุณ ผม และคุณวิษณุ ผมว่าจ้างรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณจะไปกับฉันและพี่ณุหรือคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ “ครับ คุณอยากรู้เหตุผลไหมครับ?” ชายหนุ่มย้อนถาม หญิงสาวนิ่ง เธอดีใจที่จะมีเขาไปด้วย ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม ทว่าจามิลยังคงอยากอธิบายเหตุผล “ผมมีเหตุผลทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายผม ฝ่ายคุณคือคุณต้องการคนดูแลคุณวิษณุระหว่างเดินทาง คุณเป็นผู้หญิงคงไม่สะดวก แต่ผมเป็นผู้ชายผมสะดวก ส่วนทางนี้...ไม่ช้าก็เร็วคนในคีรีมันจะต้องรู้ว่าผมไปกันเดนมา แล้วผมก็จะ
“ใครบอกให้คุณดูแลพี่ณุ?” ธีราเพิ่งมีโอกาสเปิดปากถามเป็นประโยคแรก “ก็ราชฤาษีน่ะสิ อยู่ๆ ก็พูดเจาะจงให้ฉันดูแลคุณณุ” หลิงสะบัดเสียงตอบ “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ให้ทำอย่างนั้น?” หญิงสาวถามเสียงเรียบ “ก็…” หลิงพูดอึกอัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราชฤาษีชนะกานตะอย่างไม่ยากเย็น เป็นการต่อสู้ที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ แม้ได้รับชัยชนะแต่ราชฤาษีไม่คิดทำร้ายกานตะ เพียงรับสั่งสุรเสียงเฉียบ “เจ้าแพ้เราแล้ว เจ้าจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไปกันเดนนั่น” กานตะขบฟันกรอดๆ จนเห็นสันข้างแก้ม ไม่พูดไม่จา สะบัดหน้าแล้วผละจากไปโดยไม่สนใจคณะเดินทางแม้แต่น้อย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ต้าเอ่ยขึ้น “เราจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังโลกที่พวกเจ้ามา แต่พวกเจ้าจะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง นึกถึงสถานที่เดียวกันให้ดี” ราชฤาษีรับสั่ง คณะเดินทางจึงปรึกษาหารือกันแล้วลงความเห็นว่าวัดกัมโปเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนรู้จัก จึงเลือกวัดกัมโปเป็นจุดหมายปลายทางในใจของทุกคน “พวกผมจะกลับไปวัดกัมโปขอรับ” ต้าและหลงเอ่ยขึ้นพร้อมเพียง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห