เย็นวันนั้น
บ้านของอันดามันก็เหมือนมีพายุร้ายโหมกระหน่ำ ทันทีที่หญิงสาวตื่นขึ้นมาคิดว่าทุกอย่างคงไม่มีอะไรแล้ว ก็ต้องเจอกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของบิดา ทำทั้งคู่ทะเลาะถกเถียงต่ออีกยกใหญ่
"แกนี่มันจะทำให้ฉันโมโหไปถึงไหน!"
"อะไรของพ่ออีกเนี่ย เรื่องตั้งแต่เช้าแล้ว เลิกไปขุดคุ้ยขึ้นมาได้ไหม"
"คิดว่าฉันอยากพูดนักหรือไง พฤติกรรมแกนี่มันเกินจะเยียวยา มีอย่างที่ไหนลุกหนีขึ้นไปนอนทั้งที่บ้านนั้นยังไม่กลับ! เขาจะมองว่าบ้านเราไม่อบรมสั่งสอน แล้วไอ้ที่หาวหวอดตอนอยู่ในพิธีอีก!"
"โอ๊ยอะไรนักหนา อันก็ยอมทำตามแล้วไง ยังจะอะไรอีก!" หญิงสาวเริ่มมีน้ำโหบ้าง เธออุตส่าห์ไม่หนีหรือทำอะไรขายหน้ากว่านี้แล้ว แค่นั่งหาวกับหนีไปนอนมันก็ไม่ได้ร้ายแรง ยังไงก็หมั้นเสร็จแล้ว
"ยังจะมีเถียงฉันอีก แก แก!" ปลายนิ้วคนสูงวัยชี้ตรงมาทางเธอ สั่นเทาด้วยความโกรธ จนสิมิลันต้องเข้าไปช่วยพูด
"คุณ ใจเย็นๆ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว คุณว่าไปตั้งเยอะลูกเข้าใจแล้วค่ะ ใช่ไหมอัน"
"ค่ะ" หญิงสาวกลอกตาตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ แม้ความจริงจะไม่ได้รู้สึกเข้าใจอะไรสักนิดก็ตาม
"ดูมัน! ทำหน้าทำตาแบบนั้น เข้าใจอะไรที่ไหน ฉันนี่พูดจนปากเปียกปากแฉะ ดีแค่ไหนที่บ้านนั้นไม่เอาเรื่อง!" วีรศักดิ์หันไปชี้ให้ผู้เป็นภรรยาดูพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องของลูกสาว
"อัน แม่ไม่อยากจะซ้ำเติมหรอกนะ แต่สิ่งที่แกทำวันนี้มันแย่จริงๆ พ่อแม่ขายหน้ามาก นึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่แกกลับทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เลย"
"..." พอได้ฟังคำตำหนิจากมารดาพร้อมสายตาตัดพ้อก็ทำเธอรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ จนได้แต่ก้มหน้าเขี่ยอาหารในจาน
"ขอโทษค่ะ" เธอเอ่ยออกไปเสียงเบา หน้าจ๋อยลง
"รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ครั้งหน้าเจอบ้านพี่โซเฟียต้องไปขอโทษอีกครั้งด้วยเข้าใจไหม"
"ค่ะ"
"เอาเถอะครับ พ่อก็อย่าอารมณ์เสียบ่อยเลย พรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว" พีพีหันไปส่งยิ้มให้บิดา ออกปากช่วยพูดอีกแรงเพื่อไม่ให้บรรยากาศในบ้านมันแย่ไปมากกว่านี้
"ถ้ายัยอันดีได้สักครึ่งของแก ฉันคงไม่ปวดหัวขนาดนี้"
"..."
อันดามันกัดปากหลังฟังคำค่อนแคะของบิดาจบ ยิ่งเมื่อถูกเปรียบเทียบเธอยิ่งรู้สึกน้อยใจ แต่ก็หยุดปากตัวเองไม่ให้โต้กลับ นั่งทานอาหารต่อด้วยท่าทางเซื่องซึม
เช้าวันต่อมา
ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแอบใจหายขึ้นมาเล็กน้อย ขณะยืนกอดอกมองน้องชายช่วยบิดามารดาขนกระเป๋าสัมภาระขึ้นท้ายรถยนต์
สิมิลันหิ้วกระเป๋าถือลงมาจากตัวบ้าน คนตัวเล็กก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง หลังถูกจับได้ว่ามาแอบมองอยู่
"ทำไมทำหน้าแบบนั้น" เธอขมวดคิ้วถามลูกสาว
"แม่ต้องไปวันนี้เลยเหรอ"
"ใช่ ลูกค้านัดคุยอาทิตย์หน้าก็จริง แต่ก็ต้องไปเตรียมตัวอีก"
"ต้องไปนานแค่ไหน"
"ยังไม่มีกำหนด คุยธุระเสร็จก็อยากอยู่เที่ยวกันก่อน ทำไมวิญญาณลูกสาวตัวน้อยเข้าสิงหรือไง ถึงมาอ้อนเอาป่านนี้" สิมิลันยกยิ้มเอ่ยแซว เห็นท่าทางของเธอก็รู้ว่าลูกสาวตัวแสบคงไม่อยากให้เธอไปเท่าไหร่
"ไม่ใช่สักหน่อย อันอยู่ได้แม่ไม่ต้องห่วง ให้อันอยู่บ้านตัวเองก็ได้นะ สบายกว่าเยอะ" อันดามันเชิดหน้าตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เธอเป็นสาวแกร่งไม่มางอแงเรื่องไร้สาระอยู่แล้ว
"ยัยอัน เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ" มารดาหรี่ตาเอ่ยย้ำเสียงจริงจัง ซึ่งลูกสาวก็ได้แต่ถอนหายใจรับคำ
"ค่า~ รู้แล้วน่า"
"แม่ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก มีอะไรก็โทรหาแม่ได้ตลอด"
คนเป็นแม่ตรงเข้าสวมกอดลูกสาวที่ยืนตัวแข็ง ปั้นหน้าไม่ค่อยถูกเนื่องจากไม่ค่อยมีโมเมนต์ปกติดีๆ กับมารดาเท่าไหร่ ทุกทีก็จะถกเถียง ถูกบ่นมากกว่า แต่สุดท้ายมือเล็กก็ยกกอดตอบ ใจดวงน้อยแกว่งแปลกๆ ขอบตาร้อนขึ้นมา ต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ ไม่ให้หยดน้ำตาไหลออกมาจนถูกแซวอีก
"แม่ก็ดูแลตัวเองด้วยค่ะ ดูพ่อด้วยนะ ยิ่งไม่เคยออกไปไหนอยู่"
"หึ เป็นห่วงพ่อเหมือนกันเหรอเรา เห็นเอาแต่ทะเลาะกัน"
"พูดมากอ่าแม่ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ตกเครื่องพอดี" เธอโวยวายกลบเกลื่อนร้องเร่งมารดาแทน
สิมิลันส่งยิ้มเอ็นดูให้ลูกสาวพร้อมหอมแก้มเธออีกครั้ง อันดามันยิ่งเก้อเขินประหม่าเข้าไปใหญ่ ต้องหลุบตามองทางอื่นแทน พลางเดินไปสมทบกับน้องชายที่ยืนรอส่งคนทั้งคู่ขึ้นรถ
สายตาของหญิงสาวประสานสบมองคนเป็นพ่อ ทั้งคู่ต่างทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด แต่สุดท้ายทิฐิของสองพ่อลูกหัวแข็งก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีแล้วขึ้นรถไป
"ฝากดูพี่ด้วยนะพี" สิมิลันหันมาบอกน้องชายตัวสูง พลางเดินเข้าไปสวมกอดลูกชายคนเล็ก
"ครับ ไม่ต้องห่วง เจ๊แกถึกขนาดนี้ ถึงแก่ง่ายแต่ตายยากนะครับ"
"ไอ้พี!"
"พอๆ หยุดเถียงกันสักวันเถอะ แม่ปวดหัว... อันอย่าลืมวันนี้พี่โซเฟียชวนไปกินข้าวที่บ้าน แกก็เตรียมเก็บกระเป๋าได้แล้ว"
"รู้แล้วค่ะ" แม้จะไม่เต็มใจแต่เธอก็พยักหน้ารับคำมารดาไปอยู่ดี
"เดินทางดีๆ นะครับ"
"จ้ะๆ รู้แล้ว สองพี่น้องก็ดูแลตัวเองด้วย ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หวังว่าจะไม่มีใครสร้างปัญหาจนพ่อกับแม่ต้องกลับก่อนกำหนดนะ"
"ถ้ามีก็ไม่ใช่พีแน่นอนครับ" พีพีส่งสายตาล้อเลียนมาทางพี่สาว ซึ่งเธอก็จิ๊ปากตอบกลับ
ทั้งคู่ร่ำลามารดาอีกครั้ง ก่อนจะมองรถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากบ้าน หัวใจเธอวูบโหวงราวกับสิ่งสำคัญได้หายไปจากชีวิต แม้จะชอบทะเลาะกับพ่อแม่ตลอด แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างคนทั้งคู่พร้อมกัน
"อะไร หงอยเลยเหรอแค่พ่อแม่ไปต่างประเทศ"
"หุบปาก หงอยบ้าบออะไร!"
