วิษณุยืนคอยอย่างกระวนกระวายใจในตรอกแคบๆ และสกปรกซึ่งอยู่หลังโรงแรมที่พักที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ครู่หนึ่งก็ปรากฏเงาร่างเพรียวของหญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะมาหาด้วยความระมัดระวังเหมือนกลัวใครจะเห็นเข้า หญิงผู้ใช้หมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของปกเสื้อคลุมศีรษะและบดบังใบหน้าจนเกือบมิดเดินเข้ามาใกล้
“หลิง ทำไมช้านักล่ะ?” วิษณุเอ่ยถามทันที
หลิงดึงหมวกคลุมศีรษะลง เปิดเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวและดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งพลางตอบ “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการเปิดเผยการพบปะของพวกเรา?”
“นั่นก็ใช่ แต่ผมรักคุณจริงๆ นะ” พร้อมกับคำพูดวิษณุรวบร่างเพรียวมาไว้ในอ้อดกอดแล้วระดมจูบดวงหน้าเรียวถี่ยิบ
ล่ามสาวชาวจีนต้องยกมือดันดวงหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนเอ่ยปาก “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณธีราออกจะสวยขนาดนั้น”
วิษณุแบะปาก “หึ! สวย สวยเหมือนประติมากรรมหินอ่อนที่จิตรกรเอกของโลกบรรจงแกะสลัก เย็นชืด แข็งทื่อ แตะต้องไม่ได้ อยู่ใกล้แล้วอัดอั้นใจแทบจะระเบิด ไม่เหมือนคุณ คุณมีเลือดมีเนื้อ นุ่มนวลและอบอุ่น เป็นสุดปรารถนาของผม”
“แหม ปากหวาน แต่ตอนนี้คุณปล่อยฉันก่อนเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” หลิงเบี่ยงตัวเล็กน้อย
วิษณุคลายอ้อมแขนอย่างง่ายดายก่อนถามกลับ “ทำไมเรื่องถึงพลาดอย่างนี้ล่ะหลิง?”
หลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันพยายามแล้วนะ หาพรานกระจอกๆ คนหนึ่งมาปลอมตัวเป็นพรานใหญ่เพื่อหลอกเอาเงินคุณธีรา พอคุณธีรารู้ตัวว่าถูกหลอกจะได้รีบกลับเมืองไทยไปแต่งงานกับคุณไงล่ะ” พร้อมกับคำพูดหลิงมีสีหน้ามึนตึง
วิษณุโอบกอดร่างเพรียวอีกคราพลางกระซิบถาม “หึงเหรอ?”
“เฮอะ” หลิงทำเสียงในลำคอแทนคำตอบ พร้อมกับดวงตาแดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้
“ผมต้องแต่งงานกับธีราเพื่อทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของเธอ” วิษณุกระซิบต่อ
“แล้วคุณก็จะรักเธอจริงๆ เพราะหลังแต่งงานเธอจะกลายเป็นสิ่งแตะต้องได้ ความสวยของเธอทำให้ผู้ชายหลงรักได้อย่างง่ายดาย” หลิงพูดด้วยทีท่าแง่งอน
วิษณุหัวเราะพลางพูด “คุณคิดมากไปแล้ว ถึงผมจะเกิดรักธีราขึ้นมาอีกคนก็ไม่เห็นจะแปลก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกรักคุณ”
“หมายความว่าฉันจะต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ตลอดไป” หลิงพูดน้ำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“แล้วไม่ดีตรงไหน?” วิษณุย้อนถาม
“มัน…มันเท่ากับว่าฉันเป็นเมียน้อย” หลิงตอบอย่างอัดอั้นตันใจ
“ผู้หญิงสมัยนี้อยากจะเป็นเมียน้อยกันทั้งนั้น” วิษณุเอ่ยพลางเลิกเรียวคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย “เป็นเมียหลวงน่ะต้องเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก แต่เป็นเมียน้อยน่ะเป็นคู่สุขคู่ชื่น”
“ฉันไม่เข้าใจ” หลิงส่ายหน้า
“ก็ตัวอย่างง่ายๆ ธีราเป็นเมียหลวง มีเงินทองมากมาย ผมก็เอาเงินทองของธีรามาบำรุงบำเรอคุณที่เป็นเมียน้อยยังไงล่ะ” วิษณุพูดยิ้มๆ
“ฮึ! ให้มันจริงเถอะ” หลิงทำท่าไม่ค่อยเชื่อถือนัก
วิษณุคร้านจะพูดเกลี้ยกล่อมต่อจึงเสเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมคุณถึงถอนตัวไม่ไปกันเดนด้วย?”
