LOGIN“ท่านน้าฟงต่อจากนี้ คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
หยางเจี่ยน เรียกฟงตามเนื้อความในจดหมาย ทำให้ฟงตกใจกับคำเรียกขานของผู้เป็นอยู่ไม่น้อย
"มิได้ขอรับ ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่อาจเสมอนายขอรับ"
ฟงกล่าวปฏิเสธทันที พรางคิดหาคำตอบ ว่าไยคุณชายถึงเรียกตนเช่นนั้น
"ไม่ผิดหรอก ท่านน้าเรียกท่านแม่ของข้าว่าพี่สาว ท่านตาเรียกท่านว่าลูกบุญธรรม ข้าผู้เป็นหลานจะหาญกล้าเรียกท่านน้า เสมือนผู้รับใช้ได้อย่างไรเล่าขอรับ ดังนั้นข้าเรียกท่านน้าแบบนี้ถูกแล้วขอรับ"
ชายหนุ่มจนด้วยคำพูด เมื่อหลานชายยกบิดาบุญธรรมกับพี่สาวบุญธรรมมากล่าวอ้าง เพื่อให้เขายอมจำนน หากจะว่าคุณชายจางหย่งสือมากด้วยเล่ห์กล จนหาผู้ใดเปรียบมิได้ เขาว่าตอนนี้น่าจะเป็นคุณชายใหญ่หรงหยางเจี่ยนนี่กระมัง ที่กำลังจะเป็นตัวแทนของพี่ชายบุญธรรมของเขา
"ฮวาเอ๋อ ไท้เอ๋อร์ พวกเจ้าขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เล่นน้ำกันนานเกินไปแล้วนะ"
หยางเจี่ยนเรียกน้อง ๆ ที่เล่นน้ำอยู่ที่แอ่งน้ำตกเบื้องล่าง ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งสองคน หรือแม้แต่เสียงหยอกล้อให้ได้ยิน หยางเจี่ยนขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดจึงไร้การตอบรับจากทั้งคู่ เพราะก่อนหน้านี้เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายังได้ยินเสียงหัวเราะของน้อง ๆ อยู่เลย
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นในทันที ด้วยความร้อนใจ หยางเจี่ยนก้าวยาว ๆ ตรงไปยังจุดที่มองเห็นน้อง ๆ ได้ หยางเจี่ยนถึงกลับกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เมื่อภาพตรงหน้าในตอนนี้ ทำให้เลือดในกายของเขาแทบแข็งค้างขึ้นในฉับพลันเลยทีเดียว
ฟงมองไปตามสายตาของหลานชายไป ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งร่างเพราะหลานสาวกับหลานชายคนเล็ก กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายในระยะประชิด
'ไม่นะ!'
คราแรกเขานึกว่าหยางเจี่ยนมากับลุงสือเพียงสองคน การที่เขาไม่รู้ว่าหลานอีกสองคนอยู่ด้วย คงเพราะสองพี่น้องอยู่ในลำธารด่านล่าง ทั้งยังไร้สุ้มเสียงและการเคลื่อนไหวนั่นเอง
ทุกคนไม่กล้าที่จะหายใจเลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้คุณชายน้องกับคุณหนูยืนนิ่งอยู่โขดหินเล็ก ๆ เกือบกลางลำธาร โดยมีงูจงอางตัวใหญ่กว่าต้นแขนของฟง ชูคอระดับใบหน้าของคุณหนู ขวางมิให้ทั้งคู่กลับเข้าฝั่งได้
ชายหนุ่มล้วงเอาอาวุธลับออกมาไว้ในมือ พร้อมประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของหลานทั้งสองคน เพราะในตอนนี้หลานชายคนเล็ก เหมือนจะเริ่มเสียการทรงตัวบ้างแล้ว
ฟงนับถือในความนิ่งของหลานสาวยิ่งนัก เพราะจนถึงตอนนี้สายตาของนาง ยังคงประสานกับงูตัวใหญ่นิ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่กล้าหาญด้วยรู้จักการควบคุมทั้งตนเองและศัตรู คุณหนูช่างเยือกเย็นยิ่งนัก นี่คือความคิดที่ทุกคนเห็นพองกันอยู่ภายในใจ