"เห็นทำหน้าจ๋อยเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง ไอ้ผมก็เป็นห่วง โอ๊ย! อีเจ๊เตะมาได้!"
พีพีลูบก้นตัวเองหลังจากถูกคนเป็นพี่ใช้เป็นกระสอบทราย เตะเข้ามาเต็มแรง
"ก็แกมากวนตีนฉันก่อน"
"เจ๊แม่งชอบใช้ความรุนแรงว่ะ"
"คนแบบแกพูดดีด้วยได้ที่ไหน ต้องให้ต้องลงมือลงไม้" อันดามันเถียงกลับกอดอกจ้องน้องชายตาแข็ง
"ไม่คุยกับเจ๊แล้ว ไอ้เจ๊ใจร้าย ไปไหนก็ไปเลยผมไม่สนแล้ว!"
"เดี๋ยวดิ! จะทิ้งฉันแบบนี้เลยเหรอ ไอ้พีกลับมาคุยกันก่อน"
ร่างเล็กตะโกนร้องเรียกชื่อน้องชาย แต่เหมือนอีกฝ่ายจะงอนเธอไปแล้ว เดินตุ๊บป่องกลับเข้าบ้าน หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะเดินคอตกด้วยความเซ็งเข้าบ้านเช่นกัน
อันดามันมองกระเป๋าเสื้อผ้าสามใบใหญ่ที่วางเรียงบนพื้นอย่างปลงตก แม้ใจเธอจะไม่ต้องการย้ายไปอยู่กับคู่หมั้น แต่เมื่อรับปากมารดาไปแล้วก็ไม่อยากถูกคนเป็นแม่ค่อนแคะภายหลัง ยิ่งถูกบ่นว่าทำตัวเหมือนเด็กเธอก็ยิ่งทนไม่ได้ ต้องยอมจัดกระเป๋าตามคำสั่ง
ในขณะที่ง่วนกับการหยิบเสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วมองเบอร์แปลกด้วยความลังเล ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
"สวัสดีค่ะ"
(หนูอันดามันใช่ไหม) น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากปลายสาย ทำให้หญิงสาวยิ่งสับสน
"เอ่อ ใช่ค่ะ นั่นใครเอ่ย"
(แม่โซเฟียเอง สิมิลันบอกหนูแล้วใช่ไหม ว่าเย็นนี้แม่นัดกินข้าว)
"อ๋อค่ะ คุณแม่บอกไว้แล้ว"
(โอเค ตอนเย็นจะให้เจ้าวิคเตอร์ไปรับที่บ้านไหม)
"มะ...ไม่ต้องค่ะ อันไปเองได้"
(จ้าๆ งั้นเดี๋ยวแม่ส่งโลเคชั่นไปให้นะจ๊ะ เจอกันตอนเย็น)
"ค่ะ สวัสดีค่ะ"
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ระบายความอึดอัด แม้จะเคยเจออีกฝ่ายมาแล้วแต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันอยู่ดี วันนี้ยังต้องไปเผชิญหน้าครอบครัวนั้นตัวคนเดียวอีก ถึงจะเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงเธอก็แอบเกร็งขึ้นมาเหมือนกัน
"ไม่อยากไปเลยโว้ยยยย~"
"อยากอยู่บ้านนนนนน~ อยากเมา~ เหล้าจ๋าาาา~"
ร่างเล็กทิ้งตัวนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ใดๆ ยืดแขนบิดกายดีดดิ้นไปมา ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดยฝีมือพีพีที่เปิดประตูเข้ามากะทันหัน
"เอ้าเจ๊! ลงไปนอนทำอะไร"
ตุบ!