“ฉันคิดจะสร้างความลำบากให้คุณธีรา เธอจะได้ล้มเลิกการไปกันเดนเสีย” หลิงตอบ
“ดูท่าจะยาก” วิษณุพูดอย่างเข้าใจอุปนิสัยใจคอของญาติผู้น้องดี “แม่คนนี้ลองตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว อะไรก็ห้ามไม่อยู่ ยิ่งคุณไม่ไปก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ไอ้พระบ้าจามิลได้ใกล้ชิดธีรามากยิ่งขึ้น”
“หมายความว่าคุณต้องการให้ฉันไปด้วยหรือ?” หลิงเอ่ยเป็นเชิงถาม
“ถูกต้อง ไม่เพียงแต่เพื่อกีดกันไม่ให้ไอ้พระบ้าเข้าใกล้ธีราเท่านั้น แต่เพื่อตัวของผมด้วย” เอ่ยถึงตรงนี้วิษณุทำตาซึ้งพลางก้มลงจะจูบอีกฝ่าย
ตึ้ก! ตึ้ก! ตึ้ก!
เสียงฝีเท้าดังแว่ว หลิงยกมือยันอกชายหนุ่มพร้อมกับพูดปรามเบาๆ “อย่า”
วิษณุคลายอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมองไปยังต้นเสียงก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งแบกกระสอบใส่ข้าวของพะรุงพะรังเดินเข้ามาในตรอก หนุ่มสาวทั้งสองจึงเบี่ยงตัวหลบทางให้ แต่กว่าจะเดินสวนผ่านไปได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
“เหม็นฉิบ!” วิษณุสบถเสียงไม่ค่อยนักแต่เป็นภาษาไทย คนที่ถูกว่ากระทบจึงไม่รู้ตัว
พอคนนอกเดินลับตาไป หลิงเอ่ยขึ้นเหมือนประชด “คนบนที่ราบสูงไม่ค่อยอาบน้ำเพราะอากาศหนาวจัดก็ต้องตัวเหม็นเป็นธรรมดา จะให้เนื้อตัวหอมเหมือนคุณธีราได้ยังไง?”
“โธ่ หลิงก็หอมนะ หอมมากด้วย” วิษณุโอบกอดล่ามสาวอีกครั้ง แถมระดมจูบบนซอกคอ
หลิงจำใจผลักไสพลางว่า “อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ตรงนี้ดูประเจิดประเจ้อ”
วิษณุไม่ยอมคลายอ้อมแขน กระซิบถาม “แล้วที่ไหนละที่ไม่ประเจิดประเจ้อ? ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ”
“คุณปล่อยฉันก่อนสิ ฉันจะพาไป” หลิงเอ่ยเสียงสั่นพร่า เกิดความต้องการไม่แพ้กัน
วิษณุจึงคลายอ้อมแขนพลางชักชวน “ไปสิ”
หลิงดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะและปิดบังดวงหน้าก่อนจะเดินนำ วิษณุเดินตามติด เพลิงราคะกระพือโหมในใจสองชายหญิง
“เธออย่าทำอย่างนี้สิ” ธีรามองร่างอรชรที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างลำบากใจ
“ถ้าคุณไม่ให้ฉันไปด้วย ฉันจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน” รินเซนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันตัดสินใจเองไม่ได้” ธีราเอ่ยเสียงอ่อน “ฉันต้องบอกคุณจามิลก่อน”
“ถ้าคุณยืนกราน จามิลก็ต้องยอม” รินเซนกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ “ก็ได้ ฉันจะให้เธอไปด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” รินเซนพูดสีหน้ายินดี แต่ยังไม่ลุกขึ้นจากการคุกเข่า
ธีราจึงต้องบอก “เธอลุกขึ้นเถอะ มีอะไรค่อยๆ พูดจากัน”
“ค่ะ” รินเซนรับคำก่อนลุกขึ้นยืน “ฉันเป็นลูกหาบก็ได้ หุงหาอาหารก็ได้ ถ้าคุณเดินจนเมื่อยขาฉันจะบีบนวดให้”
ธีราหัวเราะร่วนพลางว่า “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เธอไม่ต้องเป็นลูกหาบ ส่วนเรื่องหุงหาอาหารพวกเราอาจจะต้องช่วยๆกันทำ”
“แล้วฉันมีหน้าที่อะไรบ้าง?” รินเซนถามเพื่อความแน่ใจว่าจะได้เดินทางร่วมคณะไปด้วย
