แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: หอมดังเดิม
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

ซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่

พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวง

แม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่น

หลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้น

เขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆ

บ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนาง

ภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป

ทว่า ความคาดหวังทั้งหมดกลับพังทลายลงแล้วในขณะนี้

จื๋อหยวนไม่เคยเห็นนางเสียใจเช่นนี้มาก่อน นางจึงกอดซูชิงลั่วไว้และปลอบโยนว่า "คุณหนูต้องระวังสุขภาพด้วย เรากลับเข้าไปข้างในกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ"

ซูชิงลั่วไม่ได้ตอบอะไร

หยาดน้ำฝนผสมกับหยาดน้ำตาหลั่งไหลลงมาบนใบหน้า

หยาดฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นสาย เมื่อถูกลมพัดก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน

ซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนตนเองเป็นใบไม้ที่ปลิดปลิวไร้ราก หมุนวนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสายลม ไม่อาจร่วงลงสู่พื้นดินได้

สายตามองเห็นเกี้ยวไม้จันทน์แดงซึ่งดูหรูหราโอ่อ่าคันหนึ่ง

มีคนสี่คนกำลังหามเกี้ยวเดินมาข้างหน้า ด้านหลังมีข้ารับใช้ในชุดสีเขียวเดินตามเป็นขบวน แต่เสียงฝีเท้ากลับดังพร้อมเพรียงท่ามกลางสายฝน

มีมือข้างหนึ่งยกม่านเกี้ยวขึ้น นิ้วเรียวยาวเห็นข้อกระดูกชัดเจน บนนิ้วหัวแม่มือสวมแหวนหยกสีเขียวน้ำทะเลอยู่วงหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชาที่แฝงความหงุดหงิดเล็กน้อยดังขึ้น

“บ่าวที่ไหนกันไม่รู้จักกฎระเบียบเช่นนี้?”

เมื่อซูชิงลั่วได้ยินเสียงนี้ก็ตกใจ

นางจำแหวนหยกวงนี้ได้ เพราะนางเป็นคนมอบออกไปเอง

คนที่มาคือ...ลู่เหิงจือ?

เมื่อหกปีก่อน ตอนที่พ่อของนางเสียชีวิต น้าลู่โย่วมาช่วยจัดการงานศพพ่อให้โดยมีเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีติดตามมาด้วยคนหนึ่ง คนนั้นก็คือลู่เหิงจือ

ตอนนั้นนางรู้ว่าลู่เหิงจือเป็นบุตรหลานของบ้านตระกูลลู่ที่เกิดจากภรรยาน้อย น้าชายของนางพาเขามาเลี้ยงดูข้างกายเพื่อสั่งสมประสบการณ์

ระหว่างทางกลับจากจินหลิงไปยังเมืองหลวง พวกเขาถูกดักปล้นโดยโจรสลัด ลู่เหิงจือได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องนาง รอยฟันจากดาบบนแขนของเขายาวถึงสามนิ้ว

หลังจากกลับถึงเมืองหลวง นางรู้สึกขอบคุณเขา จึงสั่งให้คนส่งของขวัญไปให้ รวมถึงแหวนหยกวงนี้ด้วย

ใครจะคิดว่าเพียงแค่หกปี ลู่เหิงจือจะก้าวขึ้นมาเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เป็นคนโปรดของฮ่องเต้

แม้แต่บ้านตระกูลลู่เองก็ยังต้องยอมวางทิฐิและรับเขากลับเข้ามาอยู่ในวงศ์ตระกูล โดยให้บันทึกชื่อไว้ภายใต้การเลี้ยงดูของบ้านใหญ่

ตั้งแต่นั้นมา ซูชิงลั่วก็ต้องเรียกเขาตามมารยาทว่า "พี่สาม"

แม้จะอยู่ภายใต้ชายคาบ้านตระกูลลู่ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายต่างตระกูลและอยู่ในส่วนของบ้านใหญ่ ส่วนนางเป็นผู้หญิงและมักอาศัยอยู่ในบ้านสอง นอกจากจะได้พบกันไกลๆ ในช่วงเทศกาลแล้ว ทั้งสองคนก็แทบไม่มีโอกาสพบกันมากนัก

จากการพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ซูชิงลั่วรู้สึกว่าเขามีบุคลิกที่โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ และก็ดูจะเงียบขรึมเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

นางเคยได้ยินเรื่องลู่เหิงจือในราชสำนักว่าเป็นคนมีความสามารถสูงและใช้มีวิธีการที่รุนแรงในการกำจัดศัตรูทางการเมืองมากมาย ครั้งหนึ่งเขาเคยสั่งโบยคนใช้ที่ขโมยหนังสือจนถึงแก่ความตาย

ทุกคนในตระกูลลู่ต่างหวาดกลัวยมทูตหน้าตายผู้นี้กันทั้งสิ้น

ดังนั้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเขา ซูชิงลั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ เสียใจที่ตนเองไม่ควรทำตัวหุนหันพลันแล่นมาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนี้

เขาคงไม่ถึงขั้นสั่งลงโทษนางหรอกกระมัง

ม่านเกี้ยวเพียงแค่ยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้มองใบหน้าของคนในเกี้ยวไม่ชัด

จื๋อหยวนตกใจจนไม่กล้าเงยหน้า กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ขออภัยคุณชายเหิงที่สาม เป็นคุณหนูซูจากบ้านสองที่ข้อเท้าพลิกโดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทกับท่าน โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ"

ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากคนในเกี้ยว จากนั้นไม่นาน เกี้ยวก็ถูกวางลง

ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้น

รองเท้าหุ้มส้นยาวสีดำคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นหินสีเขียว ชายคนนั้นค่อยๆ เดินออกมา ทันใดนั้นร่มกระดาษน้ำมันสีขาวก็ถูกยกขึ้นเหนือศีรษะของเขา ขณะเดียวกันชุดคลุมกันลมสีขาวก็ถูกคลุมลงบนตัวเขาเช่นกัน

ลู่เหิงจือสวมเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินพระราชทาน ไหล่กว้าง เข็มขัดหยกที่รัดรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูสง่างามและภูมิฐาน

แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูเหมือนไร้ซึ่งอุณหภูมิใดๆ เขามองดูนางอย่างเย็นชา

ซูชิงลั่วรีบก้มหน้าใช้ผ้าเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า รู้สึกว่าตัวเองดูน่าอนาถมาก

ในวินาทีต่อมา ลู่เหิงจือก็เดินเข้ามาใกล้ ถอดชุดคลุมกันลมสีขาวบนร่างกายของตัวเองคลุมลงบนตัวนาง จากนั้นก็ยื่นมือไปรับร่มมากางให้นางด้วยตัวเอง

ซูชิงลั่วตกใจจนลืมที่จะปฏิเสธไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีชุดคลุมก็อยู่บนตัวของนางเรียบร้อยแล้ว

ไม่ได้เห็นลู่เหิงจือในระยะใกล้ขนาดนี้มานานแล้ว เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และสูงขึ้นมากด้วย เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกระทบลงบนร่มก็เกิดเป็นเสียงอึนๆ คล้ายเมล็ดถั่วหล่นลงบนกลอง

เสียงของเขาก็เหมือนกับเม็ดฝนที่ตกกระทบลงในหัวใจของนาง

"ใครรังแกเจ้า?"

เสียงพูดเรียบเฉยแต่หนักแน่น

ความคับแค้นใจที่ซูชิงลั่วพยายามกลั้นไว้กลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง

นางทำได้เพียงตอบว่า "ไม่มีหรอก ข้าแค่ข้อเท้าพลิกเท่านั้น"

ลู่เหิงจือก้มลง สายตาของเขาจ้องตรงมาที่นาง เหมือนพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง

นางเริ่มรู้สึกอึดอัด "หากท่านสามไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน"

เสียงฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับจังหวะหัวใจของนางในขณะนี้

ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบรับเบาๆ

โชคดีที่เขาไม่ถามอะไรต่อ

ขณะที่นางกำลังจะหันไป ซูชิงลั่วก็นึกถึงชุดคลุมกันลมบนตัว กำลังจะถอดออก แต่ก็ได้ยินเสียงของเขาพูดว่า "ใส่ไว้"

น้ำเสียงเชิงบังคับ

ซูชิงลั่วไม่กล้าขยับตัวอีก ได้แต่พูดเสียงเบาว่า "เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านสาม"

ท่านสาม?