ปฏิกิริยาตอบกลับไวกว่าความคิดเสมอ มือน้อยคว้ากองเสื้อผ้าใกล้มือปาใส่คนที่ถือวิสาสะเปิดเข้ามา ชายหนุ่มหน้ามุ่ยแต่ก็รับเสื้อตัวดังกล่าวไว้ได้ก่อนมันจะกระทบหน้า พร้อมปาคืนใส่คนเป็นพี่ที่นอนกองกับพื้น
"มือไวฉิบหาย"
"แกก็วุ่นวายมากเหมือนกัน"
"ก็เจ๊เล่นร้องโวยวายลั่นบ้าน ผมก็หวังดีอุตส่าห์เดินมาดู" ร่างสูงส่ายหัวเดินดุ่มๆ เข้ามานั่งบนเก้าอี้นวมใกล้เตียงไม่ใกล้จากจุดที่พี่สาวนอน
"พี เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ" ร่างเล็กหยุดดีดดิ้น ลุกพรึ่บขึ้นมานั่งจ้องหน้าน้องชายด้วยสายตาเว้าวอน
"ไม่ ทางนั้นเขาอยากคุยกับลูกสะใภ้ จะเอาผมไปด้วยทำไม อีกอย่างเย็นนี้มีนัดแล้ว"
"อย่าทิ้งกันดิไอ้พีน้องรัก นะ ไปด้วยกันเถอะ" เธอคลานมาเกาะขาน้องชาย พลางเอาใบหน้าถูไถต้นขาอีกฝ่ายไปด้วย เหมือนลูกหมาตัวเล็กพยายามอ้อนเจ้านาย แต่คนเป็นน้องก็รีบยกขาหนี ส่ายหน้าพรืด
"ไม่เอาโว้ย เอาหน้าไปไกลๆ ขนลุก"
"ใจร้ายกับฉันได้ลงคอเหรอ"
"ทีงี้ทำมาขอความช่วยเหลือ ทุกทีก็ใช้ผมเป็นกระสอบทรายตลอด ไม่เอาอะ เรื่องของเจ๊จัดการเองเหอะ" ร่างสูงย้ำหนักแน่นคำเดิม ทำให้หญิงสาวหน้าบึ้งเบะปากมองกลับด้วยสายตาตัดพ้อ
"ไม่อยากไปอ่า"
"พูดอะไรตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ขอให้กลับมาครบ 32 แล้วกัน"
"หมายความว่าไง"
"ก็ไอ้คู่หมั้นเจ๊ดูจะร้ายใช่เล่น เมื่อวานตอนเจ๊หนีขึ้นบ้านก็ดูหงุดหงิดจนใครก็เข้าหน้าไม่ติดเลย"
"อ๋อไอ้เถื่อนนั่นน่ะเหรอ" เธอร้องขึ้นมา พลางนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน แต่เอาจริงเธอก็จดจำอะไรบนใบหน้านั้นไม่ได้มาก รู้แค่ดูหล่อเลว แต่ก็เถื่อนๆ รอยสักเต็มตัวเหมือนพวกมาเฟีย พร้อมพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สะทกสะท้าน "เฮอะ น้ำหน้าแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้ นี่เจ๊อันดามันนะโว้ย"
"ตัวเท่าลูกหมาแล้วยังปากเก่ง ไอ้คู่หมั้นนั่นสูงใหญ่อย่างกับพวกนักมวยปล้ำ เจ๊มีหวังถูกจับหักสองท่อนง่ายๆ"
"เขาเรียกจิ๋วแต่แจ๋วโว้ย ฉันพลิ้วจะตาย ลองทำอะไรสิ แม่จับทุ่มฟาดพื้นแน่"
"ก็เป็นเสียแบบนี้ หัดกลัวอะไรบ้างเหอะ" คนเป็นน้องส่ายหัวระอากับความปากแจ๋วของพี่สาว พร้อมเตือนด้วยความเป็นห่วง "วันนี้ก็อย่าไปสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีกล่ะ ผมว่าบ้านนั้นไม่ธรรมดาหรอก"
"อะไรของแก ฉันว่าก็ปกติ ครอบครัวเรายังดูประหลาดกว่าตั้งเยอะ"
"เอาเถอะ ถือว่าผมเตือนแล้วนะ"
"เออๆ" อันดามันรับคำตัดรำคาญ ก่อนจะคลานกลับไปจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อด้วยความเบื่อหน่าย
พีพีได้แต่มองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง ครอบครัวนักธุรกิจใหญ่แบบนั้นคงต้องมีเขี้ยวเล็บอะไรซ่อนไว้บ้างแหละ เขาผู้ซึ่งได้แอบสังเกตมาตลอดวันก็ยังรู้สึกได้ ทั้งพ่อแม่ฝ่ายชายดูแผ่รังสีกดดันบางอย่างออกมาตลอด แม้โซเฟียจะยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่สายตาคู่นั้นกลับเย็นเฉียบ คู่หมั้นพี่สาวก็ดูขี้โมโหดุดัน แถมน้องชายบ้านนั้นก็ยังดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้วางใจอีก ไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้ของอันดามันจะเป็นอย่างไร หวังว่าจะไม่ถูกโขกสับเหมือนลูกสะใภ้ตามละครหลังข่าวที่เคยดูหรอกนะ
