“อะ...แฮ่ม! ฮวาเอ๋อร์ ไท้เอ๋อร์ ผู้นี้คือท่านน้าฟง เป็นน้องชายบุญธรรมของท่านแม่ และจะมาเป็นอาจารย์ของพวกเราอีกด้วย ส่วนด้านหลังคือเงาปีศาจ ผู้คุ้มกันที่ท่านตากับท่านลุงมอบให้แก่เราสามคน”
หยางเจี่ยนกระแอมไอ เพื่อเรียกสติของน้องสาว นับตั้งแต่ไม่ต้องจับปืนไล่ล่าคนร้าย ดูเหมือนน้องสาวของเขา จะมีความเป็นผู้หญิงและเด็กมากขึ้น จนเรียกว่าล้นเหลือเลยทีเดียว
“ฮวาเอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงเจ้าค่ะ”
“ไท้เอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงขอรับ”
“ข้ามิอาจเอื้อมขอรับ”
“ไม่มีสิ่งใดผิดหรอกเจ้าค่ะ เราคือผู้อ่อนวัย เคารพผู้มากวัยกว่านั้นย่อมถูกต้อง ศีรษะเราก้มให้ผู้ที่ควรก้ม นั้นไม่มีสิ่งใดมิควรเลยเจ้าค่ะ”
ฟงและเงาปีศาจต่างรู้สึกปีติอยู่ภายในใจ คุณหนูจางฮุ้ยเหมยช่างสอนสั่งบุตรธิดาได้ดีเยี่ยมนัก ฉลาดรู้พูดมิไร้ความคิด สมแล้วที่เป็นสายเลือดสกุลจาง
“ขอรับ”
ฟงได้แต่ตอบรับอย่างจำยอม สมแล้วที่เป็นแฝด ไม่มีความต่างกันสักนิดเลย
“มาเถอะเจ้าค่ะ จะเที่ยงแล้วข้ารู้สึกหิว เรามาย่างปลากินกัน พี่ใหญ่ท่านว่างูตัวนั้น ถ้านำมาต้มจะอร่อยแค่ไหนนะ”
“ลองดูก็ไมเสียหายนี่ แต่เจ้าคือคนแรกที่ต้องชิมนะ”
“อย่าเลยขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง ข้าว่าป่านนี้พิษคงเข้าไปในเนื้อมันหมดแล้ว”
“อ่า! น่าเสียดายยิ่งนัก เขาว่าเนื้องูนั้น ยิ่งพิษแรงยิ่งเพิ่มพลังได้ดี”
ป๊อก! หยางเจี่ยงดีดหน้าผากน้องสาวแรง ๆ หนึ่งที โทษฐานที่นางกำลังสอนความเชื่อผิด ๆ ให้แก่น้องชาย
“จริงหรือขอรับพี่ใหญ่”
“หากเชื่อนาง เจ้าคงต้องไปจับแม้แต่คางคกมากินแล้วล่ะไท้เอ๋อร์ น่าตีนักนะฮวาเอ๋อร์ ทำไมต้องไปหลอกน้องเช่นนั้น”
“ข้าก็แค่หยอกเล่นน่า...พี่ใหญ่คิดมากไปเอง”
เหลียนฮวาลูบหน้าผากตนเอง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกว่าให้กับทุกคน ทั้งหมดล้อมวงกันกินปลา โดยเงาปีศาจสามคนลงไปหามาเพิ่ม การสนทนาเป็นไปอย่างสบาย ๆ ไม่มีสิ่งใดต้องเคร่งเครียด
หยางเจี่ยนได้แจ้งถึงความต้องการของเขา เพื่อให้ฟงช่วยเป็นธุระจัดการ เขาในตอนนี้ไม่สะดวกนักที่จะลงมือ เพราะนอกจากจะถูกจับตามองจากสกุลหรง เรื่องทั้งหมดยังให้มารดารู้เห็นไม่ได้อีกด้วย
เวลาบ่ายคล้อย
ก่อนออกจากป่า หยางเจี่ยนได้ไหว้วานให้ทุกคนช่วยกันหาของป่า มิว่าไก่ป่า เห็ด ผัก เพื่อไม่ทำให้มารดาเกิดความสงสัย แน่นอนว่าสามพี่น้องได้เตรียมคำพูดที่ตรงกัน เอาไว้เป็นอย่างดี
ทางด้านจางฮุ้ยเหมยในตอนนี้ ได้เดินกลับไปกลับมาด้วยความเป็นห่วงลูก ๆ ทุกครั้งจะมีเพียงบุตรชายคนโตเท่านั้นที่เข้าป่า ครานี้บุตรสาวได้ขอติดตามพี่ชายเข้าป่าไปด้วย แต่ไม่คิดว่าหยางไท้จะหายตัวไปอีกคน
“วันนี้พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าสักครั้ง ไท้เอ๋อร์”