“อืม” ธีราครุ่นคิดก่อนเอ่ย “คุณหลิงที่เป็นล่ามเธอขอไม่ไปด้วย งั้นรินเซนทำหน้าที่แทนคุณหลิงก็แล้วกัน”
รินเซนยิ้มแฉ่งจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม แก้มนวลผ่องแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด เพราะนี่หมายถึงฐานะของตนในคณะเดินทางมั่นคงแล้ว
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะมุมในห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นสถานที่นัดพบพูดคุยเรื่องงานของคนทั้งสองไปโดยปริยาย พระหนุ่มยกถ้วยชาที่ส่งควันฉุยขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “รินเซนว่าคุณอนุญาตให้เธอไปด้วย” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ “ฉันมีเหตุผลที่ให้รินเซนไปด้วยนะคะ คือ...หนึ่งฉันจะได้มีเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย สองเธอเป็นล่ามให้ฉันแทนคุณหลิงได้ และข้อสุดท้ายเธออาจค้นพบวิธีรักษาพ่อของเธอให้หายจากอาการป่วยได้” จามิลหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่ผมไม่ให้รินเซนไปด้วยแต่แรกก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ การไปค้นหากันเดนของพวกเราไม่ได้มีผลสุดท้ายที่แน่นอน อาจจะพบ อาจจะไม่พบ อาจจะไปถึง อาจจะไปไม่ถึง อาจจะได้กลับ และอาจจะไม่ได้กลับ” คำท้ายของเขาทอดหางเสียงเบาลงจนธีรารู้สึกใจหายไปด้วย จริงสิ...ทุกคนที่ไปกันเดนอาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก เหมือนอย่างคณะก่อนๆ ที่ไปกัน “ฉันลืมคิดถึงข้อนี้ไป ฉันจะพูดกับเธอใหม่แล้วกันนะคะ” พูดถึงตรงนี้รินเซนก็เดินเข้ามาพร้อมกับคั
หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ “หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา “อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง “ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!” “แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อ
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
ขบวนรถแล่นช้าๆ ไปตามทางภูเขาซึ่งทั้งแคบและลื่นเพราะเป็นหินปนกรวด อีกทั้งตลอดเส้นทางยังเปียกชื้นเนื่องจากน้ำละลายจากหิมะบนภูเขา รถจึงแล่นด้วยความเร็วไม่เกินยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามตามธรรมชาติ ด้านหนึ่งเป็นขุนเขา ส่วนอีกด้านเป็นทุ่งนาสลับทุ่งหญ้า ดอกหญ้าสีม่วง สีเหลือง สีคราม และสีขาวบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา ฝูงจามรีและฝูงแกะยืนและเล็มใบหญ้า รถแล่นผ่านทุ่งหญ้า ถัดไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน หุบเหว โตรกธารที่ไหลรวมกันเป็นสระกว้าง มีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง หาดทรายริมสระกว้างบ้างแคบบ้าง ถัดจากหาดทรายมีหญ้าขึ้นปกคลุมเป็นแห่งๆ แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอจะให้ร่มเงา ยิ่งสายแดดยิ่งร้อนแรงจนผู้โดยสารหลายคนในรถต้องรีบคว้าแว่นกันแดดมาสวมรวมทั้งเณรคัง ธีราหันไปเห็นเข้าก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ วิษณุมองตามแล้วพูดจาเหน็บแนมทันที “ฮึ! อย่างกับบ้านนอกเข้ากรุง” “พี่ณุ จะพูดจะจาอะไรระวังปากระวังคำหน่อยได้ไหม?” หญิงสาวกระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคน เพราะวิษณุนั่งอยู่ข้างๆเธอ ทว่าวิษณุกลับตอบกลับ “ก็พี่ไม่ชอบขี้หน้าพวกพระพวกเณรนี