อันดามันและวิคเตอร์ช่วยกันพาลูกแฝดอาบน้ำเตรียมเข้านอน ก่อนจะจูงมือกันกลับห้องของตัวเอง บรรยากาศในห้องเงียบเชียบมีเพียงแค่แสงไฟจากภายนอกลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่เท่านั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปตั้งแต่เย็นทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอาการกรึ่มเล็กน้อย ดวงตาหยาดเยิ้มฉ่ำวาวของหญิงสาวช้อนมองสามีอย่างสื่อความหมาย ก่อนจะเป็นฝ่ายพาเขามายังเตียงกว้างริมฝีปากของทั้งคู่ถูกดึงดูดเข้าหากันอัตโนมัติ ไม่ต้องมีสัญญาณหรือคำบอกกล่าวใดๆ ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ลมหายใจชายหนุ่มปั่นป่วน รวบร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อนกอดแนบแน่น บรรจงถ่ายทอดความรู้สึกมากล้นให้อกให้เธอรับรู้ผ่านจุมพิตหวานซาบซ่านร้อนแรงท่อนแขนบางก็โอบรอบลำคอเขาเอาไว้ แหงนหน้าสุดความสามารถเพื่อตอบสนองรสจูบจากสามีที่สูงกว่าเกินฟุตกลีบปากฉ่ำนุ่มขบเม้มหยอกล้อกันไปมา ก่อนที่เรียวลิ้นทั้งคู่จะกระหวัดเกี่ยวรั้น รุกไล้ไล่ต้อนกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใครหัวใจเธอเต้นเร็วขึ้นจากทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์และอาการตื่นตัววาบหวามตอนนี้ เพียงแค่ลิ้นร้อนแทรกลึกเข้ามากวาดต้อนตักตวงน้ำลายใสในโพรงปาก ท้องน้อยเธอก็วูบหวิวเสียวสะท้านขึ้นมาจนต้องจิกขยุ้ม
สัปดาห์ต่อมากลุ่มเพื่อนของวิคเตอร์เหมือนว่าจะเหงาอยากหาเรื่องเจอกัน จึงได้นัดรวมตัวกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของวิคเตอร์ในเย็นของวันเสาร์ ทำให้ทั้งวันอันดามัน ต้องเตรียมสถานที่ คือสวนข้างบ้านเอาไว้รองรับเพื่อนฝูงและบรรดาลูกๆ ของพวกเขา อันดามันไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนนัก อาหารส่วนใหญ่จึงโทรสั่งเอา พวกข้าวผัด น้ำแกง และพวกซีฟู้ด บาบีคิวของสดทั้งกุ้ง หอย ปู เอาไว้ให้หนุ่มๆ ได้ปิ้งย่างเป็นกับแกล้มส่วนของเด็กๆ ก็ได้เตรียมพวกขนม น้ำหวานและอาหารรสอ่อนเอาไว้ให้ ทั้งของทอด สปาเกตตีหมูสับ จนกระทั่งเกือบบ่าย 3 โมง มิลินและไคโรก็เดินทางมาถึงเป็นคู่แรกพร้อมน้องมีอาและมาติน เด็กทั้งคู่ท่าทางสดใสร่าเริงฉีกยิ้มกว้างทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะแยกไปหาลูกแฝดของเธอที่เล่นน้ำคลายร้อนยังสระว่ายน้ำข้างบ้าน ไคโรและวิคเตอร์จึงตามออกไปดูความปลอดภัย ปล่อยให้สองสาวเม้าท์กันตามประสาสาวๆ“นี่เมื่อวานลินหมักซี่โครงหมูไว้ด้วย ตั้งใจเอามาย่างเย็นนี้” มิลินเอ่ยพลางชูถุงในมือให้ดู ความเป็นแม่บ้านแม่เรือนทำให้หญิงสาวชอบเข้าครัว และทดลองทำอาหารเมนูใหม่ๆ เสมอ ผิดกับเจ้าของบ้านที่ทอดไข่ยังไม่สุก“ดีๆ