หยางเจี่ยนก้มลงพูดกับน้องชาย เมื่อมองเห็นมารดาที่เหมือนกำลังไม่สบายใจ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องน้องชายคนเล็ก ที่แอบตามพวกเขาไป โดยไม่ได้บอกมารดาเอาไว้ก่อน
“ขอรับพี่ใหญ่”
“แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องรับโทษ แค่มันจะเบามากในครั้งนี้ หากมีครั้งต่อไป พี่จะทำโทษเจ้าด้วยตนเองเข้าใจหรือไม่”
“ข้าขอโทษขอรับ ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วขอรับ”
“ดีมาก เราเข้าไปกันเถอะ”
หยางเจี่ยนคิดขำ ๆ อยู่ในใจ ต่อไปจะต้องแอบติดตามเขาทำไมเล่า ในเมื่อเจ้าตัวแสบรู้เห็นทุกอย่างหมดแล้วนี่
หยางไท้เดินหลบอยู่หลังพี่สาว เพราะตอนนี้มารดากำลังมองมาที่พวกเขา เด็กชายยังคงกลัวที่จะถูกลงโทษ แม้ว่าจะใจชื้นขึ้นมาบ้างตอนที่พี่ชายยืนยันจะช่วย แต่สายตาของผู้เป็นแม่ มันช่างสวนทางกับสิ่งที่พี่ชายพูดยิ่งนัก
จางฮุ้ยเหมยมองไปลูก ๆ ใจที่ว้าวุ่นเมื่อครู่พลันสงบลง แต่ความกรุ่นโกรธเหมือนกำลังจะเข้ามาแทนที่ หญิงสาวส่งสายตาคาดโทษไปให้กับบุตรชายคนเล็ก ที่ทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ด้านหลังของบุตรสาว
“ไท้เอ๋อร์!”
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าได้ไก่มาหลายตัว มีกระต่ายด้วยนะขอรับ แล้วข้าสอนฮวาเอ๋อร์ ให้รู้จักเห็ดป่าหลายชนิดด้วยนะขอรับ ข้าอยากกินกระต่ายย่าง ท่านแม่พอจะทำให้ข้ากินได้หรือไม่ขอรับ”
หยางเจี่ยนชิงพูดขึ้นก่อน ทำให้ได้รับสายตาค้อนจากผู้เป็นแม่ มีหรือนางจะไม่รู้ว่าหยางเจี่ยนกำลังช่วยน้องชาย นางไม่อาจทำลายน้ำใจของลูก ที่เข้าป่าหาอาหารเพื่อทุกคนในบ้าน จำต้องนิ่งเงียบเอาไว้เสีย
“พวกเจ้าก็ไปอาบน้ำกันก่อนเถอะ แม่จะไปทำอาหารให้”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
สามพี่น้องรับคำ หมับ! หยางไท้วิ่งเข้าสวมกอดมารดา จางฮุ้ยเหมยก้มมองบุตรชายคนเล็ก ที่ตอนนี้เงยหน้ามองนาง พร้อมส่งสารตาเศร้าสร้อยมาให้นาง
“ท่านแม่ข้าขอโทษ ที่แอบตามพี่ใหญ่ กับพี่รองเข้าป่า ข้าแค่อยากหาอาหารเป็นบ้างก็เท่านั้นขอรับ”
“ครั้งนี้แม่จะไม่ลงโทษเจ้า แต่หากมีคราวหน้า แม่จะเฆี่ยนเจ้าให้หลังลาย”
“ขอรับท่านแม่”
หยางไท้ยิ้มแต้ ก่อนจะปล่อยให้มารดาเข้าครัว เด็กชายหันไปส่งยิ้มให้พี่ ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปจูงมือของทั้งคู่ เดินเข้าไปด้านในกระท่อม
“หึ ๆ เจ้าตัวแสบ”
หยางไท้หัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปสบตากับน้องสาว เขารู้ดีว่าเหลียนฮวาเป็นคนส่งสัญญาณให้น้องชาย เพื่อเข้าไปกล่าวสำนึกผิดกับมารดา นี่เพียงแค่เริ่มต้น หยางไท้ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก มิเว้นแม้แต่พวกเขาเองด้วยเช่นกัน
ถึงในชีวิตเก่าจะอายุสามสิบแล้ว แต่ในโลกใบใหม่นี้ พวกเขาใช่จะรู้ไปเสียทุกเรื่อง พรุ่งนี้คือวันแรกสำหรับการเรียนรู้เรื่องการต่อสู้ และอีกหลายอย่าง ที่เขาต้องนำชีวิตในอดีต เพื่อมาประยุกต์ใช้กับปัจจุบันนี้