ลู่เหิงจือก้มศีรษะลง นานแล้วที่ไม่ได้มองนางใกล้ขนาดนี้

ที่แท้เด็กสาวผู้สูงศักดิ์และงดงามก็สูงขึ้นมากแล้ว เส้นผมสีดำขลับตรงหน้าผากชื้นเปียกจากสายฝน หยดน้ำบนใบหน้าที่เช็ดออกไม่หมดยิ่งขับให้ผิวนางดูขาวผ่องราวหิมะ ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดสีแดงเข้ม เอวบางราวกับจะบีบได้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาว

เมื่อสามปีก่อนที่งานเลี้ยงครอบครัวได้พบกันเพียงชั่วครู่ ตอนนั้นนางยังเรียกเขาว่าพี่สามตามคนอื่นๆ อย่างว่าง่ายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเรียกเขาว่าท่านสามอย่างห่างเหินซะแล้ว

สายตาของลู่เหิงจือฉายแววไม่พอใจ

หรือเป็นเพราะกำลังจะแต่งงานกับคนผู้นั้นงั้นหรือ?

แต่ทำไมถึงดูทุกข์ใจและร้องไห้อยู่ที่นี่? คนผู้นั้นรังแกนางงั้นหรือ?

ซูชิงลั่วรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ดูขรึมลงของลู่เหิงจือ แต่ก็ไม่รู้สาเหตุ และไม่กล้าอยู่ต่อ นางย่อตัวทำความเคารพเขาและเตรียมตัวจะจากไป

ตอนหมุนตัวกลับ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้ามร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นยังคงอยู่บนไหล่ของเธอ ส่วนตัวของลู่เหิงจือกลับเปียกฝนไปครึ่งตัว

นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าลู่เหิงจือไม่เห็นเหมือนที่คนอื่นพูดกันว่าไร้เหตุผลตรงไหนเลย

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น อีกทั้งมีเสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงปร้าง

"เจ้าไปก่อนเถอะ" ถึงลู่เหิงจือจะกล่าวด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่เขาก็ยื่นร่มให้กับนาง ส่วนเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว จนเปียกฝนไปทั้งตัว

ซูชิงลั่วเข้าใจดีว่าเขาเป็นชายต่างตระกูล คงไม่สะดวกที่พวกเขาจะกลับเข้าทางประตูข้างพร้อมกัน

เดิมทีร่มนี้นางไม่ได้อยากรับไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขา นางก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงรับร่มแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ จึงเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้าประตูข้างมา นางถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเดินกลับไปยังเรือนของตน

การกลับมาในสภาพเปียกปอนเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทอย่างมาก แต่โชคดีที่ในบ้านตระกูลลู่นางก็มีฐานะแค่กึ่งเจ้านายเท่านั้น จึงไม่มีใครสนใจนางมากนัก

เพิ่งเดินเข้ามาถึงลานบ้าน นางก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวายและเสียงดุเข้มของหญิงชราจากด้านนอก

"ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ ท่านอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน คุณชายเหิงที่สามของพวกเรากลับมาแล้ว ทุกคนตั้งใจทำงานให้ดี หากใครทำผิดช่วงนี้ ข้าจะไม่ไว้หน้าเด็ดขาด"

ในใจของซูชิงลั่วเต้นระส่ำอย่างบอกไม่ถูก
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
หมวย สะใภ้เหนือ
อยู่ๆ บัญชีเดิมหายไปหมด ที่อ่านไปแล้วหลายตอน หลายเรื่องหายหมด ต้องมาเสียเงินจ่ายซื้อบทซ้ำอีกครั้ง เสียความรู้สึกกับระบบจริงๆ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะยาวกี่บท ลองอ่านแค่เรื่องเดียวก่อนละกัน พอกันทีกับการอ่านหลายเรื่อง แย่จริงๆ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status