หยางเจี่ยนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาในตอนนี้ไม่ได้มีปืน หรือแรงมากพอที่จะเสี่ยงลงไปช่วยน้อง ๆ ได้ เขารู้ดีว่างูคือจุดอ่อนสำคัญของน้องสาว นางกลัวงูเป็นที่สุด แต่ที่ยังเห็นนิ่งอยู่ได้ นั่นเพราะชีวิตเดิม นางผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก จากกองทัพถ้าไม่อย่างนั้น คงไม่พ้นถูกงูกัดตายไปนานล่ะ
'จะมีสักวันไหมที่จะไม่ทำให้พี่หัวใจวาย ชีวิตเดิมตั้งแต่เล็กจนโต ก็ขยันทำเรื่องให้เขาต้องเจ็บตัวตลอด มาชีวิตใหม่นี่ก็ไม่พ้น มีเรื่องให้เขาแตกตื่นได้ในทุกวัน'
หยางเจี่ยนทำได้แค่บ่นอยู่ในใจ เรื่องนี้มันเป็นอุบัติเหตุ น้อง ๆ คงไม่อยากที่จะเจอกับงูเช่นนี้ แต่มันก็น่าแปลกที่เขามาที่นี่บ่อยมาก ไม่เคยที่จะพบงูสักครั้ง พอสองแสบติดตามมาเท่านั้น จงอางตังเขื่องก็ออกมาอวดโฉมในทันที
หากเป็นความฝันของน้องสาว คงคิดว่านางกำลังพบกับเนื้อคู่กระมัง เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตนเอง
หยางเจี่ยนยกยิ้มมุมปาก เขาก็อยากรู้ว่าฟงจะทำเช่นไรกับเรื่องตรงหน้า ในเมื่อจะมาเป็นอาจารย์ เรื่องเพียงเท่านี้ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรง
'ไอ้พี่บ้า! ยืนจนเหน็บกินแล้วนะ เมื่อไหร่จะมาช่วยกันสักที ขยับคือฉันกับเจ้าหนู่นี่ ต้องไปเยี่ยมยมบาลของจริงล่ะทีนี้'
เหลียนฮวาบ่อยู่ในใจ ใช่ว่าตอนนี้นางจะไม่กลัวเสียเมื่อไหร่กัน แต่เพราะมันทำอะไรไม่ได้ นางถึงต้องยืนจ้องตาบอกรักกับงูอยู่แบบนี้ ถ้ามีปืนอยู่ในมือเหมือนในชีวิตเก่า นางคงจัดการทุกอย่างให้จบไปตั้งแต่วินาทีแรก ที่ต้องเผชิญหน้ามันแล้ว
ฟงกำลังประเมินทุกอย่างอยู่ภายในใจ ก่อนจะซัดมีดใบหลิวออกไปอย่างรวดเร็ว ฉับ ๆ ร่างขนาดใหญ่ของอสรพิษร้าย ร่วงลงในน้ำจนกระเซ็นเป็นวงกว้าง เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ขยายออกเต็มพื้นน้ำบริเวณนั้น ฟงใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าคว้าร่างของผู้เป็นนายย้อยทั้งสอง ก่อนจะกลับขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็ว
หยางเจี่ยนที่มองทุกอย่าง โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เด็กหนุ่มก้าวเข้าหาน้องชายคนเล็ก ที่ยังอยู่ในอาการตื่นกลัว
“ไม่เป็นไรแล้วไท้เอ๋อร์ ไหน! เจ้าลองสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดูหน่อยสิ อย่างนั้นดีมาก”
หยางไท้ทำตามที่พี่ชายบอกอย่างว่าง่าย เด็กชายค่อย ๆ ทำไปพร้อมกับผู้เป็นพี่ เพียงครู่เดียวอาการสั่นเทาของเขาก็หายเป็นปกติ หยางไท้มองกลับไปหาพี่สาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะโผเข้ากอด
“หากมิได้พี่รองช่วยเอาไว้ ข้าคงไร้ลมหายใจไปแล้ว ฮึก ๆ”
“เอาอีกแล้วนะ! พี่สอนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเกิดเป็นผู้ชาย ห้ามปล่อยน้ำตาออกมาง่าย ๆ เยี่ยงสตรี ดูพี่สาวเจ้าสิมีน้ำตาหรือไม่ หืม!”