สามพี่น้องยังคงทำตัวปกติ โดยตอนกลางคืนออกไปฝึกวิชากับผู้เป็นน้าชายและเงาปีศาจ หยางเจี่ยนจะให้ลุงสือก่อไฟไล่ยุงในทุกค่ำคืน โดยไม่ลืมใส่หญ้าบางชนิดเข้าไปในกองไฟ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับชนิดอ่อน ๆ เพื่อให้มารดาและป้าโจวกับเสี่ยวเตี๋ยหลับสนิทขึ้น โดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นมาพบตอนพวกเขาหายออกจากบ้าน ทั้งยังเพิ่มการพักผ่อนของทั้งสามคนอีกด้วย
ห้าวันถัดมา ณ ร้านผ้าสกุลจาง จางเหลียนฮวา ได้ก้าวเข้ามาภายในร้าน พร้อมสาวใช้ข้างกายสองนาง การมาของหญิงสาว เรียกสายตาของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ ที่อยู่ภายในร้านผ้า ให้หันมองเป็นจุดเดียว ด้วยความงามที่โดดเด่น และเป็นหญิงสาวแปลกหน้า สำหรับใครหลายคนในเมืองหลวง หากจะมีคนรู้จักนาง ก็คงเป็นคนที่ไปร่วมงานวันเกิด ของท่านราชครูหรงเท่านั้น จึงจะรู้ว่านางคือบุตรสาวคนโต ที่กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเสนาบดีหรงจิ่ง “นางงดงามยิ่งนัก ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย จึงรอนางโดยไม่คิดถอนหมั้น” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่ากลับไม่เบาสำหรับหญิงสาวอีกคน ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต้วนชิงชิงกำหมัดแน่น หากไม่เพราะหรงเหลียนฮวา มีหรือคนรักของนาง จะเอาใจออกห่าง จนทำให้นางต้องแต่งกับคนอื่น “คุณหนู เชิญด้านในขอรับ” ผู้ดูแลร้านก้าวเข้ามาโค้งกายให้นายสาว ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญผู้เป็นนาย ให้เข้าไปนั่งด้านใน “ท่านอาเมิ่งสบายดีนะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้ดูแลร้าน “ข้าน้อยสบายดีขอรับ คุณหนูกับคุณชายมาถึงเมืองหลวง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก มิได้เข้าไปคาร
“หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าจะมอบตำแหน่งที่คู่ให้” “กระบี่เจ้า! ควบคุมมันมิให้สั่นได้เสียก่อน ค่อยคิดสิ่งอื่นดีกว่าไหม…” หญิงสาววางถ้วยชาลง บนโต๊ะอย่างใจเย็น พรึ่บ! ปึก! เคร้ง! รวดเร็วจนชายหนุ่ม ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ กระบี่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนที่เขาจะเบนสายตา ไปมองยังหญิงสาว ซึ่งตอนนี้กลับไปนั่งยังที่เดิม เสมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ มันมิใช่ฝีมือของนาง “จะลงมือกับใครก็ตาม เจ้าต้องศึกษาอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้ง หึๆ ยังดีที่ตรงนี้เป็นข้า ถ้าเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งสอง เจ้าคงไม่ได้ยืนต่อคำ เกินชั่วอึดใจ...” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าถอดสี เขาไม่คิดว่าแผนการที่แยบยล จะถูกล่วงรู้จนหมดสิ้นเช่นนี้ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็ว!” อ๋องน้อยโหว ตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่ากลับไร้ซึ่งวี่แวว ชายหนุ่มรีบย่อกายลงเก็บกระบี่ โดยที่สายตา หาได้ละไปจากร่างงาม ที่นั่งดื่มชาอย่างเพลิดเพลิน ราวกับเขาที่อยู่ร่วมห้อง เป็นเพียงอากาศธาตุ “หึๆ มิใช่เจ้าสั่งห้ามใครมารบกวนหรอกหรือ แต่คนของข้าอยู่ข้างนอกนะ เรียกได้...” “หญิงแพศยา! สตรีมีคู่หมาย
ยิ่งไม่เคยรู้ถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขายิ่งต้องรีบเผด็จศึก ให้ได้โดยไว จึงมิคิดที่จะลีลาให้ตนเอง กลายเป็นฝ่ายเสียท่า สิ้นคำของชายหนุ่ม เงาร่างในชุดสีดำสองคน ก้าวออกจากหลังฉากกั้น ซึ่งเป็นส่วนด้านหลังห้องที่มีหน้าต่าง “อือๆ” เจ้าของจวนทำได้แค่...ส่งเสียงทัดทานในลำคอ ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านการกระทำใดๆ ของชายชุดดำได้เลย อาภรณ์เนื้อดีถูกถอดออก จนแหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนที่ชายชุดดำจะดึงมีดเล่มเล็กออกมา “นายหญิง โปรดพักผ่อนรอสักครู่ขอรับ” ชายผู้ถือมีดเอ่ยกับผู้เป็นนาย จินอู่หันหลังให้ พร้อมสะบัดมือเล็กน้อย เพื่อให้คนของเขา ลงมือได้แล้ว หากไม่ติดว่าที่นี่ คือถิ่นศัตรู...คำว่าเงียบเสียง จะไม่มีเลยสำหรับเขา ความเจ็บปวดของศัตรู ควรประกาศให้โลกรู้ แต่เมื่อสถานที่ไม่อำนวย เขาก็ไม่ติดที่จะลงมืออย่างเงียบๆ โหวอ๋องดวงตาเหลือกลาน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่ออาวุธคู่กายของเขา กำลังถูกเฉือดเฉือนประหนึ่งหนูถูกถลกหนัง แม้มันจะไม่รู้สึกเจ็บ ทว่าใจของบุรุษแท้เยี่ยงเขา มันแหลกละเอียดจนมิเหลือชิ้นดี “สกุลโหว ควรสิ้นสุดที่เจ้าสองพ่อลูก อย่าได้สร้าง
“คุณหนูเฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นสาวใช้อาวุโส ที่เอ่ยถามกับสาวใช้สกุลเฉิน และผู้ติดตามหนุ่ม “คุณหนูดื่มยาแก้เมา และหลับอยู่เจ้าค่ะ” เจินจู ตอบสาวใช้สูงวัย ก่อนจะเหลือบตามองไปยัง สาวใช้ของอนุหรู สตรีผู้เพียรพยายามรั้ง ให้คุณหนูของนางพักในจวน “ข้าจะมาเชิญคุณหนูเฉิน กลับเข้าพักยังเรือนรับรอง ด้วยตอนนี้เฉินฮูหยิน ได้พักผ่อนรออยู่แล้ว” “หากไม่มีคำสั่งใดจากปากของฮูหยิน ข้าคงมิอาจปล่อยให้คุณหนูห่างสายตา เอาเป็นว่าข้าจะให้เจินจู ติดตามท่านเข้าไปพบฮูหยินของเราก็แล้วกัน” “นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง ที่มิอยากให้ผู้ใดตำหนิ ว่าดูแลแขกไม่ดี” หญิงชราตวัดสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ผู้ไร้ความยำเกรงในอายุและฐานะของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉย แม้เพียงครึ่งเสี้ยงของใบหน้า นางก็รู้ดีว่าคนผู้นี้ ไม่ได้สะท้านต่อคำของนางเลย “งานเลี้ยงกับคนเมามาย ย่อมเป็นของคู่กัน และมิใช่ทุกคนที่ต้องการพักในจวนของเจ้าภาพ คุณหนูอยู่ในรถม้าแล้ว รอเพียงฮูหยินกลับออกมา เราก็พร้อมกลับจวน” จากความอ่อนน้อม พลันเป็นดุดัน จนทำให้ชายหนุ่มหลายคน ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส
“สามหาว! เจ้ากล้าข่มขู่ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นรึ!” “ทำไมข้าต้องขู่ผู้ใดด้วย อีกอย่างถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปไย แค่คุณหนูเฉินจะกลับบ้านตนเอง หรือมีสิ่งใดเป็นนอกในอย่างนั้นรึ! ดูรั้งนางจนออกหน้าเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มเอียงหน้าช้า พร้อมมุมปากบิดขึ้นน้อยๆ การกระทำนั้นชวนให้อนุคนงาม หนาวสะท้านไปทั้งกาย บุรุษที่น่ากลัวย่อมเป็นคนที่มีหลากหลายบุคลิก ซึ่งปกติแล้วหรงเล่อถงสุขุมนุ่มลึก ทว่าตอนนี้...เขายิ่งกว่าคนจิตวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น “นอกในอันใดกัน นางเป็นแขกของสามีข้า การดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” “เช่นนั้นหลีกทางข้าเถิด อนุหรู” หรงเล่อถง กดน้ำเสียงให้ลึก และชัดเจนว่าเขาพร้อมขัดขวางเรื่องนี้ อย่างไม่คิดยินยอมปล่อยผ่าน ต่อให้สตรีที่กำลังตกที่นั่งลำบาก มิใช่พี่น้อง เขาก็คงปล่อยให้สตรีเหล่านั้น แปดเปื้อนจากคนโสมมได้เป็นอันขาด ถึงเขาจะมิใช่คนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขามีพี่สาวน้องสาว พวกนางจะเป็นเช่นหากต้องอยู่อย่างอดสู แบกรับความอัปยศไปทั้งชีวิตเฉินหนิงฮวาในตอนนี้ ดวงตาปรือจนแทบจะปิดแล้ว ชายหนุ่มพอจะเดาได้ ว่าเกิดจากสาเ
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไรลูกข้า!” เจียงชูเหนียง รีบผลักร่างของคนสนิทออก ก่อนจะหันไปหาบุตรชาย มือบางหมายจะเอื้อมไปแตะ ที่ข้างแก้มของผู้เป็นลูก ทว่าร่างสูงกลับเบี่ยงกายหลบ “อย่าล้ำเส้นข้าอีก มิเช่นนั้น...ข้าจะไม่ใจดีเช่นครั้งก่อน” “ครั้งก่อน...” เจียงชูเหนียง ถึงกับเซถอยหลัง คนของนางไม่เคยลงมือกับบุตรชาย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทั้งคู่เคยปะทะกัน เมื่อปีก่อนที่อารามบนเขา แววตาแตกตื่นทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของบุตรชาย ที่กลืนหายไปในความมืด “ไหนเจ้าบอกว่า เขาไม่เห็นเจ้าอย่างไรเล่า แล้ว...หรือเจ้าทำนอกเหนือจากที่ข้ารู้” “เขาก็แค่หยั่งเชิงเรา เจ้าอย่าได้เผยพิรุธจะดีกว่า เลือดในกายเขามีของเจ้าแค่ครึ่งเดียว อย่าคาดหวังให้มาก ว่าเขาจะเหมือนเจ้า เพราะขนาดพ่อแท้ๆ เขายังไม่เหมือนเลย กลับไปได้นิสัยของยายแก่ แม่สามีเจ้ามาแทบทั้งสิ้น” “พูดเรื่องนี้ก็ดี เจ้าหานางพบรึยัง!” “ยัง! หรงเล่อถงไม่เคยเผยร่องรอย ให้ข้าตามไปจนถึงตัวยายแก่นั้นได้เลย” “อย่าช้า! นางรู้เรื่องมากเกินไป หากปล่อยไว้ เล่อถงต้องคิดแปรพักตร์” “เหม