หลังจากสุดเส้นทางที่รถยนต์จะแล่นถึง ผู้โดยสารทุกคนก็ต้องเดินเท้าต่อ แม้ธีรา วิษณุ และหลิงจะไม่ได้แบกสัมภาระอะไร แต่เนื้อตัวก็หนาหนักด้วยเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น จามิลแบกสัมภาระของตนเองพร้อมกับถือไม้เท้าพระธรรมเดินนำหน้าขบวน ตามติดด้วยเณรคังซึ่งแบกสัมภาระพะรุงพะรังไม่แพ้กัน นักบวชต่างวัยครองผ้าขนสัตว์ทับบนจีวรอีกชั้นหนึ่ง ธีราเห็นแล้วก็อดรู้สึกเหน็บหนาวแทนไม่ได้ วิษณุถืออาวุธปืนยาวติดมือและพกปืนสั้นเหน็บเอว แม้อาวุธสองสิ่งนี้จะทำให้หนักกว่าปกติหลายเท่าแต่เขากลับอุ่นใจเมื่อมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ ธีราเดินตามเป็นอันดับสี่ ตามหลังวิษณุ หญิงสาวมองขุนเขาสูงชันสลับซับซ้อนที่ดูราวไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละยอดเขาแซมสีขาวของน้ำแข็งและหิมะเห็นแล้วอดรู้สึกอ่อนใจไม่ได้ เพราะใต้รองเท้าของเธอเหยียบถูกน้ำแข็งบางๆ ที่ทำให้เส้นทางโรยด้วยกรวดหินค่อนข้างลื่น รินเซนและหลิงแบกเป้บรรจุของใช้กระจุกกระจิกส่วนตัวอยู่บนหลัง เดินตามธีรามาติดๆ ต่างชิงกันหวังเดินประกบธีรา เป็นศึกย่อยๆ ที่ไม่มีใครสนใจ บรรดาลูกหาบต่างแบกสัมภาระห่อใหญ่อยู่บนหลัง แม้จะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแต่ดูท
เบื้องหน้าเป็นหุบเหวลึก ส่วนซ้ายขวาเป็นขุนเขาสูงชัน ธีรามองหนทางข้างหน้าแล้วหันมามองจามิล พระหนุ่มผู้นำทางซึ่งบัดนี้ยืนอยู่ข้างเธอ “เรามาถูกทางแน่หรือคะ?” หญิงสาวถามอย่างลังเลใจ “ครับ” จามิลรับคำหนักแน่น “ตามแผนที่ชี้ตรงลงไปในหุบเขา แล้วยังต้องเดินตรงไปอีกราวยี่สิบกิโลเมตร” ธีราเม้มริมฝีปากก่อนจะสารภาพเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “ฉันกลัวความสูง” “อ้อ” จามิลพยักหน้าด้วยแววตาเข้าใจระคนเห็นใจ “ตอนปีนขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หันไปมองข้างหลังก็พอว่า แต่ต้องปีนลงหน้าผาสูงชันแบบนี้ ฉัน…เอ่อ…” หญิงสาวอธิบายไม่ถูก “ไม่ต้องกลัวครับ” จามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวผมจะหาทางพาคุณลงไปข้างล่างเอง คุณเพียงแค่หลับตาเท่านั้นก็พอ” “ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงเลย” หญิงสาวพูดอย่างจนปัญญา “คุณอย่าคิดมากสิครับ” จามิลยังไม่ทันพูดปลอบ วิษณุเดินเข้ามาพลางถามแทรก “มีอะไรหรือน้องธีรา?” “คือ…” ธีราตั้งใจจะตอบว่าเธอเป็นโรคกลัวความสูง แต่จามิลกลับพูดขัดขึ้นเสียก่อนว่า “พวกเราจะต้องไต่หน้าผานี้ลงไปด้านล่าง เลยหารือกันว่าจ