หลังจากรู้ความจริงว่าทุกอย่างที่คิดตลอดหลายวันเป็นแค่ความเพ้อเจ้อของตัวเองเท่านั้น ทำให้เธอถูกวิคเตอร์ไล่กลับไปทำงานก่อน ซึ่งเธอก็สลดพอที่จะไม่โต้เถียงอะไรสามีต่อ ขณะขับรถกลับบริษัทก็ได้โทรไปอัปเดตเรื่องราวหน้าแตกให้กลุ่มเพื่อนฟัง และแน่นอนทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะเยาะเธอ และเทคะแนนสงสารไปทางวิคเตอร์จนหมดยิ่งทุกคนได้รู้ว่าเธอทำอะไรเขาบ้างก็รุมด่าประณามเสียร่างเล็กหูชา กับความใจร้อนไม่คิดหน้าคิดหลังของเธอ เมื่อถึงบริษัทก็ได้โทรย้ำกับม่านฟ้าภรรยาคนสวยของน้องสามีว่าช่วยไปรับลูกแฝดของเธอให้ตรงเวลา และระวังอย่าให้ลูกๆ เธอคลาดสายตา ไม่เช่นกันบ้านคุณปู่อาจจะเละได้ อีกฝ่ายรับคำขันแข็ง แต่พอคิดอีกทีว่าวันนี้ลูกจะไปอยู่ในความดูแลของคุณอาตัวป่วนก็อ่อนใจ หวังว่าโซเฟียและคาร์ลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในบ้านได้ ไม่ต้องโทรเรียกรถดับเพลิงมากลางดึกอีกอารมณ์หญิงสาวเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นเบิกบานใจ เฝ้าจับตามองนาฬิการอคอยเวลาเลิกงานด้วยใจจดจ่อ มุมปากบางคลี่ยิ้มหวานขณะเซ็นกองเอกสารมากมายอย่างมีความสุขผิดจากทุกวันแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางคว่ำไว้บนโต๊ะส่งเสียงร้อง คุณแม่คนสว
เครื่องยนต์รถยุโรปราคาแพงส่งเสียงกึกก้องขณะสาวคนขับเหยียบคันเร่งตามด้วยความร้อนใจ เมื่อรถของคนเป็นสามีนำหายไปไม่เห็นฝุ่น เส้นทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปทำโทสะในตัวคุณแม่ลูกแฝดพุ่งสูง เพราะนั่นคือเส้นทางไปโรงแรมวิลล์พาราไดซ์สายตาคุกรุ่นจ้องมือถือสลับกับท้องถนนเบื้องหน้า ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะมีความอดทนอดกลั้นนั่งรอในรถร่วม 3 ชั่วโมงอันดามันผ่อนความเร็วลงทิ้งระยะห่างมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์จากเพลิงโทสะ เมื่อสัญญาณ GPS จอดนิ่งยังลานจอดของโรงแรม ก่อนที่มันจะเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ ร่างเล็กมองซ้ายมองขวาระมัดระวังไม่ให้ผู้เป็นสามีสังเกตเห็นรถยนต์ของตน ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดเช่นเดียวกันหญิงสาวรื้อหาหมวกหรือแว่นกันแดดที่จะพอช่วงอำพรางสายตาของสามีได้ ก่อนจะคว้ากระเป๋าบีบมือถือในมือแน่นมุ่งดิ่งสู่ตัวโรงแรมเธอกวาดสายตาไปมาท่ามกลางแขกมากมายที่เดินกันขวักไขว่เพื่อมองหาร่างที่ดูคุ้นตา ก่อนจะเห็นชายร่างสูงสวมเชิ้ตขาวเดินหายไปยังลิฟต์ อันดามันไม่รอช้าวิ่งตรงไปทันที ภายในอกบีบรัดแน่น อึดอัด จุกเสียด หวาดกลัวกับความจริงที่เผชิญแต่ก็ไม่ต้อง
สองวันต่อมาร่างสูงใหญ่ของหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งไขว่ห้างสายตาจับจ้องไอแพดอยู่ในห้องนั่งเล่นใหญ่กลางบ้านด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง โดยก็มีลูกแฝดทั้งสองของเขาวิ่งวนรอบโซฟาหนังสีครีม ในมือทั้งคู่ถือปืนอัดลมที่ทำจากพลาสติก คนพี่หลบหลังโซฟาโผล่หน้าออกมาจ่อปืนของเล่นไปทางน้องสาว ส่วนอีกคนก็หลบอยู่มุมเสา เมื่อเสียงปังๆ ออกจากปากพี่ชายเงียบไป เธอก็ชะโงกตัวออกไปยิงบ้าง ก้มตัวหมอบคลานไปตามพื้นหินอ่อนเพื่อที่จะได้เข้าประชิดตัวพี่ชาย ที่ใช้คุณพ่อตัวใหญ่เป็นเกราะกำบังอย่างขี้โกง"ปัง ปัง""ปัง!""