เหลียนฮวาพูดคล้ายจริงจัง ๆแต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นางกลัวแค่ไหน ก็ไม่อาจอ่อนแอให้น้องน้อยได้เห็นมันเป็นอันขาด หากวันหนึ่งไม่มีนางกับพี่ชาย หยางไท้ต้องอยู่รอดต่อไปด้วยตนเองให้ได้ ไม่แน่ว่าการมาของพวกนาง เพียงเพื่อช่วยทำให้เด็กน้อยคนนี้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นก็เป็นได้
“คุณหนูกับคุณชายน้อย บาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ”
ฟงเอ่ยถามหลานทั้งสอง แต่ยังคงเรียกขานอย่างเคารพเช่นเดียวกับ ที่เขาทำกับครอบครัวของบิดาบุญธรรม
“เอ่อ...มะ...ไม่เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก”
เด็กสาวยิ้มจนตาหยี นางไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษใกล้ ๆ เช่นนี้ โลกใบนี้ไร้การศัลยกรรม แต่ทำไมถึงมีแต่คนหน้าตาดีให้ได้มองตลอด ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ล้วนแต่ชวนมองทั้งนั้น
จวนเสนาบดีฝ่ายขวา เจียงชูเหนียง ก้าวพรวดพราดเข้ามาในห้องหนังสือของสามี ด้วยท่าทางร้อนใจ หลังจากได้รับข่าวมาเรื่องลูกเลี้ยง ที่ปรากฏตัวอยู่ในร้านผ้าสกุลจาง “ท่านพี่ รู้ข่าวของพวกมันรึยังเจ้าคะ” ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของสามี นางก็รู้ได้ทันที ว่าเขาเองก็ต้องรู้เรื่องมาแล้วเช่นเดียวกัน “เจ้าจะเสียงดังไปทำไมกัน”ท่านเสนาบดีตวัดสายตามองภรรยา ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว มันมิใช่แค่บุตรสาวคนโตปรากฎตัวเท่านั้น แต่เรื่องที่เขาได้หย่ากับภรรยาเอก ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ประหนึ่งไฟลาม “ท่านพี่ว่าข้ารึเจ้าคะ” ใบหน้าที่ยังคงมีความงาม งอง้ำในทันที ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปนั่งลงเก้าอี้ข้างสามี “ข้ายิ่งมีเรื่องต้องให้คิด เจ้าอย่าได้มาทำตัวเหมือนสาวแรกรุ่นได้ไหม ประเดี๋ยวข้าจะไปพบท่านพ่อ เจ้าอย่าได้ออกไปก่อเรื่องเพิ่มให้ข้าอีกเข้าใจไหม” ท่านเสนาบดี หันไปสั่งภรรยา ด้วยรู้นิสัยของนางดี ว่าถ้ามีเรื่องให้ไม่พอใจ มักจะทำทุกสิ่งตามที่ต้องการ โดยไม่สนว่าจะมีผลกระทบใดตามมา ครั้งนี้สกุลจางได้ยืนคนละฝั่งกับเขาแล้ว ขุนนางหลายฝ่าย คงจ้องเล่น
จางเหลียนฮวา มองตามแผ่นหลังที่งองุ้ม ไม่เหยียดตรงเช่นที่พบเจอกันในคราแรก ของต้วนชิงชิง นางหาได้สาแก่ใจอันใด กับสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับ แต่นี่คือสิ่งที่นางต้องเลือก และเป็นสิ่งที่ต้วนชิงชิงเลือกมันด้วยตนเอง ระหว่างเป็นผู้ถูกกระทำ หรือจะเป็นผู้กระทำ นางไม่ได้ลงมืออันใดให้มากมายแต่เป็นต้วนชิงชิงเอง ที่ก้าวล้ำเส้นมาก่อน คนที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าทุกคน มักมีขุดอ่อนทางอารมณ์ ยั่วยุเพียงลมปาก คนประเภทนี้ก็กระโดดเข้าสู่กองเพลิง โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน นางไม่ได้อยากรื้อฟื้นหรือทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าข้ามเส้นความอดทนของนางเมื่อใด จะใครหน้าไหน นางก็พร้อมชนทั้งนั้น “ฮวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตกใจมากหรือไม่” เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ บรรดาลูกค้าเริ่มเลือกชมสินค้าอีกครั้ง เพื่อรับส่วนลดพิเศษ ที่หลานสาวเจ้าของร้าน ประกาศไปก่อนเกิดเรื่องเมื่อครู่กันอย่างสำราญใจ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน จ้าวฮูหยินจึงรีบเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตาตำหนิบุตรชาย ที่โง่เขลามองคนไม่ออกมาตั้งหลายปี จนทำให้ว่าที่สะใภ้ของนาง ถูกทำร้ายจิตใจต่อหน้าผู้คน แม
“ฮึ! เรื่องเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านที่เป็นสามีของข้า เลือกตำหนิข้าต่อหน้าผู้คน ช่างแล้งน้ำใจนัก” แม้จะรู้ตัวแล้ว ว่าตนเองทำพลาด พูดไปโดยไม่คิด แต่จะให้นางยอมถูกสามีอยู่เหนือ ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน “เท่านี้อย่างนั้นรึ! เจ้ากล้าพูดออกแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ชูป๋อเจี้ยน ไม่อยากเชื่อ ว่าภรรยาจะมองคำพูดของนาง เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นางทำให้เขาอับอายต่อหน้าอดีตคนรักของนาง และชาวเมืองที่อยู่ภายในร้านผ้า“เจ้าเห็นรึยังหมิงเยี่ย ว่าเหตุใดแม่มิตามใจเจ้าเรื่องของนาง”ทุกสายตาหันไปมองยังด้านหน้าประตูร้าน เมื่อคำพูดที่แทรกการโต้เถียงของสามีภรรยาสกุลชู ดังขึ้นเรียกทุกความสนใจ สตรีผู้ที่ก้าวเข้ามา ด้วยท่วงท่าสูงสง่า จะเป็นใครไปไม่ได้ หากมิใช่จ้าวฮูหยิน มารดาของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย สายตาที่จ้าวฮูหยิน มองไปที่ต้วนชิงชิง มิได้ปกปิดความรู้สึกแม้แต่น้อย“จ้าวฮูหยินไยท่านมองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้ เป็นผู้ใหญ่ไยมิรู้เมตตาต่อผู้น้อยบ้างเจ้าคะ อีกอย่างถ้าตอนนั้น ท่านเอ็นดูต่อข้าบ้าง ทุกอย่างคงไม่มาถึงจุดนี้เป็นแน่”ต้วนชิงชิงเอ่ยถาม พร้อมกับตำหนิจ้าวฮูหยินอยู่ในที ความชิงชังที่มี
“ข้าไม่เชื่อ!”น้ำเสียงที่หวีดร้องขึ้นอย่างลืมตัว ของต้วนชิงชิง ทำลายบรรยากาศแสนหวาน ของแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น อีกทั้งยังทำให้ทุกคน ที่กำลังเคลิ้มไปกับคู่รักเกี้ยวพากัน ต้องพลอยเสียอารมณ์ไปด้วยเลย“หากเจ้ารักเขาอยู่ ไยยังต้องแต่งแก่ข้าด้วยเล่า ชิงชิง!”เป็นอีกครั้งที่ต้วนชิงชิง รู้สึกเย็นวาบตลอดสันหลัง เมื่อเสียงอันคุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตูร้าน สามีของนางนั่นเอง...“ทะ...ท่านพี่ ท่านมาที่นี่ทำไมกันเจ้าคะ”ต้วนชิงชิง เอ่ยถามสามีด้วยเสียงตะกุกตะกัก ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ นางก็คือภรรยาของชูป๋อเจี้ยน ทั้งยังเป็นภรรยาเอกหนึ่งเดียว หากนางต้องถูกหย่าขาด ชีวิตหลังจากนี้คงยากจะมองหน้าผู้ใดได้“หากข้าไม่มา ก็คงตามืดบอดไปอีกนาน”ชูป๋อเจี้ยน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บร้าวยิ่งนัก ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภรรยานั้นเคยชอบพอในตัวของแม่ทัพจ้าว แต่เขาและนางก็อยู่ร่วมกันมาหลายปี ทายาทร่วมกันก็มีแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้ จะได้เห็นนางยังคงมีเยื่อใยต่ออดีตคนรัก ทั้งที่ตลอดหลายปี นางแสดงความชัดเจนมาโดยตลอด ว่ามิได้รู้สึกสิ่งใดต่อจ้าวหมิงเยี่ยแล้ว“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ดวงตามืดบอดเยี่ยงนั้นรึ! ตรง