ระยะทางที่เดินในหุบเหวซึ่งขนาบข้างด้วยหน้าผาสองฟากยาวราวยี่สิบกิโลเมตร สิ้นสุดลงตรงหน้าผาชันที่ขวางหน้า ธีราหันมาสบตาจามิลเป็นเชิงถาม พวกเรามากันถูกทางหรือเปล่า? วิษณุพูดโพล่งทันที “นี่พามาผิดทางแน่ๆ” “ผมเทียบแผนที่แล้ว ทางนี้ถูกต้อง พวกเรายังต้องเดินหน้าต่อไปอีก” จามิลยืนยัน วิษณุชี้หน้าผาตรงหน้าพลางพูดเยาะเย้ย “เชอะ ตรงไป เห็นทีต้องขุดหน้าผากันแล้ว” แทนที่จะโกรธ จามิลกลับพูดว่า “คุณพูดจามีเหตุผล” พลางเดินสำรวจหน้าผาตรงหน้า คังเห็นศิษย์พี่สำรวจหน้าผาก็ทำตามบ้าง นักบวชต่างวัยเดินลูบๆ ตบๆ ตามผนังผา ครู่หนึ่งเณรน้อยก็ส่งเสียงเอะอะ “ไอ้เด็กเปรตมันว่าอะไรของมัน?” วิษณุเอ่ยไม่ดังนัก เจตนาจะถามหลิง ธีราได้ยินเข้าก็อดพูดตำหนิไม่ได้ “พี่ณุ ทำไมชอบพูดจาหยาบคายอย่างนี้” “เหอะน่า ยังไงมันก็ฟังไม่รู้เรื่อง” วิษณุพูดอย่างขอไปที “แต่ยังไงก็ไม่สมควรพูด” ธีรายังยืนยันความคิดเดิม วิษณุเลยพาลหงุดหงิด “เออๆ” “เณรว่าเขาพบทางเข้าแล้ว” หลิงพูดแทรก ทั้งหมดจึงหันไปมองเณรน้อย ก็เห็
จามิลถือคบไฟนำทางธีราเข้าไปในถ้ำเป็นคู่แรก วิษณุมองตามด้วยสายตาไม่ประสงค์ดีพร้อมกับสบถลั่น “ห่าเอ๊ย! เดี๋ยวขึ้นเขา เดี๋ยวลงเหว เดี๋ยวลุยหิมะ เดี๋ยวมุดถ้ำ เมื่อไรจะถึงสักทีวะ” ก่อนจะหยิบไฟฉายคาดหน้าผากมาสวมเพื่อส่องทาง หลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำตามบ้างพลางกระซิบ “หึงล่ะสิ?” “ผมไม่ชอบที่มันทำตัวใกล้ชิดธีรามากเกินไป” วิษณุพูดจาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นั่นแหละความรู้สึกที่เรียกว่าหึง” หลิงพูดพลางแกล้งยั่ว “พระคีรีมันไม่เหมือนพระเมืองจีนที่บวชแล้วบวชเลยไม่ค่อยสึก และก็ไม่เหมือนพระทิเบตบางนิกายที่มีภรรยาทั้งๆ ที่เป็นพระได้ แต่พระคีรีมันสึกออกไปครองเรือนมีเปอร์เซ็นต์สูงมาก” “คุณมาบอกผมทำไม?” วิษณุถามน้ำเสียงหงุดหงิด “เตือนให้คุณระวังเอาไว้ ดีไม่ดีแม่น้องสาวแสนสวยของคุณจะถูกพระคีรีมันฉกเอาไปครอง” หลิงพูดกึ่งประชดกึ่งแหย่ วิษณุสีหน้าบึ้งตึงก่อนพูดเสียงแข็ง “รอให้ไปถึงกันเดนก่อนเถอะ” มือขยับแตะปืนพกข้างเอวพลางกระซิบลอดไรฟัน “จะส่งมันไปสวรรค์” “คุณมองตาของผมนะ” จามิลกล่าวเสียงทุ้มลึก ธีรารู้สึกว่าเสียงนั้นซอกซอนเข
นางพญางูอาโลจนานึกถึงวัยเด็กของตนเอง... ณ ดินแดนรอยต่อระหว่างพิภพนาคากับดินแดนอสรพิษ มีน้ำตกสาดสายน้ำสีขาวสะอาดจากหินผาเบื้องบนลงสู่สระน้ำสะอาดใสราวกระจก มองเห็นกรวดหินรูปทรงกลมทรงรีหลากสีสันใต้ท้องน้ำ ริมสระมีดอกไม้หลายสีหลากชนิดขึ้นอยู่เต็ม เด็กชายหญิงสองคนนั่งเคียงคู่กันบนก้อนหินใหญ่ริมฝั่งน้ำ ต่างชี้ชวนกันดูก้อนหินกลมๆ ใต้ท้องน้ำ “ข้าชอบก้อนสีชมพู” “ได้สิอาโลจนา เดี๋ยวข้าจะเก็บให้เอง” เอ่ยจบเด็กชายกระโดดลงน้ำดำลงไปเก็บหินสีชมพูก้อนที่คิดว่าสวยที่สุด พอโผล่ศีรษะขึ้นเหนือน้ำก็ชูก้อนหินขึ้น “ก้อนนี้ใช่ไหมอาโลจนา?” เด็กหญิงส่ายหน้าช้าๆ พลางยิ้มหวาน “อ้าว” เด็กชายมีสีหน้าผิดหวัง ตั้งท่าจะขว้างก้อนหินในมือทิ้ง “อย่า!” เด็กหญิงร้องห้าม “ทำไมรึ?” เด็กชายถามพลางเลิกคิ้วที่มีปลายตวัดเป็นกระหนกอย่างเผ่าพันธุ์นาค “ข้าไม่ได้หมายถึงก้อนหินก้อนใดก้อนหนึ่ง ข้าชอบหินทุกก้อนที่เป็นสีชมพู เพราะมันมีสีเหมือนชื่อของเจ้าต่างหาก” นาคราชชมพูได้ฟังก็ยิ้มออก กระโจนขึ้นจากน้ำมานั่งเคียงข้างเด็กหญิงอีกครา โดยม