นี่แน่ะ อเล็กซ์ถูกจับได้แล้ว" ร่างเล็กกระโดดโถมตัวทับพี่ชาย ซึ่งเขาก็ยกปืนของเล่นยิงสวนกลับในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะล้มกลิ้งลงไปบนพื้นพร้อมกัน"ปัง ปัง ปัง!" อเล็กซ์ตะโกนเลียนแบบเสียงปืนย้ำไปทางน้องสาวที่คร่อมร่างเขาไว้"อเล็กซ์แพ้แล้ว ทิ้งปืนซะ!""ไม่! แอลต่างหากโดนยิง แอลแพ้!""ว้ายยย แต่แอลไม่ตาย แบร่ๆ นี่แน่ะๆ อเล็กซ์นั่นแหละแพ้"คนน้องดื้อดึงไม่รับความจริง ใช้ท่อนแขนเล็กป้อมรัดมือก่ายขาพี่ชายให้ยอมจำนนอย่างขี้โกง จนคนพี่ต้องตะโกนร้องฟ้องพ่อที่นั่งอ่านเอกสารอยู่"ป๊าาาาา! แอลขี้โกงอีกแล้ว!""อเล
Zonic Pubแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ผับแห่งนี้ก็ยังได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นไม่เคยเปลี่ยน ลีโอได้ทำการปิดปรับปรุงรีโนเวทร้านใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น แต่โซนวีไอพีชั้นสองที่เป็นเหมือนจุดขายของร้านก็ยังคงมีอยู่ เพิ่มเติมคือความหรูหราและราคาค่าเปิดโต๊ะที่แพงหูฉีกกว่าเดิมแต่นั่นก็ยิ่งทำให้บรรดาลูกคนรวยมีเงินจับจองไม่เคยว่างเว้น เป็นการประกาศศักดาถึงฐานะไปในตัวกลุ่มชายหนุ่มทั้งห้าที่อายุเข้าสู่เลข 3 กันแล้ว นั่งล้อมวงบนโซฟาหนังอย่างดี พูดคุยกันสนุกสนานไม่ต่างจากสมัยยังเป็นวัยรุ่น กาลเวลาที่ผ่านพ้นยิ่งส่งเสริมให้พวกเขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์ขึ้นอีกเท่าตัว ทุกท่วงท่าการขยับร่างกายแต่ละที ทำหัวใจสาวๆ วัยละอ่อนด้านล่างเคลิบเคลิ้ม แย่งกันส่งสายตาเป็นสัญญาณเชิญชวน แต่ก็ไม่มีใครในโต๊ะให้ความสนใจ"ไง~ ได้ข่าวลูกยกพวกตีกันเหรอ" ไคโรนั่งไขว่ห้างแสยะยิ้มร้ายแซวเพื่อนที่ตัวใหญ่สุดในกลุ่มอย่างล้อเลียน ทำให้ลีออนและโอนิกซ์ที่ไม่รู้ข่าวหันมามองด้วยความสนใจ"ถามจริง ลูกมึงแสบขนาดยกพวกตีกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอ" ลีออนขมวดคิ้วถามกลับด้วยท่าทางจริงจัง ไอ้เรื่องอเล็กซ์แอลลี่แสบซนแก่นแค่ไหน เขาเองก็ทร
รถยุโรปเลี้ยวเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวตัดดำสวยสะกดตา เด็กๆ เปิดประตูรถวิ่งกรูกันเข้าบ้านด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมต่างจากผู้เป็นแม่ที่ถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน แล้วก้มเข้าไปหยิบแฟ้มงานยังเบาะหลังก่อนจะปิดประตูรถที่ลูกๆ เปิดทิ้งเอาไว้ ก้าวตามหลังเด็กน้อยทั้งสองเข้าบ้าน"ปะป๊า~ เย้ๆๆๆๆ วันนี้ปะป๊ากลับบ้านเร็ว เรามาเล่นอะไรกันดีคะ"เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวดังขึ้นด้วยท่าทางร่าเริงลอยมาให้ได้ยินก่อนที่อันดามันจะเข้าบ้านด้วยซ้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสามีตัวใหญ่อุ้มลูกสาวชูสุดมือหมุนตัวไปมาให้ร่างเล็กลอยวืดกลางอากาศ แอลลี่หัวเราะคิกคักเสียงใสชอบใจ ทำให้อเล็กซ์เริ่มอิจฉา กระตุกชายเสื้อบิดาอยากเล่นบ้าง"ป๊า อเล็กซ์อยากลอยบ้าง""ได้สิครับ""ปะป๊าไม่เอา~ แอลยังไม่อยากลง ให้อเล็กซ์รอก่อน""แต่อเล็กซ์ก็อยากให้ปะป๊าอุ้มลอยบ้างนี่น่า"ลูกแฝดสองคนเริ่มถกเถียงกันทำให้วิคเตอร์ตัดสินใจย่อตัวลง อุ้มลูกทั้งสองนั่งบนบ่าแกร่งกำยำคนละข้าง พร้อมช้อนประคองหลังของทั้งคู่แน่นระมัดระวังไม่ให้ลูกคนใดคนหนึ่งร่วงตกลงมาอันดามันวางข้าวของในมือกอดอกมองสามพ่อลูกนิ่งๆ ด้วยแววตาลึกล้ำยากจะสื่อความหมาย ห