“ชูฮูหยิน เราไม่ได้โง่จนเชื่อในคำของเจ้าหรอกนะ เพราะพวกเราที่นี่ เข้าใจความหมายของคุณหนูหรงดี แต่เป็นเจ้าที่พยายามดึงดัน ให้เป็นความเกินเลย เจ้าควรกลับไปทบทวนตนเองให้ดี ว่าสมควรแล้วหรือ ที่คิดหักหน้าผู้อื่นอย่างไรมารยาทเยี่ยงนี้” เป็นหนึ่งในฮูหยินขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่เอ่ยขึ้นหลังจากจบคำพูดของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย นางที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ไม่ได้แทรกแซง เพราะอยากรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหรง ที่มีข่าวลือไม่ดีมาก่อน จะแกไขสถานการณ์อย่างไร และดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายไปมาก คุณหนูใหญ่หรงเหลียนฮวา นอกจากจะลากคนเยี่ยงต้วนชิงชิง ออกมาตบต่อหน้าทุกคน ด้วยคำพูดของผู้ได้รับการอบรมมาดี และความเยือกเย็นที่แสดงออก ล้วนไม่มีความหวั่นเกรงแฝงอยู่ นี่คือวิสัยของผู้นำทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายแทนสกุลหรง ที่ไม่รักษาหยกเนื้อดีชิ้นนี้เอาไว้ กลับหย่าขาดภรรยา ทำให้บุตรชายหญิง จากอดีตภรรยาเอก กลายเป็นทายาทสกุลจาง ที่มากด้วยทรัพย์และอำนาจ แม้ข่าวเรื่องนี้ยังไม่แพร่ออกไป แต่มิเกินครึ่งวัน เรื่องที่ท่านเสนาบดีหรง หย่าภรรยาเอกก็คงสะพัดไปทั่วเมืองหลวง “ไยเจียงฮูหยิน จึงได้เห็นงามกับคำของหญิง ที่มีข่าวลือเสียหา
ต้วนชิงชิง ถึงกับใบหน้าชาหนึบ เมื่อถูกอีกฝ่ายตอบโต้ด้วยวาจาที่ฉะฉาน และไม่แสดงท่าทีเยี่ยงสตรีร้านตลาด เช่นที่นางทำไปเมื่อครู่เพราะความขุ่นเคือง ยิ่งเห็นสายตามากมาย มองนางอย่างตำหนิ มันยิ่งทำให้นางรู้สึกอับอาย เพราะนั่นเท่ากับว่านาง กำลังคิดช่วงชิงแม่ทัพจ้าว ทั้งที่ตนเองแต่งงานมีสามีแล้ว และหากขึ้นศาลจริง นางมีหรือจะมีชัย ที่สำคัญมันอาจส่งผลให้ชีวิตแต่งงานของนางระส่ำระสายได้เลย “เหลวไหล! ข้าไม่เคยทำเรื่องต่ำช้าเลย” ด้วยความสับสนและร้อนรนอยู่ภายในใจ ต้วนชิงชิงจึงปฏิเสธไป โดยมิได้ไตร่ตรองให้ดี ว่าความหมายในคำพูดของนางนั้น มันกำลังสื่อไปในทิศทางใด “เรื่องอะไรรึ! ที่เจ้าว่า...ต่ำช้า” จางเหลียนฮวาเลิกคิ้วสูง พร้อมถามกลับคล้ายไม่เข้าใจ ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่นางเป็นตั้งใจปั่นให้ต้วนชิงชิง สับสนทั้งในความคิดและคำพูด “ขะ...ข้าไม่เคยทำตัวเยี่ยงสตรีแพศยา เหมือนเจ้า! ที่เป็นตอนอยู่บ้านนอกนั่น” “ข้าพูดแล้วรึ! ว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น ไยข้าไม่เห็นรู้ ว่ากล่าวให้ร้ายเจ้าเช่นนั้นออกไป” จางเหลียนฮวา ย้อนถามกลับอีกครั้ง ด้วยแววตาใสซื่อราวกับนาง มิค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ เหอะ! หาก