“ท่านน่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะคะ” ธีราพูดขัดขึ้น “นั่นขึ้นอยู่กับความพอใจของข้า” นางพญางูอาโลจนาเอ่ยน้ำเสียงเยาะหยัน “ท่านจะเอาความผิดหวังของตัวเองพาลใส่คนอื่นอย่างนั้นหรือคะ?” ธีราถามเหมือนรู้ความลับอะไรบางอย่างของอีกฝ่าย นางพญางูหันขวับมามองเธอจนเส้นผมสะบัดพลิ้ว “เจ้ารู้อะไร?” “ท่านผิดหวังในตัวพญานาคราชชมพู” เอ่ยจบหญิงสาวชาวไทยภาวนาขอให้ตนเดาถูกด้วยเถิด ดูเหมือนคำภาวนาจะสัมฤทธิผล สีหน้านางพญางูแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ “ใครบอกเจ้า?” “ไม่ต้องมีใครบอกหรอกค่ะ เพียงเห็นสีหน้าและท่าทางที่ต่างฝ่ายต่างพูดถึงกัน ก็พอดูออกว่าต่างมีใจให้กัน” ธีราตอบพลางยิ้มเล็กน้อย นางพญางูสะบัดหน้าพรืดพลางกระชากเสียงถาม “เขานะรึมีใจให้ข้า?” “จริงแท้แน่นอน” หญิงสาวรับคำแข็งขัน “ถ้ามีใจให้ข้าจริง ทำไมเขาต้องเกรงกฎเกณฑ์ประเพณีจนทอดทิ้งข้าล่ะ?” นางพญางูนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พวกผู้ชายไม่มีดีสักคน” แล้วหันขวับมาชี้หน้าจามิล “เจ้าก็เช่นกัน อ้างโน่นอ้างนี่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องสึกเพื่อหญิงที่เจ้ารัก”
“คุณรออยู่ตรงนี้ ผมจะลองเข้าไปดูก่อน” จามิลเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ได้ ถ้าไอหมอกนี่เป็นไอพิษล่ะ?” ธีราไม่เห็นด้วย “ยิ่งเกรงว่าเป็นไอพิษพวกเรายิ่งไม่ควรเข้าไปพร้อมกัน” พระหนุ่มให้เหตุผล หญิงสาวไม่มีข้อโต้แย้ง ทว่า… “ยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี” “แต่ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้นี่ครับ” พระหนุ่มเอ่ย “คิกๆๆ” เสียงหัวเราะดังแว่วจากด้านในของคูหาถ้ำที่กางกั้นด้วยไอหมอก “ใครหัวเราะนะ?” ธีราถามขึ้นลอยๆ “ท่านเป็นใครครับ?” จามิลถามอย่างสุภาพ “ข้าคืออาโลจนายังไงล่ะ!” เสียงตอบกลับสดใสไพเราะดังแว่ว “ท่านหัวเราะด้วยเรื่องอะไรคะ?” ธีราถามบ้าง “ข้าขำพวกเจ้านะสิ กล้ามาหาข้าแต่ไม่กล้าฝ่าไอหมอกพิษเข้ามา แล้วจะมีประโยชน์อันใด?” นางตอบ พระหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาวก่อนตอบนางพญางู “ท่านอนุญาตให้พวกผมเข้าพบแล้ว ทำไมต้องสร้างสถานการณ์ยากลำบากให้แก่พวกผมด้วยละครับ?” นางเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนย้อนถาม “พวกเจ้ามีเขี้ยวพญานาคราชมิใช่หรือ?” “พวกผมมีเขี้ยวพญานาคราชก็จริง แต่พวกผมไม่กล้าเสี่ยงกับพิษนางพญ
จามิลรีบดึงต้นแขนธีราให้หลบไปด้านข้าง พิษงูที่พ่นใส่จึงเฉียดกายหญิงสาวไปอย่างฉิวเฉียด ฟู่! พื้นหินในถ้ำถูกกัดกร่อน ควันพิษคลุ้งขึ้นเป็นเส้นสาย “ใจเย็นๆ ครับ ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน อย่าใช้แต่อารมณ์สิครับ” พระหนุ่มพยายามพูดจาไกล่เกลี่ย นางงูสาวชี้มายังธีราพลางว่า “นางมนุษย์เสียมารยาทต่อพวกข้าก่อน” “รีบขอโทษนางสิครับ” จามิลหันมาพูดกับหญิงสาว ธีราชี้อกตัวเองพลางย้อนถาม “ฉันนะเหรอ?” พระหนุ่มพยักหน้าแสดงสีหน้าขอร้อง หญิงสาวคิดในใจ ขอโทษก็ขอโทษ “ฉันขอโทษนะคะ เมื่อครู่ฉันแค่ล้อเล่น พวกคุณอย่าคิดจริงจังเลยนะคะ” สีหน้านางงูสาวดูท่าจะไม่ยอมรับคำขอโทษง่ายๆ นางงูตัวอื่นๆ พากันเลื้อยขึ้นจากน้ำตามมาสมทบ “ฆ่ามันเลยดีกว่า” นางงูที่เลื้อยมาทีหลังพูดยุยง “ใช่ๆๆ” หลายเสียงสนับสนุน ธีรามีสีหน้าซีดเผือด ตัวเดียวยังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วนี่ดาหน้ากันมาหลายสิบตัว หญิงสาวพานนึกถึงภาพนางงูพ่นพิษพร้อมๆ กัน พิษงูคงครอบคลุมเนื้อที่ภายในถ้ำทั้งหมด ไม่เหลือที่ให้เธอกับจามิลหลบพ้นเป็นแน่ “ใจเย็น
จามิลและธีราชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นน้ำตกกีดขวางตรงหน้า ยะมะชี้ไปที่น้ำตกพลางเอ่ย “หลังน้ำตกเป็นเส้นทางไปสู่แดนอสรพิษ เจ้าทั้งสองไปต่อเถอะ ข้าขอนำทางแค่นี้” พูดจบยะมะก็หันหลังเดินกลับทันที ทิ้งคนทั้งสองให้สบตากัน “ผมไปคนเดียวน่าจะดีกว่า” จามิลยังคงยืนกรานความคิดเดิม “จะให้ฉันรออยู่ที่นี่เหรอคะ?” หญิงสาวถาม “ครับ” เขารับคำ “ไม่” หญิงสาวรีบตอบปฏิเสธ “ร้อยไม่ พันไม่” “ทำไมคุณถึงดื้ออย่างนี้?” พระหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ไม่รู้ล่ะ คุณไปไหนฉันไปด้วย” หญิงสาวยังดื้อแพ่ง “ผมจะไม่ขัดใจคุณเลยถ้าที่นั่นเป็นสถานที่เที่ยวเล่น แต่ที่ๆ พวกเราจะไปกันมันอันตรายมาก” จามิลเอ่ย “การไปกันเดนก็อันตราย” หญิงสาวโต้ พระหนุ่มไม่มีข้อโต้แย้ง ในที่สุดก็ต้องจำใจพยักหน้า “ก็ได้ แต่คุณต้องระมัดระวังตัวให้มาก” “ค่ะ” หญิงสาวรีบรับคำ ทั้งสองมองม่านน้ำตกตรงหน้าอย่างชั่งใจ พระหนุ่มตัดสินใจเอื้อมมือมาจับมือธีราไว้ บีบกระชับอย่างให้กำลังใจ “พร้อมหรือยังครับ?” “ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” หญิงสาวตอบทั้งๆที่ใจยังเต้
ธีราหน้าซีดเผือด หันมาสบตาจามิลอย่างกังวล แต่พระหนุ่มยังคงวางตัวนิ่งเฉยไม่แสดงทีท่ากระวนกระวายใจแต่อย่างไร “ขอบคุณที่เตือน แต่พวกเราตั้งใจจะไปกันเดนให้ได้” จามิลพูดกับพญานาคราช “หนทางไม่ใช่ไปได้โดยง่าย” พญานาคราชเอ่ย ธีราลอบถอนหายใจ เมื่อครู่เธอเข้าใจผิดคิดว่าพญานาคราชจะทำร้ายเธอและคณะ แท้จริงเขาเพียงไม่เห็นด้วยกับการเดินทางไปยังกันเดนของเธอและคณะเท่านั้น “ผมทราบครับ แต่พวกเราไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่” จามิลพูดน้ำเสียงหนักแน่น “และผมต้องขอโทษแทนทุกคนด้วยที่มารบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่านในถ้ำนั้น” “ช่างเถอะ เรากำลังออกจากฌานพอดี” พญานาคราชตอบอย่างไม่ถือสาหาความ “แล้วคนที่มาพร้อมพวกเราละคะ?” ธีราเอ่ยถาม “เจ้าอยากพบคนพวกนั้นไหม?” พญานาคราชหันมาถามหญิงสาว “อยากค่ะ” หญิงสาวรับคำ “ก็ได้ เราจะให้นำคนพวกนั้นมาพบเจ้าเดี๋ยวนี้” พญานาคราชพูดพลางหันไปออกคำสั่งชายประหลาด “ยะมะ เจ้าไปนำพวกนั้นมา” “พ่ะย่ะค่ะ” ยะมะน้อมคำนับรับคำแล้วเดินผละจากไปอย่างว่องไว หลังจากยะมะออกไปแล้ว ธีราก็พนมม
“ท่านต้องการอะไร?” จามิลเบี่ยงตัวเข้าขวางเบื้องหน้าธีราพลางเอ่ยถามชายประหลาดผู้นั้น ชายผู้นั้นไม่ตอบเพียงเดินวนและมองชายหนุ่มหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณาหนึ่งรอบแล้วออกคำสั่ง “ตามข้ามา” ก่อนจะเดินลงน้ำผลุบหายไปต่อหน้าต่อตา จามิลจะก้าวตาม ธีรารีบรั้งแขนของเขาไว้ “นั่นคนหรืออะไรคะ?” พระหนุ่มจึงชะงักฝีเท้าหันกลับมาตอบ “คงจะเป็นชนเผ่านาคา” “คุณจะตามเขาไปจริงๆ เหรอคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ จามิลค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางเอ่ย “พวกเราอยู่ในถิ่นของเขา อะไรที่ดูไม่น่ามีพิษมีภัยก็ควรทำตามที่เขาสั่งไปก่อน” ทั้งสองหยุดสนทนาเมื่อเห็นชายประหลาดผู้นั้นโผล่เหนือน้ำพลางพูดเร่งรัด “อย่าชักช้า ตามข้ามาเดี๋ยวนี้” แล้วผลุบกลับลงไปใหม่ จามิลจูงมือธีราพลางว่า “พวกเราไปกันเถอะ ผมอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเน้นท้ายประโยคเพราะสัมผัสรับรู้ว่ามือของหญิงสาวสั่นระริก ธีราเดินตามพระหนุ่มลงน้ำ พอดำลงไปจึงรู้ว่าใต้น้ำมีอุโมงค์ที่ผนังส่องแสงสว่างระยิบระยับ อุโมงค์ทอดตัวไม่ยาวนัก เพียงอึดใจก็โผล่มาที่คูหาถ้ำแห่งหนึ่ง ชายปร
คูหาถ้ำตรงหน้าไม่ได้มืดมิดเพราะมีแสงสว่างส่องเล็ดลอดจากเพดานถ้ำลงมา แสงสว่างส่องกระทบผนังถ้ำจนดูเหมือนครอบด้วยแก้วใสอีกชั้นหนึ่ง เกิดการหักเหและสะท้อนไปมาของแสงมากมายนับพันนับหมื่นลำแสง ทั้งถ้ำสว่างไสว ส่วนพื้นถ้ำเป็นน้ำ แต่เป็นน้ำที่แข็งตัวราวกระจกใส สิ่งที่ทำให้ทุกคนยืนตะลึงจนตัวแข็งทื่อก็คือบนพื้นน้ำราวกระจกใสปรากฏงูยักษ์ตัวหนึ่ง เกล็ดเขียวราวมรกต ดวงตาสีแดงดังทับทิม มีหงอน เคราครีบหลัง และครีบหางสีแดงสดใส “นาค” จามิลกระซิบบอกธีราเสียงแผ่ว ไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดอ่านทำอะไร วิษณุกลับสาดกระสุนปืนใส่งูยักษ์หรือนาคตัวนั้นชนิดไม่ยั้ง ปัง! ปัง! ปัง! งูยักษ์แผ่พังพานมหึมาเหมือนโกรธ แม้ลูกกระสุนจะไม่ระคายผิวมันปลาบก็ตามที ก่อนจะหุบพังพานพุ่งตัวขึ้นสู่เบื้องบนอากาศแล้ววกกลับ หมุนควงสว่านพุ่งสู่พื้นน้ำ ตูมมมมม! พื้นน้ำแตกกระจาย น้ำใสราวกระจกเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำธรรมดา พร้อมกันนั้นที่เห็นเหมือนแก้วใสครอบผนังถ้ำก็แปรเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำไหลลงมาอย่างเร็วและแรง กระแสน้ำพัดพาทุกคนไหลลงไปรวมกันยังพื้นน้ำกลางถ้ำ ที่ขณะนี้กลายเป
“แย่แล้ว!” ธีราอุทานลั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เธอมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทิ้งกระติกน้ำที่ไม่ได้หมุนเกลียวปิดฝาให้สนิทไว้กับพื้น หญิงสาวกราดไฟฉายเพื่อมองหากระติกน้ำก็เห็นล้มกลิ้งอยู่กับพื้น ฝาเผยอเปิด น้ำนองพื้น เธอรีบคว้ากระติกน้ำขึ้น น้ำหนักเบามือทำให้รู้ว่าน้ำหกหมด ธีราหันไปสบตาจามิลด้วยสายตาขอลุแก่โทษ เธอน่าจะถนอมน้ำดื่มที่เขามีน้ำใจหยิบยื่นให้ให้ดีกว่านี้ พระหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเป็นนัยว่าไม่เป็นไร ก่อนหันไปคว้าสัมภาระขึ้นหลังและโบกมือให้สัญญาณเดินทางต่อ ธีรารีบหยิบสัมภาระส่วนตัวขึ้นแบกแล้วเดินตามเงียบๆ “อุ๊ย!” รินเซนอุทานเบาๆ หล่อนลืมตัวใช้มือข้างที่บาดเจ็บคว้าสัมภาระ “ผมช่วย” ต้าขันอาสา ชิงคว้าสัมภาระของรินเซนขึ้นหลังรวมกับสัมภาระที่ตัวเองแบกอยู่จนดูพะรุงพะรังน่าขัน รินเซนค้อนควักก่อนเร่งฝีเท้าตามติดธีรา ต้าเดินตามรินเซน ตามติดด้วยหลิง วิษณุ และหลง “ซวยฉิบ เดินทางโดยไม่มีแผนที่ อีกกี่ชาติจะไปถึงกันเดนวะ” วิษณุบ่นกระปอดกระแปดไม่เลิกรา หลิงรีบดึงแขนเสื้อวิษณุเพื่อให้เขาเดินช้าลง พอทอดระยะห