แชท 'สมาคมแม่บ้าน'Andaman: ใครว่างบ้าง ฉันโดนเรียกพบผู้ปกครองอีกแล้ว นี่กะว่าจะรอแฝดเลิกเรียนเลยCLEO: เอ้า! มีเรื่องอะไรอีก LinLin: ลินกำลังออกจากบ้านไปรับมีอากับมาตินพอดีเลย อันอยู่ร้านไหนเดี๋ยวไปเจอAndaman: ยกพวกตีกันAndaman: @LinLin นั่งอยู่คาเฟ่บีข้างโรงเรียนPraeWa: ถามจริง? เด็ก 5 ขวบเนี้ยนะCLEO: ช็อกจ้า! ให้เดาไหมว่าใครแกนนำAndaman: ไม่ต้องสืบ มีอยู่คนเดียวPraeWa: สงสารนะ แต่ทำไมพี่แอบขำ 55555Ivy: เฮ้ย! น้องแอลลี่เหรอ ยังไงกันอันดามันเลยต้องนั่งเล่าวีรกรรมแสบของลูกแฝดให้กลุ่มบรรดาเมียๆ ของเพื่อนสามีฟัง ถือเป็นการระบายอารมณ์ไปในตัว สุดท้ายมิลินและแพรวาก็ออกปากว่าเดี๋ยวแวะเข้ามาหา คลีโอติดธุระเรื่องงานจึงฝากมิลินรับลูกเธอกลับมาให้ด้วย ส่วนไอวี่ต้องไปรับลูกสาวอีกที่หนึ่งจึงไม่สะดวกมาหาลูกๆ ของมิลินและคลีโอเรียนอยู่อนุบาลเดียวกับลูกเธอ แต่เรียนคนละห้องและคนอยู่ละชั้น ส่วนน้องอัศวินลูกของแพรวากับโอนิกซ์เข้าชั้นประถมไปแล้วจึงเลิกเรียนช้ากว่าเด็กอนุบาล คุณแม่สุดสวยจึงพอมีเวลาว่างแวะมาเจอสาวๆ ในแก๊งได้บ้างหลังจากสั่งกาแฟเย็นดื่มให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง
MD Agencyอันดามันในวัย 28 ปี สวยสะพรั่งเต็มที่ เธอยังคงตัดผมสั้นประบ่าเช่นเดิม ใบหน้าสวยจัดยังคงดูไม่ต่างจาก 5 ปีก่อนแม้แต่น้อย หญิงสาวสวมเสื้อสูทสีเทาเข้มคู่กับกางเกงขายาวเอวสูงดูสง่าผ่าเผยเหมาะกับตำแหน่งที่ได้รับ เอวบางคอดกิ่วไม่เหมือนคนที่เคยผ่านการท้องลูกแฝดมาก่อน คุณแม่สุดเปรี้ยวนั่งอยู่ในห้องทำงานยังชั้นบนสุดของบริษัท ตอนนี้เธอเข้ามารับตำแหน่งรองประธานบริษัทโฆษณาเต็มตัวแล้ว โดยสิมิรันเริ่มส่งไม้ต่อให้ลูกสาวดูแลกิจการ ส่วนตัวเธอเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลสามีที่ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตหลังเข้ารับการผ่าตัดเมื่อหลายปีก่อนอนาคตประธานบริษัทรุ่นใหม่ไฟแรงนั่งเคร่งเครียดอยู่กับตัวเลขมากมายจนเริ่มเวียนหัว ยอมรับตามตรงว่าเธอชอบทำงานใช้แรง ออกสถานที่จริงมากกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องทำงาน จ้องเอกสารที่มีแต่ตัวหนังสือหลายสิบเท่า แต่งานก็คืองาน อันดามันต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเธอสามารถดูแลบริษัทของมารดาได้โดยไม่มีปัญหาในขณะที่วุ่นวายเช็กทวนบัญชีอยู่นั้นโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็ส่งเสียงร้อง ทำให้ดวงตากลมโตต้องยอมละจากงานตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้ว ตงิดใจแปลกๆ เมื่อเห็นรายชื่อคุณครูของคู่แฝดโ